หลังจากที่หัวเราะไปแล้ว ความสงสัยเหล่านั้นก็ยังคงคาอยู่ในใจ
โจวเสาจิ่นตัดสินใจเริ่มที่จะสืบจากบ้านเดิมของตระกูลจวง
นางเรียกภรรยาของหม่าฟู่ซานเข้ามา ให้ภรรยาของหม่าฟู่ซานนำความไปแจ้งหม่าฟู่ซานว่า “…ไปดูหน่อยว่าบ้านหลังเก่าของตระกูลจวงนั้นอยู่ตรงส่วนไหนของถนนกวนเจียกันแน่ ตอนนี้ตกอยู่ในมือของผู้ใด ขายออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ในเวลานั้นขายไปในราคาเท่าไหร่ และสามารถซื้อกลับมาได้หรือไม่”
ถ้าหากว่าบ้านหลังเก่านั้นไม่ได้อยู่ตรอกฉุนอี้ ไม่ได้อยู่ในละแวกเดียวกับจวนของเฉิงลู่ นางจะต้องหาวิธีนำมันกลับมาให้ได้อย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้ เพียงแค่นางคิดว่าเฉิงลู่อาศัยอยู่ไม่ไกลจากบ้านหลังเก่านี้ นางก็รู้สึกอึดอัดไปทั้งร่างแล้ว
ที่นางกล่าวเช่นนี้ ก็เพียงเพราะอยากให้พี่สาวและหม่าฟู่ซานไม่เกิดความสงสัยเท่านั้น
เป็นไปตามที่คาด หม่าฟู่ซานไม่ได้สงสัยอะไร
ไม่กี่วัน ภรรยาของหม่าฟู่ซานก็มาให้คำตอบแก่โจวเสาจิ่น
“คุณหนูรอง ท่านเดาดูสิเจ้าคะว่าบ้านเก่าหลังนั้นอยู่ที่ไหน” ใบหน้าของภรรยาของหม่าฟู่ซานเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ในใจของโจวเสาจิ่นอยู่ๆ ก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาอย่างกะทันหัน
นางกล่าวขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “บ้านหลังเก่าหลังนั้นอยู่ที่ไหนหรือ”
ราวกับว่าภรรยาของหม่าฟู่ซานกำลังรอคอยประโยคนี้ของนางอยู่อย่างไรอย่างนั้น กล่าวขึ้นอย่างยินดีว่า “เดิมทีบ้างหลังเก่าของตระกูลจวงอยู่ถัดจากจวนของคุณชายใหญ่ลู่จวนห้า เมื่อสองปีก่อน ลุงจวงนำมันไปขายให้คุณชายใหญ่ลู่ ตอนนี้โฉนดที่ดินตกอยู่ในมืองของคุณชายใหญ่ลู่ หากว่าท่านมีใจอยากนำมันกลับมา เช่นนั้นไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องง่ายแค่คำพูดประโยคเดียวหรือ!”
อากาศร้อนขนาดนี้ ทว่าโจวเสาจิ่นกลับรู้สึกมือและเท้าเย็นเป็นน้ำแข็ง
ผ่านไปครู่ใหญ่กว่านางจะเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าไม่ได้เข้าใจผิดใช่หรือไม่”
