หมิงเฮ่อเห็นโจวเสาจิ่นหน้าแดงก่ำไปทั้งหน้า แม้แต่ลำคอก็ยังเป็นสีชมพูจาง ๆ ก็ละล้าละลังที่จะหัวเราะอีก จึงกล่าวกับโจวเสาจิ่นขึ้นมาว่า “คุณหนูรองตัดสินใจหรือยังว่าจะทำรูปแบบอะไร หวังเหนียงจื่อถือเป็นผู้เชี่ยวชาญ ท่านถามนางย่อมไม่มีผิดอย่างแน่นอน” ยังกล่าวอีกว่า “น่าเสียดายที่งานเย็บปักของที่เรือนพวกข้านั้นเป็นพี่สาวหนานผิงเป็นผู้ดูแล ข้านั้นมือเท้าหยาบ ทำเป็นแต่ยกอาหารรินน้ำชาเท่านั้น จึงไม่อาจช่วยเหลืออะไรท่านได้”
คำพูดอย่างสนิทสนมกับคนไม่สนิท ก็เป็นเพียงคำพูดอย่างสุภาพประเภทหนึ่งเท่านั้น
โจวเสาจิ่นกล่าวขอบคุณหมิงเฮ่อ เมื่อหมิงเฮ่อพูดคุยเรื่องถุงเท้าเสร็จแล้ว ก็ลุกขึ้นกล่าวอำลา
หงหรุ่ยคนข้างกายของสะใภ้ใหญ่สือมองตามหลังของหมิงเฮ่อที่อยู่ไกลออกไป แววตาเหม่อลอยเล็กน้อย “คิดไม่ถึงว่าแม่นางที่โดดเด่นอย่างหมิงเฮ่อจะเป็นเพียงคนที่วิ่งทำธุระอยู่ในเรือนผู้หนึ่งของนายท่านสี่เท่านั้น” กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ไม่รู้ว่าแม่นางหนานผิงผู้ดูแลเรื่องในเรือนผู้นั้นจะเป็นคนที่ไม่ธรรมดาขนาดไหน”
หวังเหนียงจื่อได้ยินแล้วก็หัวเราะขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ พลางกล่าว “เจ้าดูท่าทางของหมิงเฮ่อเช่นนั้น เหมือนคนที่วิ่งทำธุระผู้หนึ่งเท่านั้นหรือ สาวใช้ใหญ่ทั้งสามคนในเรือนของนายท่านสี่ฉือนั้น นางก็คือหนึ่งในนั้น และก็นับได้ว่านางนั้นบ้าบิ่นที่สุด ไม่ว่าจะเป็นที่นี่หรือที่ไหนก็กล้าไปทุกที่ ฉะนั้นทุกคนจึงคุ้นเคยกับนางมากที่สุด!”
สาวใช้ใหญ่สามคนหรือ
ไม่ใช่ว่าควรจะเป็นสี่คนหรือ
โจวเสาจิ่นประหลาดใจ
นางถามแม่นางหวัง “นอกจากหมิงเฮ่อกับหนานผิงแล้ว ในเรือนของท่านน้าฉือยังมีสาวใช้ใหญ่อีกผู้หนึ่งชื่อว่าอะไรหรือ”
“ชื่อจี๋อิ๋ง!” ขณะที่หวังเหนียงจื่อพูด ก็หมุนกายไปหยิบหยกสีดำความใหญ่ขนาดเมล็ดข้าวสองสามเม็ดออกมาส่งให้หงหรุ่ย พลางกล่าว “เจ้าดูหน่อยว่าอันนี้ใช้ได้หรือไม่”
“ได้เจ้าค่ะ ๆ ๆ!” หงหรุ่ยกล่าวขอบคุณซ้ำ ๆ ทว่ากลับยืนอยู่อย่างนั้นไม่ขยับเขยื้อน ด้วยท่าทางกำลังรอฟังหวังเหนียงจื่อพูดซุบซิบต่อ
หวังเหนียงจื่อเห็นเช่นนั้น ก็มีอารมณ์อยากร่วมสนุกขึ้นมา นางกล่าว “พวกเจ้าอย่ามองว่าข้าช่วยแม่นางหมิงเฮ่อทำงานเย็บปัก มีหนานผิงอยู่ด้วย งานพวกนี้ในเรือนนายท่านสี่มาไม่ถึงมือของพวกข้าหรอก เพียงแต่ว่าแม่นางหมิงเฮ่อนั้นมีน้ำใจกว้างขวาง มาเยี่ยมเยียนพวกข้าที่นี่อยู่บ่อย ๆ หากมีเรื่องอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ขอร้องมาถึงพวกข้า พวกข้าก็คงไม่อาจปฏิเสธได้หรอกกระมัง ถือเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีไปตามน้ำ…ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ส่วนใหญ่ของพวกนี้ก็ไม่ใช่ของแม่นางหมิงเฮ่อ กล่าวคือ แม่นางหมิงเฮ่อไม่ได้วิจิตรบรรจงขนาดนี้ แปดถึงเก้าในสิบส่วนเป็นจี๋อิ๋งสั่งการลงมา แม่นางหมิงเฮ่อเห็นว่ายุ่งยาก ก็เลยยกมาให้พวกข้า…”
