เฉิงลู่กับเฉิงสวี่ล้วนอยู่ที่ศาลาริมน้ำ
พานชิงจะไปทำอะไรที่นั่น?
โจวเสาจิ่นรู้สึกอยู่รางๆ ว่าเรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับเฉิงสวี่
แต่ทำไมนางถึงเลือกที่จะพบกับเฉิงสวี่ในวันนี้?
คนของจวนสามจะรู้เรื่องด้วยหรือไม่นะ?
นางมองไปที่เฉิงเสียน
เฉิงเสียนกำลังสนทนาอย่างยิ้มแย้มอยู่กับฮูหยินใหญ่อวี้ ดูเหมือนว่าไม่ได้สังเกตเห็นพานชิงที่อยู่ข้างกายนางมาโดยตลอดนั้นตอนนี้กลับไม่อยู่ในห้องโถงรับแขกเสียแล้ว
นางมองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่หัวเราะร่าขณะที่ฟังฮูหยินผู้เฒ่ากัวกับฮูหยินผู้เฒ่าถังพูดคุยกัน ดูเหมือนไม่ได้สนใจผู้คนรอบข้างเลยเช่นกัน
โจวเสาจิ่นจึงมองไปที่เจียงซื่อ
ถึงแม้ว่าเจียงซื่อกำลังฉีกยิ้มอยู่ ทว่านางกลับดูไม่กระตือรือร้นเหมือนเช่นในยามปกติ กลับยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ ขณะที่ฟังผู้คนสนทนากันอยู่นั้น สายตาก็เหลือบมองประตูที่นำไปสู่ศาลาริมน้ำทางฝั่งตะวันออกอย่างรวดเร็วเป็นพักๆ
โจวเสาจิ่นจึงเข้าใจในทันที
แท้จริงแล้ว พานชิงได้รับการหนุนหลังจากจวนสาม หรือไม่ก็เป็นเจตนารมณ์ของจวนสาม?
นางยิ้มเยาะอยู่ในใจ ดึงแขนเสื้อของเฉิงเจีย แล้วกระซิบว่า “พานชิงออกไปที่ศาลาริมน้ำแล้ว พวกเราตามไปดูด้วยดีหรือไม่”
“ไป ย่อมต้องไปอย่างแน่นอน” เฉิงเจียแอบย่องออกไปจากห้องโถงรับแขกพร้อมกับโจวเสาจิ่นอีกครั้งอย่างไม่ลังเล “นางไปที่ศาลาริมน้ำทำไม”
“ไม่รู้สิ” โจวเสาจิ่นตอบ “ตามไปดูกันก่อนแล้วค่อยวางแผนอีกที”
เฉิงเจียพยักหน้าเห็นด้วย
ทั้งสองคนมุ่งไปยังศาลาริมน้ำด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด
ไม่นานนัก พวกนางก็มองเห็นพานชิง
นางยืนอยู่ใต้ต้นไทรต้นใหญ่ข้างนอกศาลาริมน้ำ มองไปที่ศาลาริมน้ำด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง ท่าทางราวกับตัดสินใจไม่ได้เสียทีว่าควรจะเข้าไปดีหรือจะกลับออกไปดี
เฉิงเจียกระโดดพรวดขึ้นทันใด กระซิบกล่าวว่า “นางต้องมาหาพี่ชายสวี่เป็นแน่ เจ้าดูท่าทางของนางสิ ต่อให้ชื่นชอบพี่ชายสวี่มากเพียงใด จะเก็บอาการสักนิดก็ไม่ได้เชียวหรือ จำต้องไล่ตามอย่างร้อนรนขนาดนี้ หากว่ามีคนเห็นกริยาเช่นนี้เข้า คิดว่านางคงจะไม่ได้แต่งงานแล้วล่ะ…นี่จะทำให้ท่านย่า ท่านอากับท่านแม่ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ท่านแม่ของข้าชื่นชมนางอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน นางยังจะฉีกหน้าท่านแม่ของข้าอย่างนั้นหรือ ช่างน่าขายหน้าเสียจริงๆ…”
โจวเสาจิ่นเงียบงันไปชั่วขณะ
เฉิงเจีย…กล่าวถึงแผนการของจวนสามออกมาได้อย่างตรงจุดโดยไม่รู้ตัว…พานชิงคิดจะแต่งงานกับเฉิงสวี่ แท้จริงแล้วจวนสามต้องการสานสัมพันธ์ด้วยการแต่งงานกับจวนหลัก…
นางคิดถึงถ้อยคำของบรรดาบ่าวรับใช้เหล่านั้นในซอยจิ่วหรูที่มักจะกล่าวอยู่เสมอว่า …อย่ามองจวนสามที่โลดเต้นยินดี ทำธุรกิจค้าขายใหญ่โต มีเงินมีทอง ทั้งหมดนั่นล้วนแต่เป็นส่วนที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ยามที่พวกเขาเผชิญหน้าจวนหลักและจวนรอง ก็สิ้นท่าลงทันที รู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด ก็เพราะจวนสามไม่มีบุตรหลานที่รับราชการ ถ้าหากไม่มีจวนหลักและจวนรองช่วยเป็นเส้นสายให้ ก็ไม่ต้องกล่าวถึงอะไรอีกแล้ว ภาษีอากรของโอสถสมุนไพรในร้านโอสถจากด่านศุลกากรตะวันออกเฉียงเหนือจนถึงเมืองจินหลิงนั้น สามารถขูดลอกผิวหนังชั้นหนึ่งของจวนสามได้เลยทีเดียว ยังจะกล่าวว่าจวนสามทำธุรกิจการค้าอะไรอีกหรือ
นี่ก็เป็นเหตุผลที่โจวเสาจิ่นไม่ได้นำเอาเรื่องพวกนี้มาใส่ใจนัก
เฉิงจิ้นนายท่านผู้เฒ่าของจวนสามเคยเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความรู้มาก่อนเช่นกัน ทั้งยังสอบผ่านได้เป็นจิ่วเหรินอย่างราบรื่นพร้อมกันกับเฉิงเซ่านายท่านผู้เฒ่ารองของจวนหลัก ต่อมาเฉิงจิ้นได้ละทิ้งการเตรียมตัวสอบเข้าราชสำนัก ไปมุ่งมั่นดูแลธุรกิจกิจการของจวนสาม ทำให้ร้านโอสถย่งโซ่วถังของจวนสามกลายเป็นกิจการค้าขายโอสถสมุนไพรที่ใหญ่ที่สุดในเจียงหนาน ทว่าเฉิงหลูนายท่านใหญ่ของจวนสาม เชื่อฟังอยู่ในโอวาทมาตั้งแต่ยังเล็ก ยอมตรากตรำร่ำเรียน ทว่าแม้นจะแขวนผมไว้กับขื่อเอาเข็มทิ่มแทงขาให้ตื่น ก็สอบผ่านได้เป็นเพียงซิ่วไฉ เพราะจริงๆ แล้วไม่มีพรสวรรค์ด้านการศึกษาเล่าเรียน ตามเหตุและผลแล้ว เฉิงหลูควรจะเลิกคิดถึงเรื่องการสอบขุนนางถึงจะถูก ทว่าเขากลับยังคงเอาแต่เรียนและหมกมุ่นอยู่กับหนังสือ เฉิงจิ้นก็ไม่ได้เกลี้ยกล่อมห้ามปรามเขาแต่อย่างใด จึงเลี้ยงดูเขาเช่นนี้มาตลอด ในทางตรงกันข้าม กลับให้เฉิงเจิ้งผู้เป็นบุตรชาย ซึ่งก็คือพี่ชายร่วมบิดามารดาของเฉิงเจียเดินนำอยู่ข้างหน้า สอบได้เป็นซิ่วไฉตั้งแต่อายุยังน้อยๆ…
คิดถึงเรื่องราวเหล่านี้แล้ว ใจโจวเสาจิ่นก็เต้นระทึก
หากว่านางจำไม่ผิดล่ะก็ ดูเหมือนว่าเฉิงเจิ้งสอบได้เป็นซิ่วไฉขณะที่อายุสิบหกปี ทว่านับแต่นั้นมาก็ไม่เคยเข้าร่วมการสอบขุนนางอีกเลย
ถึงแม้ทักษะพื้นฐานของเขาจะไม่แน่น ผ่านไปสี่ปีแล้ว กลับไม่ลองลงสอบขุนนางเลยสักครั้ง… สำหรับตระกูลเฉกเช่นตระกูลเฉิงนี้ที่มีผู้ใหญ่ที่สามารถชี้แนะการเตรียมตัวสอบขุนนางให้กับพวกรุ่นหลัง จึงไม่ค่อยสมเหตุสมผลสักเท่าไหร่
