บ่าวผู้ซื่อสัตย์ที่แซ่ฉิน หรือว่าจะเป็นบรรพบุรุษของพ่อบ้านใหญ่ฉิน?
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดแล้วก็รู้สึกเศร้าสลดอยู่ในใจยิ่งนัก
เนื่องด้วยประสบการณ์ของตนเอง นางจึงชื่นชอบเด็กเป็นอย่างยิ่ง ทนฟังเรื่องเช่นนี้ไม่ได้เลย
โจวเจิ้นกล่าวว่า “เฉิงเลี่ยอายุน้อย แต่งงานได้ไม่นานนักฮูหยินก็ตั้งครรภ์แล้ว ทว่าเขาต้องไปเมืองจิงเฉิงเพื่อศึกษาเล่าเรียน ฮูหยินจึงรั้งอยู่ที่บ้านเกิด และให้กำเนิดบุตรชายเฉิงซวี่ในปีถัดมา เนื่องจากรั้งอยู่ที่บ้านเกิดมาโดยตลอด จึงรอดพ้นจากการกวาดล้างในครั้งนี้…
…ตอนที่เฉิงเลี่ยเสียชีวิต เฉิงซวี่เพิ่งจะมีอายุได้เพียงสามขวบ”
เฉิงซวี่ ท่านผู้นำตระกูลเฉิง
โจวเสาจิ่นตะลึงงัน เอ่ยถามว่า “แล้วเฉิงเป้ยอายุกี่ขวบเจ้าคะ”
โจวเจิ้นยิ้มอย่างขมขื่นพลางกล่าวว่า “ยังไม่ถึงสองขวบ”
บุตรของจวนรองอายุมากกว่าบุตรของจวนหลัก…
โจวเสาจิ่นถามขึ้นว่า “เช่นนั้นใครเป็นผู้เลี้ยงดูพวกเขาจนโตหรือเจ้าคะ”
“เป็นมารดาของเฉิงซวี่ ผู้เป็นเหล่าไท่จวินของจวนรอง”
หลังจากเฉิงซวี่ได้รับการเลื่อนยศเป็นผิ่นขั้นหนึ่งเจิ้ง เขาได้ขอพระราชทานบรรดาศักดิ์ยศผิ่นขั้นหนึ่งให้แก่มารดา ผู้คนในตระกูลจึงเรียกนางอย่างให้เกียรติว่า ‘เหล่าไท่จวิน’
โจวเสาจิ่นกล่าวอย่างฉงน “ควรจะเป็นจวนสามที่เลี้ยงดูพวกเขามิใช่หรือ เหตุใดถึงเป็นเหล่าไท่จวินของจวนรองเจ้าคะ”
โจวเจิ้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวขึ้นว่า “จริงๆ แล้วเรื่องพวกนี้ไม่ควรนำมาพูดกับเจ้า แต่ตอนนี้เจ้าอาศัยอยู่ในตระกูลเฉิง หากว่าเล่าบางเรื่องให้เจ้าฟัง เจ้าจะได้วางท่าทีได้อย่างเหมาะสม” เขาคิดใคร่ครวญและกล่าวว่า “จะว่าไปแล้ว เรื่องนี้ก็ค่อนข้างแปลกอยู่บ้าง เพียงแต่ว่าคนของตระกูลเฉิงไม่เอ่ยถึง จึงไม่เหมาะสักเท่าใดที่ผู้อื่นจะมาพูดถึงมัน…
…เฉิงเจ๋อบุตรชายคนที่สามของจวนหลักอายุน้อยกว่าเฉิงเลี่ยบุตรชายคนรองเพียงสามเดือน ตอนที่เฉิงเลี่ยไปเมืองจิงเฉิงนั้น เฉิงฝู่เสียชีวิตลงแล้ว หน้าที่ดูแลกิจการภายในของตระกูลจึงมอบหมายให้เฉิงเจ๋อเป็นผู้ดูแล ฉินต้าอุ้มเฉิงเป้ยกลับมาถึงเมืองจินหลิงได้ไม่นานนัก เฉิงจื้อกับเฉิงเลี่ยก็สิ้นใจตาย ตระกูลเฉิงจึงอยู่ภายใต้การบริหารจัดการของเฉิงเจ๋อ ในระหว่างนั้น ฉินต้าเคยโต้แย้งถกเถียงกับเฉิงเจ๋อ จนฉินต้าเกือบจะถูกขับไล่ออกจากตระกูลเฉิง สุดท้ายเป็นเฉิงปี้ที่ออกหน้ามาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทนี้ให้คลี่คลายลง ทุกคนต่างคาดเดากันว่า อาจเป็นเพราะเฉิงเจ๋อขูดรีดเงินทองจากจวนหลักอย่างโหดเ**้ยม ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจก็คือ ครั้นเฉิงเป้ยกับเฉิงซวี่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จวนสามไม่เพียงคืนที่นาให้แก่เฉิงเป้ยจวนหลักเท่านั้น แต่ยังแบ่งทรัพย์สินที่ดินอย่างเท่าเทียมกันตามหลักเกณฑ์ของวงศ์ตระกูลอีกด้วย”
โจวเสาจิ่นนึกถึงความสัมพันธ์อันละเอียดอ่อนของจวนหลัก จวนรองและจวนสามแล้ว รู้สึกว่าภายในเรื่องดังกล่าวนี้ต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นที่บุคคลภายนอกยังไม่รู้อีกเป็นแน่
นางถามขึ้นอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวว่า “ไม่ใช่ว่าตระกูลเฉิงมีชื่อเสียงและสถานะสูงส่งท่ามกลางหมู่บัณฑิตในเจียงหนานหรือเจ้าคะ”
“ย่อมเป็นเช่นนั้นแน่นอน” โจวเจิ้นกล่าวยิ้มๆ “ไม่เช่นนั้นตระกูลเฉิงแห่งซอยจิ่วหรูจะขึ้นมามีบทบาทเป็นผู้นำอันโดดเด่นของจินหลิงท่ามกลางบุคคลผู้มีพรสวรรค์ มีชื่อเสียงโดดเด่น มีตระกูลที่สืบทอดมาจากตระกูลบัณฑิตของจินหลิงมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร สิ่งที่ตระกูลเฉิงได้พึ่งพาอาศัยก็คือชื่อเสียงแห่งความซื่อสัตย์ที่สั่งสมมาแต่ครั้งบรรพบุรุษนั่นเอง!”
โจวเสาจิ่นยิ้มเจื่อน
โจวเจิ้นกล่าวอีกว่า “ตระกูลเฉิงไม่เพียงเลื่องชื่อและทรงอิทธิพล นอกจากนี้ท่านลุงใหญ่จิงของเจ้ายังเป็นผู้ที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นคนหนึ่ง ดังนั้นข้าจึงฝากฝังพวกเจ้าพี่น้องไว้กับตระกูลเฉิง ไม่เช่นนั้นพี่สาวของเจ้าจะได้เจรจาจนได้หมั้นหมายกับคู่หมายที่ดีขนาดนี้ได้อย่างไร เลี่ยวเส้าถังผู้นั้น ข้าเคยได้เจอด้วยตัวเองมาก่อน ไม่เพียงเป็นผู้คงแก่เรียน ทั้งอุปนิสัยและรูปลักษณ์หน้าตาก็ล้วนโดดเด่นทัดเทียมกัน แต่งกับพี่สาวของเจ้า ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกับพี่สาวของเจ้ายิ่งนัก”
โจวเสาจิ่นหวนคิดถึงใบหน้าอันแดงก่ำราวแสงอรุณของพี่สาว
หรือว่าบิดาจะพูดเรื่องพี่เขยกับพี่สาวอย่างตรงไปตรงมาเช่นที่พูดกับตนในเวลานี้?