เรื่องเล็กน้อยอย่างเช่นถุงเท้าสำหรับฤดูร้อนเช่นนี้ โดกปกติล้วนให้เด็กรับใช้ทำกัน ถือเป็นการฝึกปรือฝีมือ
ดูท่าทางเอาอกเอาใจของนางแล้ว คำพูดนี้ใครจะเชื่อกัน?
โจวเสาจิ่นใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย
จี๋อิ๋ง เป็นสาวใช้ของท่านน้าฉือจริง ๆ หรือ
แต่นางกลับดูไม่เหมือนสาวใช้เลยสักนิด
อีกทั้งยังสั่งหมิงเฮ่อให้ช่วยวิ่งทำธุระให้นางได้…และหมิงเฮ่อก็ยังปฏิเสธไม่ได้ด้วย…
หรือว่านางจะเป็น…ของท่านน้าฉือ
ชั่วขณะหนึ่ง มีความคิดมากมายหลั่งไหลออกมาจากหัวของโจวเสาจิ่น…กระทั่งนางออกมาจากโรงตัดเย็บ หงหรุ่ยกล่าวอำลากับพวกนาง นางถึงได้สติกลับมา
“…ข้าเป็นคนติดตามของสะใภ้ใหญ่ มาที่นี่ก็หลายปีแล้ว นี่กลับเป็นครั้งแรกที่ได้เดินออกมาไกลขนาดนี้ ต่อไปข้าสามารถไปเที่ยวหาท่านได้หรือไม่เจ้าคะ” หงหรุ่ยถามปี้อวี้
ปี้อวี้เป็นถึงผู้ใด
ความคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนั้นของหงหรุ่ย นางไหนเลยจะมองไม่ออก
เพียงแต่ว่าแต่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่ค่อยขัดใจคนสักเท่าไหร่ จึงกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “เจ้ามาเที่ยวหาข้าได้ ข้าย่อมต้องต้อนรับอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าโดยส่วนใหญ่ในยามปกติข้าจะรับใช้อยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า ซึ่งโดยปกติก็ไม่ค่อยจะได้ออกไปไหน หากเจ้าจะมาหาข้า ต้องให้เด็กรับใช้มาแจ้งข่าวกับข้าก่อน ไม่เช่นนั้นยากนักกว่าจะหาข้าเจอ”
หงหรุ่ยตอบรับอย่างเห็นด้วย ยิ้มพลางย่อเข่าทำความเคารพโจวเสาจิ่น และแยกย้ายกับพวกนางตรงข้างทางเดิน
โจวเสาจิ่นอดถามปี้อวี้ไม่ได้ว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมในเรือนของท่านน้าฉือถึงมีสาวใช้ใหญ่อยู่แค่สามคนเท่านั้น”
ปี้อวี้ยิ้มพลางกล่าว “หลังจากที่พี่สาวเจียเล่อที่เรือนของนายท่านสี่แต่งงานออกไป ที่เรือนของนายท่านสี่ก็ไม่ได้หาคนเพิ่มอีก อาจจะเป็นไปได้ว่าไม่มีคนที่เหมาะสมกระมัง”
คำตอบเช่นนี้มีค่าเท่ากับการไม่ตอบอะไร
โจวเสาจิ่นกล่าว “ฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่ถามอะไรเลยอย่างนั้นหรือ”
ปี้อวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลางกล่าว “ดูเหมือนว่าที่ผ่านมาฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเราจะไม่เคยไปกะเกณฑ์เรื่องภายในเรือนของนายท่านสี่เลยเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นไม่ได้คำตอบ จึงกลับไปที่เรือนหานปี้ซานด้วยอาการผิดหวังเล็กน้อย
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวเห็นแล้วจึงกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ทำไมหรือ พวกเขาไม่มีตัวอย่างชุดดี ๆ เลยหรืออย่างไร”