ในชาติก่อน หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นกับเฉิงสวี่ ตอนที่เขาเริ่มติดสุราเมามายและซึมเศร้าสิ้นหวังนั้น เฉิงเจิ้งถึงได้เริ่มเข้าร่วมการสอบขุนนาง อีกทั้งด้วยการชี้แนะของเฉิงจิง ไม่นานก็สามารถรุดหน้าเหนือกว่าเฉิงสือที่สอบได้เป็นจิ่วเหรินก่อนหน้าเขาอย่างรวดเร็ว สอบผ่านการสอบขุนนาง และเข้าประจำในสำนักซู่จี๋ซื่อ…
โจวเสาจิ่นรู้สึกหายใจติดขัดเล็กน้อย
หรือว่า…หรือว่าจวนหลักกับจวนรองร่วมมือกันกดคุมจวนสามมาโดยตลอด ฉุดรั้งไม่ให้จวนสามสอบเข้าราชสำนักได้สำเร็จ…ดังนั้น พวกเขาถึงได้ยอมเสี่ยงอันตรายในเรื่องการแต่งงานของพานชิงกับเฉิงสวี่…หากว่าพานชิงแต่งเข้าจวนหลักไป นอกจากจะเกี่ยวดองกันแล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า อาจจะเป็นสัญญาณบ่งบอกการปรองดองอย่างหนึ่งก็เป็นได้…ด้วยเหตุนี้ ท่านยายจึงไม่ยอมเป็นแม่ชักแม่สื่อให้ และไม่เปิดเผยเรื่องที่เฉิงเสียนอยากให้พานชิงแต่งกับเฉิงสวี่ให้กับหยวนซื่อใช่หรือไม่?
ในปีนั้นที่ตระกูลแตกหักกันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
โจวเสาจิ่นมองภาพอันโชติช่วงชัชวาลที่อยู่เบื้องหน้า มีความรู้สึกหนึ่งว่าสิ่งที่ตนเองมองเห็นอยู่นั้นล้วนแต่เป็นภาพลวงตา แท้จริงแล้วเบื้องหน้าของนางมีอสูรยักษ์ตัวหนึ่งซุ่มหมอบอยู่ เพียงแค่พลั้งเผลอไม่ระวัง มันก็จะเผยรูปร่างที่แท้จริงออกมา และจับนางกลืนกินจนไม่เหลือซาก
“เสาจิ่น เสาจิ่น” เฉิงเจียกระตุกนางเบาๆ
โจวเสาจิ่นได้สติกลับมา
เฉิงเจียบ่นขมุบขมิบว่า “ข้าพูดกับเจ้าอยู่แต่เจ้ากลับวอกแวกไปได้ ข้าล่ะชื่นชมเจ้าเสียจริงๆ! เจ้าบอกว่ามีวิธีทำให้พานชิงอับอายขายหน้าไม่ใช่หรือ ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไร”
จะทำอย่างไรหรือ
ชาติที่แล้ว เรื่องที่นางถูกเฉิงสวี่ทำลายเกียรติ แม้นจวนสามจะไม่ได้มีส่วนร่วมโดยตรง ก็ต้องเป็นผู้ที่ยื่นมีดให้อยู่ข้างๆ เป็นแน่
ชาตินี้ นางต้องการเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของจวนสาม
อย่างน้อยก็บอกใบ้ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวทราบแผนการของจวนสาม
การกระทำของพานชิงนั้นไม่เพียงแต่แฝงความปรารถนาของนางเอง แต่ยังแฝงการสนับสนุนช่วยเหลือของจวนสามด้วยเช่นกัน
“พวกเรากลับไปที่ห้องโถงรับแขกกันเถอะ” โจวเสาจิ่นกล่าว “ห้ามให้พวกบุรุษที่ศาลาริมน้ำสังเกตเห็นพานชิง”
ในชาติก่อน เหตุผลหลักประการหนึ่งที่หยวนซื่อเกลียดชังนางก็เพราะว่าการปรากฏตัวของนางทำลายการแต่งงานเพื่องเกี่ยวดองความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเฉิงกับตระกูลหมิ่นทั้งสองตระกูล และดับอนาคตของเฉิงสวี่
