ภาพจำของบิดาที่โจวเสาจิ่นมีอยู่นั้น ยังคงหยุดค้างเอาไว้เมื่อครั้งที่นางเห็นหน้าบิดาเป็นครั้งสุดท้าย
ในตอนนั้น บิดาเลิกสนใจเกี่ยวกับนางไปแล้ว แต่ทว่าทุกครั้งเมื่อถึงช่วงตรวจสอบใหญ่ประจำปีของของราชสำนัก นางมักจะสนใจอ่านราชกิจจานุเบกษาของราชสำนักเป็นพิเศษ มีอยู่ปีหนึ่ง นางได้ยินข่าวคราวว่าบิดาจะเข้ามารายงานผลการดำเนินงานที่เมืองหลวง นางรออยู่ที่ถงโจวถึงสี่วัน ถึงได้พบบิดา นางซ่อนตัวอยู่ในรถม้า มองดูบิดาที่ถูกบริวารล้อมหน้าล้อมหลังขึ้นรถม้าไป บิดาผู้เพิ่งจะเข้าสู่วัยสี่สิบปี ไว้หนวดเครา ร่างกายผ่ายผอม สีหน้าเหนื่อยล้า ตรงระหว่างคิ้วแต้มเอาไว้ด้วยความทุกข์ระทมหลายส่วน แม้จะอยู่ท่ามกลางมวลชน ทว่ากลับดูโดดเดี่ยวและเหงาหงอยยิ่งนัก
นางเพิ่งจะทราบเรื่องกำจัดมารดาเก็บบุตรเอาไว้ของหลี่ซื่อผู้เป็นมารดาเลี้ยง ทราบเรื่องบาดหมางของบิดากับหลี่ซื่อ และทราบว่าน้องชายต่างมารดาผู้นั้นมีชื่อว่าโจวจยาจิ่น…
แต่พอได้พบหน้ากันอีกครั้งในวันนี้ บิดากลับกลายเป็นผู้ที่มีกิริยาของบัณฑิตผู้ทรงความรู้ ดูเยาว์วัยเสมือนกับว่าแก่กว่าเฉิงสือไปเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น
ความแตกต่างนี้ช่างมากมายนัก!
โจวเสาจิ่นรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไหร่
ทว่าชายผู้นั้นกลับมองมาที่นางกับโจวชูจิ่น
“ชูจิ่น เสาจิ่น” เขาตะโกนเรียกชื่อของพวกนางสองพี่น้อง รอยยิ้มเอ่อล้นออกมาจากนัยน์ตาของเขาอย่างห้ามไม่อยู่
เป็นท่านพ่อ!
มีเพียงบิดาเท่านั้นที่พอเห็นพวกนางก็จะยิ้มออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจเช่นนั้นได้
แต่โจวเสาจิ่น…ยังคงรู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง
น้ำตาของโจวชูจิ่นพลันไหลพรั่งพรูออกมา
นางสะอึกสะอื้นกล่าวออกไปว่า “ท่านพ่อ”
โจวเสาจิ่นรู้สึกลังเลใจอย่างช่วยไม่ได้
ตนควรจะกล่าวอะไรออกมาด้วยหรือไม่
ใครจะรู้ว่าขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น โจวเจิ้นก้าวออกมาข้างหน้าสองสามก้าว เลิกชุดขึ้นแล้วหันไปคุกเข่าให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวน
“นี่เจ้าทำอะไร” เฉิงเหมี่ยนรีบก้าวออกไปดึงโจวเจิ้นเอาไว้ “รีบลุกขึ้นมาๆ!”
โจวเจิ้งคุกเข่าอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้นมา กล่าวว่า “ชูจิ่นกับเสาจิ่นมีวันนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะได้รับการดูแลอย่างทุ่มเทของท่านแม่ยาย พี่เขย และพี่สะใภ้ใหญ่ ข้าไม่อาจตอบแทนบุญคุณได้ทั้งหมด จึงขอโขกศีรษะให้ท่านแม่ยายสักสองสามครั้งแทนขอรับ!”