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ๆ” โจวเสาจิ่นรีบกล่าวขึ้นว่า “หวังเหนียงจื่อผู้นั้นเป็นคนดียิ่งนัก หาตัวอย่างชุดมาให้ข้าหลายชุด ยังกล่าวอีกว่าหากไม่เข้าใจอะไร ให้ไปหานางได้ทุกเมื่อ ข้ากะว่ารอให้ผ่านช่วงนี้ไปแล้วพบว่ามีส่วนไหนที่ไม่เข้าใจ จะไปขอคำแนะนำจากนางเจ้าค่ะ”
จากมุมมองของนางแล้ว หวังเหนียงจื่อผู้นี้จะต้องมีเอกลักษณ์การตัดเย็บเป็นของตัวเองแน่ ๆ
ระหว่างนางกับหวังเหนียงจื่อนั้นต่างกันเพียงเรื่องประสบการณ์เท่านั้น กล่าวคือ หวังเนียงจื่อนั้นเชี่ยวชาญในเรื่องตัดเย็บ ส่วนตนเองนั้นทำเพียงครั้งคราวเท่านั้น ต่อไปหากว่าติดขัดในเรื่องการวัดขนาดก็ค่อยไปถามสักหน่อยก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปขอคำแนะนำเป็นการพิเศษอีก
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวยิ้มพลางพนักหน้า
ปี้อวี้กล่าว “พวกเราได้พบกับหมิงเฮ่อของนายท่านสี่ที่โรงตัดเย็บด้วยเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวกล่าว “นางไปทำอะไรที่โรงตัดเย็บหรือ แต่ไหนแต่ไรมาเรื่องตัดเย็บต่าง ๆ ของคุณชายสี่ไม่ใช่ว่าเป็นหนานผิงที่คอยดูแลอยู่หรือ ทำไมพวกนางยังต้องการความช่วยเหลือจากโรงตัดเย็บอีก”
“เห็นบอกว่าให้ช่วยทำถุงเท้าสำหรับฤดูร้อนสักสองสามคู่เจ้าค่ะ” ปี้อวี้กล่าวยิ้ม ๆ “ดูรูปแบบนั้นแล้ว เป็นของสตรีเจ้าค่ะ เป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นของพวกนางเอง เนื่องจากไม่มีเวลาทำ จึงเอาไปให้โรงตัดเย็บช่วยเจ้าค่ะ หากว่าเป็นของใช้ของนายท่านสี่ พวกนางไม่มีทางให้โรงตัดเย็บทำให้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากัวพยักหน้าเบา ๆ กล่าวกับโจวเสาจิ่นว่า “หากจะกล่าวถึงงานเย็บปักถักร้อยดีหรือไม่ดีแล้ว หนานผิงของเรือนคุณชายสี่ผู้นั้นถือได้ว่าเป็นที่หนึ่ง แต่เสียดายที่เมื่อก่อนนางทำมากเกินไป ทำให้ดวงตาบาดเจ็บ ช่วงหลายปีมานี้คุณชายสี่จึงไม่ค่อยให้นางทำงานเย็บปักแล้ว ไม่เช่นนั้นพวกหมิงเฮ่อจะให้โรงตัดเย็บช่วยพวกนางทำของใช้ต่าง ๆ ได้อย่างไร”
โจวเสาจิ่นไม่อาจพูดอะไรได้
สตรีที่มีฝีมือเย็บปักดีมักจะเป็นเช่นนี้ เนื่องจากฝีมือเย็บปักดี ตอนที่อายุน้อยจึงทำได้มาก จนกระทั่งอายุมากขึ้น ดวงตาก็รับไม่ไหวแล้ว…ยังดีที่พวกนางเพียงทำเป็นครั้งคราวเท่านั้น
โจวเสาจิ่นนำเอาตัวอย่างชุดที่หวังเหนียงจื่อให้มากลับไปที่เรือนหว่านเซียง
โจวชูจิ่นและโจวเสาจิ่นเปิดห้องเก็บของเพื่อหาผ้าสำหรับทำชุดให้โจวเจิ้นและหลี่ซื่อ
มีข่าวคราวมาจากทางราชการ
เฉิงลู่สอบข้อสอบขุนนางระดับเมืองได้เป็นลำดับที่หก ได้รับพิจารณาให้เป็นปิ่งเซิง
มือของโจวเสาจิ่นถือเข็มกับด้ายค้างเอาไว้เป็นเวลาครู่ใหญ่
เฉิงลู่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาตระกูลเฉิงก็สามารถหลีกเลี่ยงการเก็บส่วยภาษีแล้ว
เพียงแต่ว่าเขาต้องการทำอะไรกันแน่นะ?