“เรื่องของเจ้า ข้าก็คิดไตร่ตรองอย่างถ้วนถี่เอาไว้แล้ว” โจวเจิ้นกล่าว “ก่อนหน้านี้ข้ายังกลัวว่าหากทิ้งเจ้าไว้กับตระกูลเฉิงเพียงคนเดียวหลังจากที่พี่สาวของเจ้าแต่งงานไปแล้วคงจะไม่ดีเท่าใดนัก ทว่าช่วงนี้พี่เขยของเจ้าต้องไว้ทุกข์ วันแต่งงานของพี่สาวเจ้าจึงเลื่อนออกไปเป็นปีหน้า เมื่อนั้นเจ้าก็ใกล้จะถึงวัยปักปิ่นแล้ว อีกทั้งยังได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินผู้เฒ่ากัว คัดลอกพระธรรมอยู่ที่เรือนหานปี้ซาน จึงตั้งใจจะใช้โอกาสนี้ขอให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับฮูหยินหยวนช่วยหาคู่หมั้นที่ดีให้เจ้า รอให้พี่สาวของเจ้าแต่งงานไปแล้ว เจ้าก็ควรจะต้องกำหนดวันหมั้นหมายแล้วเช่นกัน…”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ บิดาไม่คิดจะพานางไปอยู่ด้วยตั้งแต่แรก!
โจวเสาจิ่นตกใจยิ่ง ร้องออกมาเสียงหนึ่งว่า “ท่านพ่อ”
โจวเจิ้นคิดไม่ถึงว่าบุตรสาวคนเล็กจะไม่มีอาการหน้าแดงหรือใจเต้นแรงเมื่อพูดถึงเรื่องแต่งงานของนางขึ้นมา ไม่เหมือนกับบุตรสาวคนโตที่ขัดเขินจนกล่าวอะไรไม่ออกแม้สักประโยค แต่เขากลับคิดว่าก็สมควรจะเป็นเช่นนี้
เนื่องจากบุตรสาวคนเล็กสามารถสืบจนพบเรื่องความบาดหมางระหว่างตระกูลเฉิงกับตระกูลจวงสองตระกูลจากถ้อยคำเพียงไม่กี่ประโยคของเฉิงลู่ได้ เป็นไปได้ว่านางเป็นผู้ที่ใจกล้าและละเอียดรอบคอบผู้หนึ่ง การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ที่จะส่งผลไปถึงความสุขของนางหลังจากนี้ไปอีกครึ่งชีวิต การที่นางรู้จักริเริ่มวางแผนชีวิตเพื่อตัวเองนั้นก็สอดคล้องกับลักษณะนิสัยของนางแล้ว
“เสาจิ่น” โจวเจิ้นมีท่าทีผ่อนคลายและโอนอ่อนผ่อนตามบุตรสาวมากยิ่งขึ้น พึมพำกล่าวว่า “เจ้ารู้สึกว่าตระกูลของพวกเราเองก็มีบ้านมีที่ดิน อีกทั้งข้ายังเป็นข้าราชการยศผิ่นขั้นสี่ จะดีจะร้ายอยู่ที่ตระกูลโจวเจ้าก็เป็นคุณหนูที่ดีงามจากภรรยาที่ถูกต้องผู้หนึ่ง แต่ที่ตระกูลเฉิงกลับเป็นเพียงคุณหนูที่อาศัยอยู่ใต้ชายคาเรือนของคนอื่นเท่านั้น แทนที่จะต้องเกรงใจสายตาของผู้อื่น ไม่สู้อาศัยอยู่ในบ้านของตัวเองยังจะดีเสียกว่าใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นคิดเช่นนี้จริงๆ