“อย่าเลยๆ” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนได้ยินแล้ว ก็รีบเอียงกายหลบหลีก พลางกล่าว “หัวเข่าของบุตรชายมีค่าดั่งทองคำ ความตั้งใจดีของเจ้าข้ารับเอาไว้แล้ว เจ้ายังไม่รีบพยุงบุตรเขยขึ้นมาอีก!” ประโยคสุดท้ายกลับเป็นการหันไปกล่าวกับเฉิงเหมี่ยน
โจวเจิ้นยืนกรานจะโขกศีรษะให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวน “หัวเข่าของบุตรชายมีค่าดั่งทองคำ ทว่าก็ยังต้องคุกเข่าให้ฟ้าดิน คุกเข่าให้บุพการีและครูบาอาจารย์ด้วยเช่นกัน สำหรับข้าแล้ว ท่านแม่ยายก็เปรียบเสมือนกับบิดามารดาผู้ให้กำเนิดอีกผู้หนึ่งของข้า” กล่าวเสร็จ โดยไม่สนใจฝุ่นต่างๆ บนพื้นดิน ก้มลงโขกศีรษะตึงๆๆ สามครั้งให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนอยู่บนทางเดินที่ปูไว้ด้วยหินสีคราม
“ไอ้โหยวๆ!” ขอบตาของฮูหยินผู้เฒ่ากวนแดงก่ำไปหมด
ฮูหยินผู้เฒ่าลำบากตรากตรำมาช่วงเวลาหนึ่ง แม้นจะไม่หวังสิ่งใดตอบแทน แต่เมื่อได้รับการแสดงความกตัญญูอย่างจริงใจ มีใครบ้างไม่รู้สึกปลาบปลื้มยินดี!
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนก้าวออกมาประคองโจวเจิ้นให้ลุกขึ้นด้วยตนเอง เมื่อเห็นหน้าผากของเขาเป็นรอยแดง ยังเปื้อนไปด้วยฝุ่น ปลอกเข่าสีขาวดั่งหิมะก็เปรอะเปื้อนไปด้วย จึงสั่งการฮูหยินใหญ่เหมี่ยนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “ยังไม่รีบให้สาวใช้ไปตักน้ำมาให้บุตรเขยเปลี่ยนชุดอีก”
ท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนของโจวเจิ้น ทำให้ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนค่อยๆ ทวีความรู้สึกดีที่มีต่อเขามากขึ้น ยังไม่ทันที่เสียงของฮูหยินผู้เฒ่ากวนจะได้สั่งการลงมา นางก็สั่งสาวใช้ไปตักน้ำมาแล้ว ยังกำชับกับสาวใช้ผู้นั้นอย่างละเอียดด้วยว่า “หยิบปลอกเข่าอันใหม่ที่เพิ่งตัดเย็บให้นายท่านเมื่อหลายวันก่อนคู่นั้นมาด้วย”
สาวใช้ยิ้มพลางรับคำแล้วออกไป
โจวเจิ้นเอี้ยวตัวกลับไป หันไปกวักมือไปทางด้านนอกประตู
สตรีสาวสะพรั่งผู้หนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับป้ารับใช้หนึ่งคน
นางมีรูปร่างสูงโปร่ง ดูแล้วเตี้ยกว่าโจวเจิ้นไปเพียงไม่กี่ส่วนเท่านั้น เสื้อคอตั้งผ้าไหมหูโจวสีขาวคลุมทับชั้นนอกเอาไว้ด้วยเสื้อกั๊กปี๋เจี่ยผ้าฝ้ายทอสีแดงขับเงินไร้ลวดลายตัวหนึ่ง สวมเครื่องประดับไข่มุกจากทางใต้ หน้าตางดงาม ท่วงท่าสุภาพอ่อนโยน
ป้ารับใช้ผู้นั้นดูแล้วน่าจะมีอายุประมาณสี่สิบกว่าปี รูปร่างค่อนข้างอวบอ้วน ใบหน้าแต้มรอยยิ้ม สวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมดิบสีม่วงอ่อนของดอกติงเซียงตัวหนึ่ง สวมเครื่องประดับทอง ดูเป็นมิตร สะอาดและเรียบร้อยยิ่งนัก