สถานะตระกูลของพานชิงไม่ได้ดีไปกว่านางนัก การที่พานชิงแต่งงานกับเฉิงสวี่ ก็เป็นการหยุดยั้งไม่ให้เฉิงสวี่ได้แต่งงานกับตระกูลที่เรืองอำนาจกว่าเช่นกัน เฉิงเจิ้งกับเฉิงสือล้วนแต่เป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์
ในศาลาริมน้ำมีเฉิงเจิ้งและพานจ้าว ทั้งยังมีเฉิงสือผู้คอยดูไฟชายฝั่งอยู่ข้างๆ เตรียมกระพือคลื่นให้โหมกระหน่ำซัดโถมอยู่ทุกเมื่อ ในตอนนี้ผลประโยชน์ของพวกเขายังคงเป็นหนึ่งเดียวกัน มีพวกเขาคอยช่วยพานชิงอยู่ นางจึงไม่อาจสาวไปถึงแผนการของจวนสามได้เลย
โจวเสาจิ่นฉุดเฉิงเจียแล้วมุ่งไปยังห้องโถงรับแขก
เฉิงเจียถูกนางกระชากโดยไม่ทันตั้งตัวจนเดินซวนเซ จึงกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้าจะทำอะไรหรือ ทำไมอยู่ๆ ถึงกลายเป็นคนแรงมากขนาดนี้ได้…”
โจวเสาจิ่นไม่มีเวลาอธิบายให้นางฟัง ต่อให้อธิบายไปก็อธิบายอย่างกระจ่างแจ้งไม่ได้อยู่ดี เมื่อเข้าไปในห้องโถงรับแขกแล้วก็ตัดสินใจคว้าตัวมามาผู้เป็นแม่บ้านให้การรับใช้อยู่ในนั้นเอาไว้แน่น พลางกล่าวถึงพานชิงขึ้นมาว่า “…ออกไปนานเยี่ยงนั้นแล้วแต่ก็ยังไม่กลับเข้ามา พวกข้าเพิ่งจะไปที่ห้องทางการมาก็ไม่พบเห็นนาง พวกเจ้ารีบส่งบ่าวไปตามหาที”
ห้องทางการเป็นคำสุภาพ หมายถึงโถส้วม ซึ่งก็คือห้องสุขา
เสียงของนางไม่ดัง แต่ก็ไม่เบา อบอุ่นอ่อนโยน และเต็มไปด้วยความห่วงใย
ผู้คนมากมายต่างหันมามอง และพบว่าพานชิงไม่อยู่ในห้องโถงรับแขก
ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่ดูไม่สบายใจเล็กน้อย กล่าวขึ้นว่า “เจ้าเด็กคนนี้ ไม่รู้ว่าไปที่ไหนเสียแล้ว” พอเห็นว่าเฉิงเจียกับโจวเสาจิ่นอยู่ด้วยกัน ก็กล่าวอีกว่า “หลานเจีย เจ้าอยู่กับพี่สาวของเจ้าไม่ใช่หรือ รู้หรือไม่ว่านางไปที่ไหนเสียแล้ว”
นี่ช่างเป็นการกล่าวคำโกหกขณะที่ยังลืมตาอยู่เสียจริงๆ
เห็นได้ชัดว่าเฉิงเจียอยู่กับตนมาโดยตลอด ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กลับโกหกว่าเฉิงเจียอยู่กับพานชิง
โจวเสาจิ่นมองคิ้วของเจียงซื่อขมวดเป็นปมอยู่รางๆ คิดอยากจะกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่ากลับถูกเฉิงเจียชิงกล่าวตัดหน้า “ไม่เลยเจ้าค่ะ! ข้าอยู่กับเสาจิ่นตลอด หากว่าท่านไม่เชื่อ ก็สามารถถามเสาจิ่นได้ พวกเราเพิ่งจะกลับเข้าจากห้องทางการพร้อมกันเจ้าค่ะ”
ท่าทางที่ดูมึนงงและไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ ของนาง ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหลี่พูดไม่ออกและเงียบงันอยู่นาน
โจวเสาจิ่นเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา
พานชิงกับสาวใช้เด็กเดินเข้ามาจากข้างนอกอย่างรีบเร่ง
เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังมองนางอยู่ ใบหน้าของนางจึงแดงระเรื่อ เอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าเคอะเขินว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” จากนั้นก็พยายามอธิบายกลบเกลื่อนไปว่า “ข้าเพิ่งไปห้องทางการมาเจ้าค่ะ ตอนที่ออกมา เห็นดอกหลานฮวาหลายดอกข้างห้องโถงรับแขกกำลังบานสะพรั่งสวยดี จึงไปเดินชม นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”
“จะเกิดเรื่องขึ้นได้อย่างไร” เจียงซื่อกล่าวยิ้มๆ ขึ้นมาทันที “น้องสาวเสาจิ่นของเจ้า พอไม่เห็นเจ้า ก็เป็นห่วงเจ้า และให้พวกข้าไปตามหาเจ้าเท่านั้นเอง…”
ทุกคนต่างรู้สึกโล่งอกไปครั้งหนึ่ง บรรยากาศในห้องโถงรับแขกพลันเปลี่ยนเป็นรื่นเริงครื้นเครงขึ้นมาอีกครั้ง ผู้คนในงานต่างพูดคุย และทำกิจกรรมของแต่ละคนกันไป
พานชิงยิ้มพลางก้าวออกมากล่าวขอบคุณโจวเสาจิ่น ขอบคุณความห่วงใยของนาง
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับสังเกตเห็นว่า สาวใช้เด็กข้างกายพานชิงไม่ใช่คนที่นางใช้อยู่เป็นประจำคนนั้นอีกทั้งไม่ใช่สาวใช้เด็กคนนั้นที่กระซิบพูดกับนางข้างหน้าศาลาริมน้ำเมื่อสักครู่คนนั้นด้วย
นางไม่เอ่ยตอบอะไร เพียงยิ้มน้อยๆ ให้พานชิง
ทว่าพานชิงกลับชายตามองเฉิงเจียอย่างเย็นชาครั้งหนึ่ง
เฉิงเจียงงงันพูดอะไรไม่ออก
แต่โจวเสาจิ่นกลับรู้ดีว่า พานชิงเข้าใจเฉิงเจียผิด นางคิดว่าเฉิงเจียเพ่งเล็งนางอยู่ พอเห็นว่านางไม่อยู่ก็เอะอะโวยวายเสียใหญ่โตขึ้นมา
เฉิงเจีย…บางครั้งก็ถูกปฏิบัติอย่างอยุติธรรมเสียจริง…
โจวเสาจิ่นหลุบตาลงด้วยความละอาย
เฉิงเจียโกรธจัด กำลังจะกล่าวอะไรออกมา แต่ก็ถูกเจียงซื่อเรียกตัวไปเสียก่อน
โจวเสาจิ่นขบคิดไปมา เห็นฮูหยินใหญ่เหมี่ยนกำลังคุยกับแขกอยู่ที่มุมห้องโถงรับแขก จึงยิ้มพลางเดินเข้าไปหา กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่นขึ้นว่า “ตอนที่ข้าออกไปเมื่อครู่พบว่ามีคนอยู่ในศาลาริมน้ำทางด้านนั้น พอถามพวกมามาผู้เป็นแม่บ้านถึงได้รู้ว่า เป็นพวกพี่ชายสือที่นั่งรับลมอยู่ตรงนั้น ท่านว่า พวกเราควรจะส่งบ่าวไปคอยรับใช้ทางด้านนั้นดีหรือไม่ ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยามกว่าจะถึงพิธีอวยพรวันเกิดเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินใหญ่เหมี่ยนพยักหน้าหงึกๆ สั่งมามาผู้เป็นแม่บ้านให้ไปจัดการเรื่องนี้ ยิ้มพลางชมเชยนางว่า “เสาจิ่นยังคงละเอียดรอบคอบอยู่เช่นเคย ไม่เช่นนั้นข้าก็คงจะยังไม่รู้เรื่องนี้!”