เพียงแค่โจวเสาจิ่นนึกถึงบ้านที่ถนนกวนเจียหลังนั้น ในใจก็ครุกรุ่นราวกับติดไฟอย่างไรอย่างนั้น
อย่างไรก็ตาม ก็นับได้ว่าเฉิงลู่เป็นคนที่รักษาคำพูด
หลังจากที่ไปทำความเคารพอาจารย์ที่ราชการมาแล้ว เขาก็ไปพบเฉิงเหมี่ยน นำทรัพย์สินที่ดินต่าง ๆ ที่เคยฝากเอาไว้ในชื่อของจวนสี่นั้นกลับไปทั้งหมด
เฉิงเหมี่ยนลอบถอนหายใจกับฮูหยินผู้เฒ่ากวนเล็กน้อย “เห็นท่าทางของเขาแล้ว เกรงว่าจะไม่ใช่คนที่ไร้ความทะเยอทะยานเสียแล้ว การที่พวกเราทำเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องที่ถูกหรือผิดกันแน่”
“เลอะเทอะ!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนไม่พอใจ กล่าว “คนที่ชั่วช้าเลวทรามเหล่านั้น ส่วนใหญ่แล้วก็คือคนที่มีความสามารถแต่ไร้คุณธรรมกันทั้งนั้น คนเช่นนี้ ยิ่งอยู่ให้ห่างได้เท่าไหร่ยิ่งดี มีอะไรให้ต้องเสียดายกัน! ไหน ๆ ก็พูดถึงเรื่องการแบกรับความเกลียดชังแล้ว ถ้าเขาเป็นบัณฑิต ความเมตตาเพียงหยดน้ำ ก็ต้องตอบแทนกลับเป็นสายน้ำที่พรั่งพรู แต่ถ้าเขาเป็นคนไม่ได้ความ พวกเราก็คิดเสียว่าเป็นการรักษาความรู้สึกของกันและกันจากเรื่องนี้ ซึ่งยากที่จะหลีกเลี่ยงการทำให้เขาไม่พอใจในเรื่องอื่น ๆ อีก เช่นนั้นไม่สู้ใช้โอกาสนี้กวาดล้างให้สิ้นซากเสียยังจะดีกว่า” ยังย้ำกับฮูหยินใหญ่เหมี่ยนอีกด้วยว่า “ต่อไปกับทางฝั่งของฮูหยินใหญ่ไป่ พวกเราก็ไปมาหาสู่กันให้น้อยลงด้วยก็แล้วกัน”
ทั้งสองคนตอบรับอย่างพร้อมเพียงกัน เริ่มจัดเตรียมงานวันเกิดให้กับฮูหยินผู้เฒ่ากวน
เนื่องจากเป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาเป็นประจำ ของขวัญอวยพรจากบรรดาหัวหน้าบ้านสวนต่าง ๆ ของจวนสี่มาถึงก่อนเร็วที่สุด เฉิงอี้เองก็ได้มีเวลาได้หายใจหายคอเพิ่มขึ้นสักเล็กน้อย อนุญาตให้เขาลดเวลาการคัด ‘พงศาวดารฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง’ ลงมาหนึ่งชั่วยามในแต่ละวัน เพื่อช่วยวิ่งไปทำธุระต่าง ๆ ให้บรรดาพ่อบ้านทั้งหลาย ถือเป็นประสบการณ์
เฉิงอี้กลับมาสู่วิถีเดิม ๆ อีกครั้ง อาศัยจังหวะที่พวกพ่อบ้านไม่ได้สังเกตไปแอบอู้อยู่ที่ห้องหนังสือของโจวเสาจิ่น ทุกครั้งจะนำแตงหวานมาด้วยลูกหนึ่ง สั่งให้ซือเซียงใช้น้ำในบ่อแช่ให้เย็น แล้วแบ่งให้โจวเสาจิ่นและคนอื่น ๆ ได้คลายร้อน