โจวเจิ้นถามขึ้นว่า “ไม่รู้ว่าเจ้าทราบเกี่ยวกับภูมิหลังของฮูหยินหยวนจากจวนหลักบ้างหรือไม่”
“ข้าทราบเจ้าค่ะ” โจวเสาจิ่นกล่าว “นางเป็นบุตรสาวจากตระกูลหยวนที่ถงเซียง บิดาเคยเป็นข้าราชสำนักระดับสูง ในบรรดาพี่น้องก็มีหลายคนเป็นขุนนางเจ้าค่ะ”
โจวเจิ้นพยักหน้า กล่าวว่า “ไม่เพียงแค่นี้ มารดาของฮูหยินหยวนยังเป็นบุตรสาวของตระกูลฟางจากซูเฉิง ส่วนป้าสะใภ้ก็เป็นบุตรสาวจากตระกูลหลี่ที่หลูเจียง ตระกูลฟางแห่งซูเฉิงไม่เพียงมีสนมผู้ครองตัวเป็นหม้ายอย่างซื่อสัตย์ต่อองค์ฮ่องเต้ในราชวงศ์ก่อนเท่านั้น ในรัชสมัยปัจจุบันยังมีบุตรชายมากมาย ทุกๆ หลายปีก็จะมีคนที่สอบผ่านเป็นขุนนาง นับเป็นตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงมากยิ่งทางตอนเหนือ ส่วนตระกูลหลี่แห่งหลูเจียงแม้นจะเพิ่งเรืองอำนาจขึ้นในรัชสมัยนี้ ทว่ากลับมีอำนาจแข็งแกร่งยิ่ง ทั้งมหาบัณฑิตประจำตำหนักเป่าเหอและเจ้ากรมโยธาธิการก็ล้วนแต่เป็นพี่ชายร่วมสายเลือดของป้าสะใภ้ของฮูหยินหยวน…
…แม้ว่าตระกูลเดิมของฮูหยินหงจากจวนรองจะมีเพียงหงซิ่วคนเดียวที่ดำรงตำแหน่งสูง แต่มารดาของพวกเขากลับเป็นบุตรสาวจากตระกูลหวงแห่งไซ่หยาง เพียงแค่ในรัชสมัยปัจจุบันตระกูลหวงแห่งไซ่หยางก็มีผู้ดำรงตำแหน่งจี้จิ่วของสำนักกั๋วจื่อเจี้ยนถึงสองท่าน เป็นที่นับหน้าถือตายิ่งท่ามกลางบรรดาข้าราชการที่บ้านเกิดในมณฑลเจียงซี มิหนำซ้ำเจียงซียังเป็นหนึ่งในมณฑลที่มีข้าราชการมากที่สุด”
กล่าวถึงตรงนี้ โจวเจิ้นมองดูโจวเสาจิ่นอย่างมีนัยยะแฝงหนหนึ่ง
โจวเสาจิ่นก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งขึ้นมา
ตระกูลโจวของพวกเขานี้หากนับขึ้นไปหลายต่อหลายรุ่น นับตั้งแต่มีระเบียนประวัติของวงศ์ตระกูลเป็นต้นมาก็มีเพียงท่านปู่กับท่านพ่อสองท่านเท่านั้นที่ดำรงยศเป็นจิ้นซื่อ ท่านปู่ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองยศผิ่นขั้นสี่ และปัจจุบันบิดาก็เป็นเพียงข้าราชการยศผิ่นขั้นสี่คนหนึ่งเท่านั้น…หากว่าเป็นเหมือนดังชาติก่อน อาจก้าวขึ้นไปถึงยศผิ่นขั้นสามเจิ้ง
เมื่อเปรียบเทียบกับตระกูลเหล่านี้แล้ว ตระกูลโจวก็เป็นเพียงตระกูลที่ธรรมดาสามัญตระกูลหนึ่ง!