โจวเจิ้นชี้ไปยังสตรีผู้นั้นพลางกล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ากวนว่า “นี่คือหลี่ซื่อภรรยาของข้าขอรับ”
ป้าผู้เป็นบ่าวคนนั้นจึงประคองหลี่ซื่อเพื่อโขกศีรษะให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวน
แค่มองฮูหยินผู้เฒ่ากวนก็ดูออกแล้วว่านางกำลังตั้งครรภ์อยู่ จึงก้าวออกมาประคองหลี่ซื่อเอาไว้โดยทันที กล่าวกับโจวเจิ้นอย่างขุ่นเคืองว่า “ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกัน จะพูดจาเกรงใจให้มากพิธีไปเพื่ออะไร เจ้ามีบุตรชายสืบสกุลยากยิ่ง ทุกครั้งที่ข้านึกถึงก็รู้สึกปวดใจนัก ข้าดูท่าทางของฮูหยินแล้ว น่าจะเพิ่งตั้งครรภ์ได้สามถึงสี่เดือนเท่านั้น เจ้าพาฮูหยินกลับมาอย่างเร่งรีบเช่นนี้ได้อย่างไร” จากนั้นก็กล่าวกับหลี่ซื่อว่า “ไม่ต้องมากพิธีขนาดนี้หรอก! เดินทางมาไกล คงจะเหนื่อยแล้วกระมัง เจ้ารีบตามข้ากลับไปพักผ่อนในเรือนเถิด หากจะหวังให้บุรุษเหล่านี้เห็นใจเจ้าล่ะก็ เจ้าคงได้แต่อดทนไปโดยเปล่าประโยชน์เท่านั้น”
แววตาของฮูหยินผู้เฒ่าเปี่ยมไปด้วยความเมตตา น้ำเสียงจริงใจและเอื้ออาทร ทำให้จิตใจของหลี่ซื่อที่แขวนอยู่อย่างเป็นกังวลนั้นพลันวางลงได้อย่างสงบในชั่วพริบตา
นางยิ้มพลางกล่าว “นายท่านของพวกเรามักจะรำลึกถึงพระคุณของท่านกับท่านพี่สะใภ้ใหญ่อยู่เสมอ ได้พบหน้ากันเป็นครั้งแรก ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องคารวะท่านสักครั้ง จิตใจของข้าถึงจะสงบลงได้เจ้าค่ะ”
เมื่ออายุล่วงเลยมาถึงวัยเท่าฮูหยินผู้เฒ่ากวนนี้แล้ว ต่างก็ชอบเปลี่ยนเรื่องยุ่งยากให้เป็นเรื่องง่าย นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็เพียงคำนับข้าสักครั้งหนึ่งก็พอ เจ้าจะได้ไม่ต้องรู้สึกไม่สบายใจ”
หลี่ซื่อจึงรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากอย่างอดไม่ได้
นางรู้ดีว่าสามีให้ความเคารพนับถือคนจากตระกูลของภรรยาคนแรกยิ่งนัก และยิ่งเคารพท่านแม่ยายผู้ที่ช่วยให้การเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนบุตรสาวทั้งสองคนแทนเขาเป็นอย่างมาก หากสามารถผูกมิตรกับคนจากตระกูลของภรรยาคนแรกได้ สามีก็อาจจะให้ความสำคัญกับนางมากยิ่งขึ้นไปด้วย
หลี่ซื่อจึงคำนับฮูหยินผู้เฒ่ากวนอย่างตั้งอกตั้งใจ
เมื่อถึงคราวของฮูหยินใหญ่เหมี่ยน ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกล่าวยิ้มๆ ว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องคำนับข้าหรอก รอให้เจ้าคลอดคุณชายน้อยในท้องแล้ว ตอนที่พาคุณชายน้อยกลับมากราบไหว้บรรพชน ค่อยมาคารวะพวกข้าอีกครั้งก็ยังไม่สาย ครั้งนี้ ข้าจะบันทึกลงบัญชีเอาไว้ก่อน”