โจวเสาจิ่นตำหนิเขา ทว่าเขากลับไม่สนใจ กล่าวว่า “ในจวนมีพี่ชายใหญ่ก็พอแล้ว ข้ากะว่าจะรับหน้าที่ต่อจากท่านพ่อ ดูแลเรื่องต่าง ๆ ภายในจวน”
เรื่องบางอย่าง หากไม่ได้ประสบด้วยตัวเอง ผู้อื่นจะว่าอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์
โจวเสาจิ่นมองความไร้เดียงสาของเขาแล้ว ก็ได้แต่ถอนหายใจ
ผ่านไปสองวัน เฉิงเสียนจัดงานเลี้ยงขึ้น กล่าวคือ พานจ้าวเองก็สอบผ่านข้อสอบขุนนางระดับเมืองได้อย่างราบรื่น ถึงแม้ว่าผลของลำดับจะไม่ดีเท่าเฉิงลู่ แต่ก็ได้เปลี่ยนไปสวมเสื้อคลุมสีขาว มียศตำแหน่ง ได้เป็นซิ่วไฉผู้หนึ่งเช่นกัน
เรื่องพวกนี้คือเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วในชาติก่อน โจวเสาจิ่นไม่ได้สนใจมากนัก นำเงินออกมารวมกับพี่สาวและส่งชุดพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่นฝนหมึกชุดหนึ่งไปให้เป็นของขวัญแสดงความยินดี
จนกระทั่งวันที่รับประทานอาหารวันนั้น พานชิงและเฉิงเสียนรับแขกอยู่ที่ศาลาริมน้ำ ส่วนโจวเสาจิ่นและเฉิงเจียหลบกินแตงหวานอยู่ตรงมุมห้อง
พานชิงที่สวมชุดเพ่ยจื่อผ้าไหมหังโจวสีเขียวมรกตนั้นยิ้มแย้มอย่างมีความสุข
เฉิงเจียกระแทกแตงหวานลงไปในจานอย่างเคืองโกรธ และดึงโจวเสาจิ่นให้ออกไป “พวกเราไปเล่นไพ่ที่เรือนหรูอี้กันดีกว่า”
“ข้าไม่ไป” โจวเสาจิ่นยังคงกินแตงหวานของนางต่อไป “อีกประเดี๋ยวเมื่อร่วมงานเลี้ยงเสร็จ ข้าก็จะกลับไปที่เรือนหว่านเซียงแล้ว หลายวันมานี้ข้าทำงานเย็บปักทุกคืน อยากจะเข้านอนไวหน่อย”
เฉิงเจียโกรธและผิดหวัง กล่าวขึ้นว่า “เจ้าอดทนอีกหน่อยไม่ได้หรือ”
ยังคงยืนกรานที่จะดึงนางไปด้วย
ทันใดนั้นโจวเสาจิ่นก็กดเฉิงเจียเอาไว้
เฉิงเจียโดนเหวี่ยงจนสับสนมึนงงไปหมด ประคองเครื่องประดับบนศีรษะที่ห้อยอย่างโงนเงนพลางกล่าว “นี่เจ้าเป็นอะไรไป…” ยังพูดไม่จบประโยค นางก็ปากอ้าตาค้างอย่างตกตะลึง
มีบุรุษกลุ่มใหญ่กำลังเดินมุ่งหน้ามาทางนี้…เฉิงสือ เฉิงเจิ้ง เฉิงสวี่ พานจ้าวพร้อมทั้งเฉิงเก้า เฉิงอี้ เฉิงนั่วและคนอื่น ๆ ต่างก็อยู่ในกลุ่มนั้น