อย่างไรก็ตาม ท่านพ่อกล่าวถึงเรื่องพวกนี้เพื่ออะไร
นางขยับตัวอย่างไม่เป็นสงบนัก
โจวเจิ้นเห็นแล้วรู้สึกขบขันเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าเฉลียวฉลาดยิ่งนัก ทว่ากลับชอบปกปิดเอาไว้
บุตรสาวคนเล็กผู้นี้ รูปร่างหน้าตาเหมือนจวงซื่อยิ่งนัก ทว่าอุปนิสัยกลับไม่เหมือนกันเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน บุตรสาวคนโตรูปร่างหน้าตาเหมือนเฉิงซื่อ แต่ลักษณะนิสัยกลับเหมือนจวงซื่ออย่างกับแกะ
เขาถอนหายใจอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้ กล่าวขึ้นว่า “เด็กสาวที่ไม่มีชาติกำเนิดสูงส่งก็จำต้องมีชื่อเสียงอันดีงามถึงจะสามารถแต่งเข้าตระกูลที่ดีได้ หากว่ามารดาผู้ให้กำเนิดเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เหตุใดข้าจักต้องฝากฝังพวกเจ้าสองพี่น้องไว้กับตระกูลเฉิง เพียงแค่อาศัยมารดาของเจ้ากับข้า อย่างไรก็สามารถหาคู่หมายที่เหมาะสมให้แก่พวกเจ้าสองพี่น้องได้ เพียงแต่ว่ามารดาของเจ้าจากไปเร็วไปหน่อย…ฮูหยินผู้เฒ่ากวนครองตัวเป็นหม้ายมานานหลายปี ถ้าหากอาศัยอยู่ในตระกูลพ่อค้า ก็คงจะยื่นคำร้องขอให้ทางการมอบเกียรติคุณให้ตั้งนานแล้ว แต่ตระกูลเฉิงเป็นตระกูลบัณฑิตที่ทรงเกียรติ จึงไม่จำเป็นต้องใช้สมญานามเช่นนั้นมาเพิ่มชื่อเสียงให้กับวงศ์ตระกูล พวกเจ้าสองพี่น้องได้ติดตามอยู่กับนาง ข้าก็รู้สึกวางใจลงได้เมื่อต้องไปรับราชการอยู่ต่างถิ่น”
โจวเสาจิ่นพูดไม่ออก
ตระกูลเฉิงเลื่องชื่อด้านความจงรักภักดี อีกทั้งท่านยายยังเป็นหญิงหม้ายผู้ซื่อสัตย์ การพวกนางพี่น้องเติบโตอยู่ในตระกูลเฉิงเช่นนี้ ย่อมไม่มีผู้ใดเคลือบแคลงสงสัยคุณสมบัติของพวกนางได้ นอกจากนี้บุตรสาวของตระกูลเฉิงยังมีจำนวนน้อย ดังนั้นแม้ว่าพี่สาวจะเป็นเพียงหลานยายของตระกูลเฉิง และมารดาผู้ให้กำเนิดก็เสียชีวิตไปนานแล้ว แต่เพราะเติบโตมากับท่านยาย ทั้งยังได้เฉิงจิงเป็นผู้เลือกคู่ครองให้ จึงสามารถแต่งงานไปเป็นฮูหยินเอกในตระกูลอย่างเช่นตระกูลเลี่ยวแห่งเจ้อเจียงนี้ได้
กล่าวได้ว่าบิดาได้อธิบายแผนการของเขาอย่างกระจ่างดีแล้ว
โจวเจิ้นมองท่าทางเซื่องซึมของนางที่เหมือนกับมะเขือยาวต้องน้ำค้างแข็งนั้นแล้ว ก็หัวเราะขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่พลางลุกขึ้นมาลูบศีรษะของนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เป็นอะไรไป เจ้ายังปรารถนาจะไปอยู่กับข้าด้วยอย่างนั้นหรือ”
“อือ!” โจวเสาจิ่นรีบพยักหน้าหงึกๆ กล่าวขึ้นว่า “ข้าไม่เหมือนกับท่านพี่…หากว่าข้าแต่งเข้าไปในตระกูลที่เหมือนกับตระกูลเลี่ยวเช่นนั้น คงจะรับไม่ไหวหรอกเจ้าค่ะ!”
ไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องลองเสียก่อนถึงจะรู้ ยังไม่ได้เริ่มต้นก็กล่าวว่าตนทำไม่ได้เสียแล้วได้อย่างไร
โจวเจิ้นเห็นแววตาสุกใสของบุตรสาวที่เต็มไปด้วยความทุกข์ระทม จึงกล้ำกลืนถ้อยคำที่แตะอยู่บนริมฝีปากลงไป
แต่ละคนไม่เหมือนกัน บางทีนิสัยของเสาจิ่นอาจจะไม่เหมือนชูจิ่นจริงๆ ก็เป็นได้ ให้แต่งงานกับสามีจากตระกูลธรรมดาคงจะเหมาะสมกว่า
วีรชนไม่ถามถึงชาติกำเนิด
ไม่ใช่บุตรหลานของตระกูลกวีและบัณฑิตทุกคนจะได้รับแต่งตั้งเข้าสู่ราชสำนัก และไม่ใช่ว่าบุตรหลานของตระกูลยากจนจะไม่มีโอกาสดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำขุนนางในราชสำนักเช่นกัน
บางที หาคนที่มาจากตระกูลธรรมดาๆ ตระกูลหนึ่ง ที่สมาชิกในครอบครัวเรียบง่ายอาจจะเหมาะสมกับบุตรสาวคนเล็กมากกว่าก็เป็นได้!
โจวเจิ้นใจอ่อน กล่าวด้วยเสียงอบอุ่นว่า “ยังเหลือเวลาอีกสองปีมิใช่หรือ หากว่าเจ้ายังปรารถนาจะติดตามไปอยู่กับข้า รอให้พี่สาวของเจ้าแต่งงานออกเรือนไปแล้ว ข้าจะส่งคนไปรับเจ้ามา”
โจวเสาจิ่นปีติยินดียิ่งนัก
โจวเจิ้นเห็นแล้วก็รู้สึกปลาบปลื้มอย่างอดไม่ได้เช่นกัน
โจวเสาจิ่นอยากจะเกี่ยวก้อยสัญญากับบิดา “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้นะเจ้าคะ!”
“ได้!” โจวเจิ้นเกี่ยวก้อยสัญญากับบุตรสาวคนเล็ก “พวกเราตกลงกันตามนี้”
โจวเสาจิ่นเดินออกจากห้องหนังสืออย่างมีความสุข
โจวชูจิ่นเอ่ยถามนางว่า “ท่านพ่อพูดอะไรกับเจ้าบ้าง”
“ไม่บอกท่านหรอกเจ้าค่ะ” น้อยครั้งนักที่โจวเสาจิ่นจะหยอกเย้าอย่างมีชีวิตชีวา กล่าวว่า “ท่านเองก็ไม่ยอมบอกข้านี่นา”
“เจ้าเด็กน้อยคนนี้!” โจวชูจิ่นอยากจะบีบจมูกของโจวเสาจิ่นเสียเหลือเกิน
โจวเสาจิ่นหัวเราะคิกพลางหลบหลีก กล่าวขึ้นว่า “ถ้าท่านบอกข้าว่าท่านพ่อพูดอะไรกับท่านบ้าง ข้าก็จะบอกท่านเหมือนกันว่าท่านพ่อพูดอะไรกับข้าบ้างเจ้าค่ะ”
“ฝันไปเถอะ!” โจวชูจิ่นไม่ยินยอม พยายามจะบีบจมูกของโจวเสาจิ่นต่อไป “ต่อให้เจ้าไม่บอกข้า ข้าก็มีวิธีให้ท่านพ่อเล่าให้ข้าฟังได้”
“ถ้าเช่นนั้นท่านก็ไปถามท่านพ่อเลยเจ้าค่ะ!” โจวเสาจิ่นไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย หัวเราะร่าพลางวิ่งหนีไปเสีย
โจวชูจิ่นกระทืบเท้าอย่างฉุนเฉียว
เสียงหัวเราะของโจวเสาจิ่นราวกับกระดิ่งเงินที่ร่วงตกลงกลางลานก็ไม่ปาน
หลี่ซื่อที่กำลังเย็บปักอยู่ในห้องหนังสือดูจมอยู่ในห้วงความคิด