หลี่ซื่ออิ่มเอมไปด้วยความสุขความยินดี รู้สึกดีกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยิ่งนัก
สามีมีบุตรสาวแล้วสองคน สิ่งที่ปรารถนาในตอนนี้จึงเป็นบุตรชาย นางไหว้พระวิงวอนต่อทวยเทพ กระทั่งให้คำมั่นบนบานว่าจะปิดทองแด่องค์พระโพธิสัตว์ ทั้งหมดแล้วแต่เพื่อขอบุตรชายคนหนึ่ง
นางก้าวออกมาจับแขนของฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเอาไว้อย่างรักใคร่ ยิ้มพลางกล่าวว่า “ขอบคุณฮูหยินเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ บัญชีนี้ข้าจดจำเอาไว้แล้ว รอให้คลอดลูกแล้ว ข้าจะพาเขามาโขกศีรษะให้ฮูหยินหลายๆ ครั้งอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงของนางร่าเริง มีกลิ่นอายของการหยอกเย้าอยู่หลายส่วน ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายลงมาทันที
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกวักมือเรียกโจวเสาจิ่นสองพี่น้อง “พวกเจ้าก็มาโขกศีรษะให้บิดากับมารดาเลี้ยงของพวกเจ้าสักครั้งเถิด”
ป้ารับใช้ผู้มีไหวพริบดีคนหนึ่งหยิบเบาะสองอันมาวางลงที่ด้านหน้าของโจวเจิ้นเตรียมเอาไว้ก่อนแล้ว
โจวเจิ้นและหลี่ซื่อยืนรับการทำความเคารพจากโจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่น
ของขวัญการพบหน้าของหลี่ซื่อเป็นกล่องเล็กๆ สองกล่อง
เนื่องจากอยู่ต่อหน้าผู้คน จึงไม่อาจเปิดออกในตอนนี้ได้
ทั้งสองคนย่อเข่าทำความเคารพ และกล่าวขอบคุณหลี่ซื่อ
หลี่ซือยิ้มพลางกล่าวตอบรับตามมารยาทไปสองสามประโยค
โจวเจิ้นยื่นมือออกไปหมายจะลูบศีรษะของบุตรสาว ถึงได้สังเกตว่าบุตรสาวทั้งสองคนต่างเติบโตเป็นหญิงสาวกันหมดแล้ว จึงไม่ค่อยเหมาะสมจะให้เขาลูบศีรษะอีกแล้ว
เขาจึงหดมือกลับมาอย่างเก้อเขิน ยิ้มพลางมองสำรวจบุตรสาวทั้งสองคนอย่างห้ามไม่อยู่
บุตรสาวคนโตเกล้าผมเป็นมวยคู่ ปักปิ่นทองที่ประดับไว้ด้วยดอกไม้ดอกใหญ่ทำจากขนนกกระเต็น ส่วนบุตรสาวคนเล็กเกล้าผมเป็นมวยคล้อย ปักปิ่นมุกไว้เพียงอย่างเดียว คนหนึ่งสวมชุดสีเขียวต้นหลิว อีกคนสวมชุดสีชมพู ยืนเคียงข้างกัน ราวกับดอกไม้ในวสันตฤดูและพระจันทร์ในสารทฤดูก็ไม่ปาน…ทว่าบุตรสาวคนเล็กดูจะงดงามกว่าบุตรสาวคนโตอยู่เล็กน้อย
โจวเจิ้นลอบถอนหายใจลึกๆ อยู่ในใจอย่างห้ามไม่อยู่
ยิ่งโตเสาจิ่นก็ยิ่งเหมือนจวงซื่อ
เขาอดไม่ได้โอบไหล่ของโจวเสาจิ่นเอาไว้ แล้วเอ่ยถามโจวชูจิ่นว่า “พวกเจ้าพี่น้องไม่ได้ซุกซนจนทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากับท่านป้าใหญ่ต้องเคืองโกรธใช่หรือไม่”
โจวเสาจิ่นโตมาขนาดนี้ ทว่านี่กลับเป็นครั้งแรกที่มีบุรุษมาโอบไหล่นางเช่นนี้