เฉิงเจียเห็นเพียงพานจ้าวเท่านั้น
นางกระซิบเสียงเบา “พานจ้าวกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมพวกเขายังไม่ไปอีก ต้องการจะอยู่ที่นี่ไปทั้งชีวิตเลยหรืออย่างไรกัน”
ทว่าโจวเสาจิ่นกลับกำลังคิดถึงเฉิงสวี่
ไม่ง่ายเลยกว่านางจะผ่านวันเวลาช่วงหลายวันมานี้ไปได้อย่างสงบสุข แล้วทำไมเฉิงสวี่ถึงเริ่มกลับมาปรากฏตัวอยู่ในเรือนชั้นในอีกแล้ว
ทั้งสองคนต่างไม่ได้พูดอะไรกัน ขณะที่เห็นพานชิงเดินผ่านไป
นางกล่าวทักทายกับเฉิงสวี่และคนอื่น ๆ ด้วยน้ำเสียงแจ่มใส ชี้ไปที่ศาลาริมน้ำและกล่าวอะไรอีกครู่หนึ่ง จากนั้นถึงได้ย่อเข่าทำความเคารพแล้วย้อนกลับมา
เฉิงเจียและโจวเสาจิ่นต่างก็โล่งอกไปทีหนึ่ง
อย่างแรกคือไม่อยากปรากฏตัวต่อหน้าลูกพี่ลูกน้องชายของตัวเองในฐานะตัวประกอบฉาก ส่วนอย่างหลังคือไม่อยากถูกเฉิงสวี่มองเห็น
พานชิงกลับมองเฉิงเจียและโจวเสาจิ่นด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ กล่าวกับเฉิงเสียนว่า “พี่ชายสือจะบรรเลงพิณที่ศาลาอี้ชุ่ย ให้พวกเราไปร่วมฟังด้วยเจ้าค่ะ…”
ขณะที่นางมองมารดานั้น แววตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
เฉิงเสียนลังเลเล็กน้อย
ทว่าฮูหยินผู้เฒ่าหลี่กลับพูดขึ้นว่า “ไปเถอะ ๆ! ไปฟังว่าพวกพี่ชายของเจ้าเขาคุยอะไรกันบ้าง พวกเจ้าก็จะได้เปิดหูเปิดตาให้กว้างไกลขึ้นด้วย”
เจียงซื่อเองก็รู้สึกว่าไม่เลวเลยทีเดียว
โจวชูจิ่นเองก็รู้สึกว่าน่าสนใจยิ่งนัก
โจวเสาจิ่นและเฉิงเจียจึงไปที่ศาลาอี้ชุ่ยด้วยอย่างเสียไม่ได้
พวกเฉิงเจิ้งนั่งอยู่บนพื้นหญ้าข้าง ๆ ศาลาอี้ชุ่ย ส่วนโจวเสาจิ่นและคนอื่น ๆ นั่งอยู่ในศาลาอี้ชุ่ยที่แขวนเอาไว้ด้วยฉากกั้นไม้ไผ่เซียงเฟยทั้งสี่ด้าน
เฉิงสือบรรเลงบทเพลง ‘ฝูงห่าน ณ หาดทรายที่แสนสงบ’
นิ้วมือของเขาพลิ้วไหวอย่างชำนาญ ท่วงทำนองไพเราะละเมียดละไม ให้อารมณ์ที่ลุ่มลึกและสูงส่ง
ช่วงเริ่มต้นโจวเสาจิ่นยังคงเป็นกังวลอยู่เล็กน้อยว่าเฉิงสวี่จะรบกวนนาง ต่อมาเห็นว่าเฉิงสวี่ไม่ได้มองมาเลย เสมือนกับว่าไม่รู้จักนางอย่างไรอย่างนั้น นางถึงได้ค่อย ๆ คลายความกังวลใจลง และจมดิ่งไปกับเสียงพิณของเฉิงสือ
…………………………………………………………………….