ฮูหยินสองสามคนที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วก็พากันชื่นชมนาง
โจวเสาจิ่นหน้าแดงเรื่ออย่างห้ามไม่อยู่ พึมพำกล่าวขอบคุณสองสามประโยค แล้วหมุนกายไปหาเฉิงเจีย
ป้าผู้เป็นบ่าวรับใช้ข้างกายเจียงซื่อคอยมองเฉิงเจียอยู่ ไม่ให้นางเดินเพ่นพ่านตามใจชอบ
โจวเสาจิ่นกับเฉิงเจียนั่งอยู่มุมห้องในจุดที่เจียงซื่อสามารถมองเห็นได้ กระซิบกระซาบพูดคุยถึงเรื่องของพานชิง
พระอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนตัวสูงขึ้น
แขกทุกคนเกือบมากันครบแล้ว
เสียงหัวเราะปีติยินดีภายในห้องโถงรับแขกจึงยิ่งทวีความครึกครื้นขึ้น
พานชิงที่นั่งอยู่ในห้องโถงรับแขกกับเฉิงเสียนนั้นหายตัวไปเสียแล้ว
นางนิ่งเงียบไม่เอ่ยบอกใคร พูดคุยกับเฉิงเจียต่อไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง สาวใช้เด็กที่คอยจับตามองพานชิงนั้นก็หันมาขยิบตาให้นาง
โจวเสาจิ่นนั่งต่ออีกสักพัก แล้วจึงกล่าวกับเฉิงเจียว่า “ข้าอยากไปห้องทางการ เจ้าจะไปด้วยหรือไม่”
“ไป!” เฉิงเจียผู้นั่งอยู่นิ่งๆ มานานจนความเคืองแค้นแน่นทั่วท้อง จึงอยากจะเดินไปมาสักหน่อย
มีสาวใช้เด็กวิ่งไปบอกเจียงซื่อ
เจียงซื่อพยักหน้าอนุญาต
ป้าผู้เป็นบ่าวรับใช้ของจวนสามติดตามโจวเสาจิ่นกับเฉิงเจียออกจากห้องโถงรับแขกไป
โจวเสาจิ่นปัดมือบอกเป็นนัยให้ป้าคนนั้นยืนอยู่ห่างๆ แล้วกระซิบข้างหูเฉิงเจียว่า “เจ้ากล้าไปศาลาริมน้ำกับข้าหรือไม่!”
ดวงตาดวงโตที่ตาดำตัดกับตาขาวอย่างชัดเจนของเฉิงเจียกระพริบรัวเร็ว
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางพยักหน้า
“วิ่ง!” ทันใดนั้น เฉิงเจียก็ดึงมือของโจวเสาจิ่นแล้ววิ่งไปยังศาลาริมน้ำ “ไม่มีอะไรร้ายแรงต้องเป็นกังวล! อย่างมากที่สุดกลับไปก็ถูกท่านแม่ลงโทษครั้งหนึ่งเท่านั้น! ไม่สู้ข้าถูกท่านแม่ลงโทษยังจะดีเสียกว่าทนเห็นท่าทางเสแสร้งของพานชิง!”
………………………………………………………………….