“ไม่เจ้าค่ะๆ” ภรรยาของหม่าฟู่ซานรีบกล่าว “ที่ผ่านมาสามีของข้าทำอะไรก็เชื่อถือได้มาโดยตลอด ยังจงใจแสร้งทำเป็นผ่านทางมาอย่างไม่ตั้งใจและเข้าไปดูครู่หนึ่ง เป็นไปได้ว่าสมาชิกในบ้านของคุณชายใหญ่ลู่มีไม่มาก ตั้งแต่ที่คุณชายใหญ่ลู่ซื้อบ้านหลังเก่านั้นมา ก็ปล่อยให้ว่างมาโดยตลอด มีเพียงเครื่องใช้เก่าๆ บางอย่างวางกองเอาไว้เท่านั้น แต่ว่าต้นดอกเหมยที่อยู่ในสวนต้นนั้น เติบโตได้อย่างดียิ่ง ได้ยินเพื่อนบ้านละแวกนั้นกล่าวว่า เมื่อถึงฤดูดอกไม้บานยังสามารถบานจนทั้งต้นเต็มไปด้วยดอกไม้ สามีของข้าบอกว่า คานหลังคาและเสาของบ้านหลังเก่านั้นล้วนทำจากต้นสนขนาดสองแขนโอบ ทว่าในปีนั้นกลับขายไปในราคาเพียงสามสิบเหลี่ยงเงิน เพียงแค่ปรับปรุงซ่อมแซมเสียหน่อย ก็มาสามารถเข้าอยู่ได้แล้ว ต่อให้เพิ่มอีกยี่สิบเหลี่ยงเงินให้คุณชายใหญ่ลู่ ก็ยังคุ้มค่าอยู่ดี”
โจวเสาจิ่นรู้สึกหน้ามืด
ตอนที่ไปเปลี่ยนชื่อโฉนดที่ดินกับทางการ เมื่อก่อนเจ้าของเป็นใคร ตอนนี้เจ้าของเป็นใคร ล้วนเขียนบอกเอาไว้อย่างชัดเจน
เป็นไปไม่ได้ที่เฉิงลู่จะไม่รู้ว่านี่เป็นบ้างหลังเก่าของตระกูลจวง
แต่ทั้งหมดนี้ เขาล้วนไม่เคยเอ่ยถึงเลย
เป็นเวลานานกว่าโจวเสาจิ่นจะเรียกสติกลับมาได้ ทำสมาธิให้มั่นคงและกล่าวกับภรรยาของหม่าฟู่ซานว่า “เนื่องจากบ้านหลังนี้ดีขนาดนี้ เกรงว่าเพียงเพิ่มอีกยี่สิบเหลี่ยงเงิน คุณชายใหญ่ลู่คงไม่ยอมขายให้ เรื่องนี้ช่วงนี้ก็พักเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน เพื่อหลีกเลี่ยงคำครหาของผู้อื่นว่าพวกเรานั้นเอาเปรียบญาติพี่น้อง”
ภรรยาของหม่าฟู่ซานรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก แต่โจวเสาจิ่นก็ได้เอ่ยปากแล้ว คงไม่เหมาะที่นางจะกล่าวอะไรอีก จึงลุกขึ้นกล่าวอำลา
โจวเสาจิ่นหมุนกายก็ล้มลงบนเตียง
ถ้าหากว่าชาติที่แล้วไม่ได้เกิดเรื่องพวกนั้นขึ้น นางก็คงจะยังหลอกตัวเองอยู่ว่า เฉิงลู่เพียงไม่มีโอกาสพูดกับตนเองเท่านั้น
แต่ตอนนี้ สองปีแล้ว หากเขามีใจอยากจะบอก ก็คงจะบอกตนไปตั้งนานแล้ว
เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการปิดบังตนเองเอาไว้
แต่ทำไมเขาต้องปิดบังตนเองเอาไว้ด้วย
โจวเสาจิ่นอยากจะพุ่งเข้าไปต่อหน้าเฉิงลู่และถามเขาสักครั้งหนึ่งจริงๆ แต่ชาตินี้นางยิ่งไม่ปรารถนาจะมีปฏิสัมพันธ์ใดๆ กับเฉิงลู่
ดูท่าแล้ว คงจะต้องเริ่มจากทางฝั่งของท่านลุงจวงผู้นั้นแล้ว!