นางอดเกร็งตัวไม่ได้ เห็นพี่สาวเม้มริมฝีปากกลั้นยิ้ม พลางกล่าวขึ้นว่า “พวกข้าไม่ใช่เด็กเล็กๆ อีกแล้วนะเจ้าคะ ไหนเลยจะเล่นซุกซนจนทำให้ท่านยายกับท่านป้าใหญ่เคืองโกรธได้เจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหัวเราะร่า พลางกล่าว “หลายปีก่อนโน้นอาจจะยังมีซุกซนอยู่บ้าง ทว่าหลายปีมานี้ เด็กทั้งสองคนทั้งรู้ความและเอาใจใส่ ต่อไปหากว่าเด็กทั้งสองคนแต่งงานออกเรือนไปแล้ว วันเวลาของข้านี้…ยังไม่รู้เลยว่าจะทนอยู่ได้อย่างไร” กล่าวถึงตอนท้าย ก็สะอื้นจนดวงตาแดงก่ำ
“ดูท่านสิเจ้าคะ!” ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนไปด้วย พลางกล่าวตำหนิไปด้วยว่า “บรรยากาศกำลังดีๆ กลับพูดเรื่องนี้ขึ้นมา มีแต่จะทำให้ท่านบุตรเขยต้องปวดใจตามไปด้วย ท่านอย่าพูดอีกเลย ไม่ง่ายเลยที่ท่านบุตรเขยจะได้กลับมาหนหนึ่ง นับเป็นเรื่องที่น่ายินดี ท่านควรจะชื่นชมยินดีถึงจะถูกเจ้าค่ะ”
“เป็นข้าที่ไม่ดีเองๆ” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนรับผ้าเช็ดหน้ามา พลางยิ้มออกมา แล้วกล่าวกับโจวเจิ้นกับหลี่ซื่อว่า “พวกเราเข้าไปคุยกันในเรือนเถอะ”
ทุกคนต่างพากันตอบรับเห็นด้วย โจวเจิ้นจึงโอบไหล่โจวเสาจิ่นเอาไว้เช่นนี้แล้วเดินเข้าไปในห้องรับแขกของเรือนเจียซู่
หลี่ซื่อแลกเปลี่ยนสายตากับป้ารับใช้ที่ตนพามาด้วย
สามีไม่เพียงไว้ทุกข์ให้จวงซื่อนานถึงสามปี แต่ยังแขวนภาพเหมือนของจวงซื่อเอาไว้ในห้องหนังสือมาตลอดอีกด้วย แม้นไม่กล่าวออกมาก็เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า ผู้ที่สามีรักใคร่ที่สุดก็คือจวงซื่อ แต่ปฏิบัติกับบุตรสาวที่จวงซื่อทิ้งเอาไว้ให้อย่างลำเอียงขนาดนี้ หลี่ซื่อเองก็คาดไม่ถึงอยู่บ้าง
นางเข้าใจว่า เมื่อถึงวัยเท่าสามีนี้ ควรจะคาดหวังให้นางสามารถให้กำเนิดบุตรชายถึงจะถูก
ดูจากท่าทีแล้ว นางคงต้องดีกับโจวเสาจิ่นให้มากหน่อยถึงจะใช้ได้
หลี่ซื่อเดินตามคนอื่นๆ เข้าไปยังห้องรับแขกด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แล้วนั่งลงตามลำดับความอาวุโส
จากนั้นนางสังเกตเห็นว่าโจวเสาจิ่นยืนอยู่ข้างกายสามี ส่วนโจวชูจิ่นยืนอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ากวน
ในสายตาของผู้อื่นคงมองว่า โจวชูจิ่นโตเป็นสาวแล้ว จึงไม่อาจใกล้ชิดกับบิดามากขนาดนั้นได้แล้ว ทว่าเมื่อมองจากสายตาของหลี่ซื่อแล้ว เห็นได้ชัดว่าสามีโปรดปรานบุตรสาวคนเล็กมากกว่าเล็กน้อย
พวกสาวใช้ยกน้ำชาและของว่างมาขึ้นโต๊ะ สาวใช้ที่ไปตักน้ำกับสาวใช้ที่ไปหยิบปลอกเข่าก็มาถึงแล้วเช่นกัน เฉิงเหมี่ยนพาโจวเจิ้นไปเปลี่ยนชุดที่เรือนหานชิวด้วยตนเอง ส่วนหลี่ซื่อและคนอื่นๆ อยู่สนทนากับฮูหยินผู้เฒ่ากวนที่เรือนเจียซู่