วันถัดไปโจวเจิ้นได้รับเทียบเชิญจากสหายร่วมชั้นให้ไปที่แม่น้ำฉินไหว หลี่ซื่อจึงหยิบเสื้อผ้าเด็กแล้วเดินไปหาโจวเสาจิ่น
“เมื่อวานหลังจากที่ได้ยินถ้อยคำของคุณหนูรองแล้วก็รู้ได้เลยว่าเจ้าเป็นยอดฝีมือด้านการปักเย็บผู้หนึ่ง” นางหยิบลวดลายอันหนึ่งให้โจวเสาจิ่นพิเคราะห์ดู “เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไรหากข้าจะปักขอบเช่นนี้ลงบนแขนเสื้อกับชายเสื้อ”
โจวเสาจิ่นครุ่นคิดดูแล้วก็คิดว่าน่าจะสวยงามยิ่งนัก จึงยิ้มพลางกล่าวว่า “ฮูหยินลองปักดูสักหน่อยก็ไม่เสียหายเจ้าค่ะ”
หลี่ซื่อพยักหน้ายิ้มๆ แล้วเอ่ยถึงเรื่องของหลานทิงขึ้นมา “…นางได้ยินว่าพวกข้าจะกลับมาที่จินหลิงก็ดีใจยิ่งนัก ทว่าไม่คิดว่านายท่านจะทิ้งนางไว้ ให้นางเดินทางไปเป่าติ้งพร้อมกับ**บสัมภาระของพวกข้า ไม่เช่นนั้นนางคงจะได้พบหน้าคุณหนูใหญ่กับคุณหนูรอง และโขกศีรษะคารวะพี่สาวจวงบนหลุมฝังศพของนางไปแล้ว!”
หากว่าไม่ได้เกิดเรื่องราวเหล่านั้นในชาติที่แล้ว โจวเสาจิ่นก็คงจะไม่คิดอะไรมากเป็นแน่ ทว่าพอเกิดเรื่องราวเหล่านั้นในชาติก่อน คำพูดของหลี่ซื่อก็ทำให้นางอดคิดมากไม่ได้
นางเฝ้าระวังอยู่ในใจ และกล่าวยิ้มๆ ว่า “รอให้ฮูหยินคลอดน้องชายแล้ว ค่อยพานางกลับมากราบไหว้บรรพบุรุษอีกครั้งก็ยังไม่สาย ถึงเวลานั้นนางก็จะได้พบหน้าพวกข้าด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น” หลี่ซื่อกล่าวยิ้มๆ “กลัวแต่ว่าหลานทิงจะไม่สบายใจ นางมักจะเล่าเรื่องที่พี่สาวจวงปฏิบัติกับนางตอนมีชีวิตอยู่อย่างไรบ้างให้นายท่านฟังอยู่บ่อยๆ ข้าคิดว่า พี่สาวจวงไม่อยู่แล้ว หลายปีมานี้ นางคงได้รับความทุกข์ใจมากเป็นแน่ ข้าจึงอยากจะกล่าวกับนายท่านสักหน่อย รอให้พวกข้าไปถึงเป่าติ้ง แล้วส่งคนคุ้มกันนางกลับมาสักครั้งหนึ่ง ให้นางได้ปัดกวาดทำความสะอาดสุสานของพี่สาวจวง และก็เป็นการดีให้นางได้แสดงความกตัญญูครั้งหนึ่ง ไม่รู้ว่าคุณหนูรองเห็นว่าสมควรหรือไม่”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ หลานทิงใช้นามของท่านแม่แย่งชิงความโปรดปรานกับหลี่ซื่อ เนื่องจากหลานทิงเป็นสาวใช้ที่ท่านแม่ทิ้งเอาไว้ให้ท่านพ่อ นางจึงไม่อาจจัดการเองได้ ดังนั้นจึงคิดหยิบยืมมือของตนมากำจัดหลานทิงแทนกระมัง
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางกล่าว “เรื่องภายในบ้านข้าไม่ได้เป็นผู้จัดการแม้แต่เรื่องเดียว ต้องถามท่านพี่ของข้าเจ้าค่ะ”
……………………………………………………………