โจวเสาจิ่นเกิดความรู้สึกราวกับกำลังขอหนังเสือจากเสืออยู่ขึ้นมา
ไม่นานก็ถึงเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างแล้วอย่างรวดเร็ว
เช่นเดียวกับปีที่แล้ว ทางการของเมืองตัดสินใจจัดงานเฉลิมฉลองจุดดอกไม้ไฟที่ทิศตะวันออกของเมือง
ท่านเจ้าเมืองอู๋มาที่จวนด้วยตัวเอง เชิญตระกูลให้ร่วมบริจาคเงินห้าร้อยเหลี่ยงเพื่อร่วมกันจัดงานเหมือนเช่นปีที่แล้ว
เฉิงฉือเป็นคนออกมาให้การต้อนรับท่านเจ้าเมืองอู๋
เขากล่าว “เนื่องจากที่จวนมีงานศพ จึงไม่เหมาะที่จะเฉลิมฉลองรื่นเริง แต่เรื่องของทางราชการ พวกเราตระกูลเฉิงก็รับผิดชอบกันมาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้นปีนี้ยังเป็นงานเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างปีแรกหลังเข้ารับตำแหน่งของไต้เท้าอู๋ พวกเราตระกูลเฉิงจะบริจาคเงินแปดร้อยเหลี่ยง ปะเดี๋ยวข้าจะให้พ่อบ้านใหญ่ฉินส่งไปให้ แต่ว่าปีนี้ทางการสามารถเปลี่ยนสถานที่จัดงานเฉลิมฉลองจุดดอกไม้ไฟไปเป็นสถานที่อื่นได้หรือไม่”
ท่านเจ้าเมืองอู๋รับปากในทันที ยังกล่าวอีกว่า “ข้าเพิ่งมาถึงยังใหม่กับสถานที่ จึงไม่รู้ว่ายังมีสถานที่ใดที่เหมาะสมสำหรับการจุดดอกไม้ไฟ ไม่สู้จื่อชวนช่วยชี้แนะข้าด้วย”
จากนั้นสถานที่สำหรับจุดดอกไม้ไฟจึงกำหนดให้อยู่ที่ถนนชวีชิงทางทิศใต้ของเมืองแทน
ตอนที่เสี่ยวถานบอกโจวเสาจิ่นนั้น โจวเสาจิ่นเพิ่งจะเสร็จจากการคัดพระธรรมมาทั้งวัน และกำลังล้างมืออยู่พอดี
นางได้ฟังแล้วก็ประหลาดใจ เอ่ยถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
“แน่นอนว่าได้ข่าวมาจากทาง ‘เหวินมู่ซีเซียง’ เจ้าค่ะ” เสี่ยวถานกล่าวอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก “ตอนที่นายท่านสี่กับท่านเจ้าเมืองอู๋คุยกันนั้นก็ไม่ได้ปิดบังผู้ใด คนที่รับใช้อยู่ที่ ‘เหวินมู่ซีเซียง’ ในวันนั้นต่างก็ทราบกันหมดแล้วเจ้าค่ะ” ขณะที่นางพูด ก็ถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวังครั้งหนึ่ง จากนั้นรีบกล่าวขึ้นว่า “นอกจากนี้ท่านพ่อบ้านฉินก็ได้แจ้งลงมาแล้วว่า เทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างในปีนี้ไม่มีการประดับไฟ กินบ๊ะจ่างเจ การแข่งเรือมังกรของเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างนั้น ตระกูลเฉิงก็ไม่เข้าร่วมแล้ว…ไม่รู้ว่าเงินรางวัลของเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างในปีนี้จะถูกตัดไปด้วยหรือไม่ ข้ายังกะเอาไว้ว่าจะรอเงินรางวัลมาซื้อที่ปักผมดอกไม้กำมะหยี่อู่ตู๋ให้ตัวเองและน้องสาวคนละสองดอก เกรงว่าคงจะไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ!”
ในทุกปีบ้านสวนของตระกูลเฉิงหลายๆ ที่ต่างล้วนคัดเลือกคนหนุ่มไปเข้าร่วมการแข่งเรือมังกรที่ทางการของจินหลิงจัดขึ้น ทุกครั้งเมืองถึงเวลานั้น บ่าวหญิงส่วนใหญ่ของตระกูลเฉิงก็จะหยุดงาน และสามารถไปดูการแข่งขันเรือมังกรได้