หลี่ซื่อกล่าวแนะนำป้ารับใช้ที่ติดตามมาด้วยให้กับฮูหยินผู้เฒ่ากวน “…แต่ก่อนคอยรับใช้ท่านแม่ของข้า ต่อมาติดตามข้ามาที่ตระกูลโจวด้วย ตระกูลสามีก็แซ่หลี่เช่นกันเจ้าค่ะ”
หลี่มามาโขกศีรษะให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนและคนอื่นๆ
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนและคนอื่น ๆ ต่างตกรางวัลให้นาง ฮูหยินผู้เฒ่ากวนให้นางคอยรับใช้อยู่ภายในห้อง “…ฮูหยินของพวกเจ้ากำลังตั้งครรภ์อยู่ เจ้าเป็นบ่าวที่คอยรับใช้อยู่ใกล้ตัว สิ่งที่ฮูหยินของพวกเจ้าโปรดปรานเจ้าย่อมรู้ดีกว่า”
หลี่มามาขานรับอย่างนอบน้อม แล้วยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ด้านหลังของหลี่ซื่อ
ทุกคนต่างก็ยังไม่สนิทสนมกัน และยังเป็นครั้งแรกที่ได้พบหน้ากันด้วย พูดกันไปพูดกันมา ก็ไม่พ้นพูดคุยกันถึงเรื่องขนบธรรมเนียมของแต่ละท้องถิ่นและชีวิตความเป็นอยู่ในแต่ละวัน กระทั่งโจวเจิ้นเปลี่ยนชุดกลับมา ก็ถึงเวลารับมื้อเที่ยงพอดี สำรับอาหารยกมาตั้งในห้องรับแขก บุรุษโต๊ะหนึ่ง สตรีโต๊ะหนึ่ง โดยไม่ได้ตั้งฉากกั้น เนื่องจากว่าอีกสักครู่ยังต้องไปคารวะท่านผู้นำตระกูลจวนรอง โจวเจิ้นและคนอื่นๆ จึงไม่ดื่มสุรา ถึงกระนั้นก็ตาม พวกเครื่องเคียง อาหารเรียกน้ำย่อย ชาร้อน น้ำแกง และของหวาน…ทั้งหมดนี้ล้วนถูกนำมาขึ้นโต๊ะเป็นสาย ซึ่งก็ใช้เวลาทานไปเกือบหนึ่งชั่วยาม จนถึงเวลาที่จะต้องไปคารวะท่านผู้นำตระกูลจวนรองพอดี
หลังจากดื่มชากันอย่างรีบเร่งไปแล้ว เฉิงเหมี่ยนก็ไปจวนรองพร้อมกับโจวเจิ้น
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเตรียมการให้หลี่ซื่อไปพักผ่อนที่เรือนหานชิว จึงกล่าวขึ้นว่า “ของฝากของแต่ละจวนได้ทำการจัดส่งไปให้เรียบร้อยแล้ว เจ้าใช้เวลานี้ไปนอนพักสักหน่อย เมื่อท่านบุตรเขยเข้าพบท่านผู้นำตระกูลเสร็จแล้ว ข้าค่อยไปพบบรรดานายหญิงผู้เฒ่า ฮูหยิน และสะใภ้ของแต่ละจวนเป็นเพื่อนเจ้า”
หลี่ซื่อยิ้มพลางกล่าว “ข้าไม่เหนื่อยเลยเจ้าค่ะ เพียงแต่ว่าไม่อาจไปรบกวนการพักผ่อนช่วงกลางวันของนายหญิงผู้เฒ่าได้” นางกล่าวพลางหันไปมองโจวเสาจิ่นสองพี่น้องด้วยรอยยิ้ม กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “เช่นนั้น พวกเราไปพูดคุยกันที่เรือนหานชิวดีหรือไม่”
นี่เป็นความตั้งใจดีของหลี่ซื่อที่อยากจะสร้างความสนิทสนมกับโจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่นให้มากยิ่งขึ้น ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนย่อมยินดีที่ได้เห็นความสัมพันธ์อันดีนี้
สองพี่น้องตระกูลโจวจึงตามฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกับหลี่ซื่อไปที่เรือนหานชิว
……………………………………………………………