กิจกรรมเฉลิมฉลองที่สนุกสนานเหล่านี้ล้วนถูกยกเลิกแล้วทั้งหมด เนื่องจากคนในจวนทั้งหมดต่างกำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ให้เฉิงซวิ่น…แต่ในจวนก็ยังมีผู้อาวุโสที่มีอายุยืนยาวอยู่ การทำเช่นนี้เหมาะสมแล้วหรือ
โจวเสาจิ่นนำเรื่องนี้ไปเล่าให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวนฟัง
“ข้าเองก็ได้รับข่าวแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนถอนหายใจกล่าว “เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ พวกเจ้าเป็นเด็กก็ทำเป็นไม่รู้เสียก็พอ อย่าพูดอะไร อย่าถามอะไร ฉลองเทศกาลตามพวกข้าไปก็พอ”
เกรงว่าเรื่องนี้คงจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งกันอย่างเปิดเผยระหว่างจวนหลักและจวนรอง
โจวเสาจิ่นเข้าใจเป็นอย่างดี ตอนที่ไปที่เรือนหานปี้ซานอีกครั้ง จึงห่อเงินรางวัลจำนวนสองร้อยเหรีญทองแดงห่อหนึ่งให้เสี่ยวถาน “ไม่ว่าจะมีการให้เงินรางวัลหรือไม่ ข้าก็ขอให้เจ้ากับน้องสาวของเจ้าประดับผมด้วยดอกไม้”
ตามวิถีที่ปฏิบัติกันมาของตระกูลเฉิง ในเทศกาลสามเทศกาลอย่างเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่าง เทศกาลวันไหว้พระจันทร์ และเทศกาลวันตรุษจีนนั้นจะมีการให้รางวัลแก่บ่าวไพร่ในจวนต่างกันไปตั้งแต่หนึ่งเหลี่ยงไปจนถึงห้าสิบเหรียญทองแดงตามลำดับตำแหน่งของแต่ละคน
เสี่ยวถานหน้าแดงเรื่อ คิดแล้วคิดอีก จึงกล่าวขอบคุณโจวเสาจิ่นและรับมาเก็บไว้ในอกเสื้อ
โจวเสาจิ่นชอบความมีชีวิตชีวาของเสี่ยวถาน
แต่เมื่อถึงวันที่หนึ่งเดือนห้า เงินรางวัลของเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างก็ถูกแจกจ่ายลงมา พร้อมกับที่ข่าวคราวของการกินบ๊ะจ่างเจ การที่คนหนุ่มที่บ้านสวนไม่เข้าร่วมการแข่งขันเรือมังกร และไม่มีการประดับโคมไฟในช่วงเทศกาลก็กระจายไปทั่วซอยจิ่วหรูเช่นกัน
ตอนที่เฉิงอี้ไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากวนจึงไม่พอใจเป็นอย่างมาก บ่นพึมพำว่า “ทำไมต้องให้พวกเราไว้ทุกข์ให้เฉิงซวิ่นด้วย พวกเราเป็นญาติห่างๆ ที่เกินกว่าห้ารุ่นแล้ว ข้าไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนตบไปที่ไหล่ของเขา ‘ป้าบ’ ไปฝ่ามือหนึ่ง กล่าว “เจ้าเรียนหนังสือจนถึงชั้นไหนแล้ว ไม่มีความรู้สึกเคารพต่อความเป็นพี่น้องกันเลยสักนิด! หากยังให้ข้าได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้อีก ก็ไปคุกเข่าสำนึกผิดต่อข้าที่ห้องบรรพบุรุษเสีย”
เฉิงอี้ลูบบริเวณไหล่ที่โดนฮูหยินผู้เฒ่าตบอย่างเกินจริงและยิ้มกว้างพลางกล่าวว่า “ท่านย่า ไหล่ถูกท่านตบจนเขียวไปหมดแล้วขอรับ”
“สมควรแล้ว!” ฮูหยินผู้เฒ่ากวนหัวเราะ และตบเฉิงอี้ไปอีกหนึ่งฝ่ามือ
คนที่รับใช้อยู่ในห้องของฮูหยินผู้เฒ่ากวนต่างหัวเราะขึ้นมา
โจวเสาจิ่นที่ยืนอยู่ด้านนอกมีอาการลังเลมาแล้วครู่หนึ่ง
เนื่องจากเฉิงอี้อยู่ด้วย เช่นนั้นเฉิงเก้าก็ย่อมอยู่ด้วยอย่างแน่นอน
นางไม่ใช่คนประเภทที่ไม่มีความสามารถในการมอง ตั้งแต่ที่นางกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ทุกครั้งที่มาคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากวนต่างก็ไม่เคยได้พบกับเฉิงเก้าและเฉิงอี้…เมื่อก่อน พวกเขาจะบังเอิญได้พบกันครั้งหนึ่งในทุกๆ สองถึงสามวัน นอกจากนี้ยังมักจะออกจากเรือนเจียซู่ไปพร้อมกันด้วย
นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ถึงแม้จะไม่รู้ว่าท่านยายคิดอย่างไร และก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไมถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ แต่โจวเสาจิ่นก็เลือกที่จะไม่คิดมาก
ในเมื่อท่านยายไม่อยากให้เฉิงเก้าสองพี่น้องพบกับนาง นางก็หลีกเลี่ยงมันเสีย
โจวเสาจิ่นจึงไปที่ห้องน้ำชาข้างๆ รอจนกระทั่งมองผ่านช่องตาข่ายหน้าต่างที่ห้องน้ำชาไปเห็นว่าเฉิงเก้าและเฉิงอี้ออกจากเรือนเจียซู่แล้ว นางถึงได้ไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากวน และนำถุงผ้าป่านอู่ตู๋ที่ตนทำขึ้นเองมามอบให้ฮูหยินผู้เฒ่ากวน
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนนำไปแขวนเอาไว้ที่เตียงของตนอย่างเป็นสุข
โจวเสาจิ่นเห็นแล้ว ความโศกเศร้าเล็กน้อยที่อยู่ในใจเมื่อกี้นั้นก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
ตอนไปที่เรือนหานปี้ซาน นางก็มอบถุงผ้าป่านอู่ตู๋ให้ฮูหยินผู้เฒ่ากัวด้วยเช่นกัน
คนที่เคารพและให้เกียรติแด่ฮูหยินผู้เฒ่ากัวนั้นมีมาก ถุงผ้าป่านของนางถูกแขวนเอาไว้บนฉากกั้นห้องด้านในของฮูหยินผู้เฒ่ากัว ถุงผ้าป่านส่วนมากจะถูกแขวนเอาไว้ที่ห้องเยี่ยนซีหรือไม่ก็บนโถงทางเดินของเรือนหลัก มีเพียงถุงผ้าป่านของเฉิงเจิง เฉิงเซิงที่อยู่ที่จิงเฉิง และเฉิงเซียวที่แต่งไปยังเมืองถงเฉิงที่ให้มามานำมามอบให้เป็นการเฉพาะเท่านั้นที่ถูกแขวนเอาไว้ที่เตียงของฮูหยินผู้เฒ่ากัว
ญาติใกล้ชิดกับญาติห่างๆ นั้นมีความแตกต่างกันอยู่
ใจของโจวเสาจิ่นในเวลานี้สงบนิ่งราวกับน้ำที่ไม่ไหวติง
เมื่อกลับถึงเรือนเจียซู่ นางกับพี่สาวก็ห่อบ๊ะจ่างด้วยกัน
ถึงแม้จะเป็นบ๊ะจ่างเจ แต่ก็มีทั้งห่อเป็นรูปทรงยาวเป็นเรือมังกร ทรงสี่เหลี่ยม ทรงสีเหลี่ยมขนมเปียกปูน และทรงสามเหลี่ยม…พวกนางห่อเป็นรูปทรงต่างๆ กันไป จากนั้นก็ให้สาวใช้นำไปมอบให้เรือนเจียซู่ เรือนหานชิว หรือหานปี้ซาน และเรือนหรูอี้เรือนละหนึ่งตะกร้าเล็ก
ทางด้านของฮูหยินผู้เฒ่ากวนนั้นไม่ต้องพูดถึง ของขวัญตอบแทนของฮูหยินใหญ่เหมี่ยนเป็นผ้าสำหรับทำชุดหลายมัด กล่าวว่าให้พวกนางสองพี่น้องเอาไว้ทำชุดสำหรับฤดูหนาว ของขวัญตอบแทนของเรือนหานปี้ซานเป็นกำไลหยกมันแพะสองวง ได้ใช้ในฤดูร้อนพอดี ส่วนของขวัญตอบแทนจากเฉิงเจียเป็นโถใส่เหล้าสยงหวงขนาดเล็ก ดอกไม้ประดับผมรูปแบบใหม่ ถุงผ้าป่านที่ห่อเอาไว้จูซาสีแดงและหญ้าอ้ายเฉ่า สร้อยข้อมือห้าสี และไข่แดงเค็มอีกคู่หนึ่ง…มีมากมายหลายอย่าง ทำให้โจวเสาจิ่นมีความรู้สึกร้องไห้ไม่ออกหัวเราะไม่ได้อยู่เล็กน้อย
จนกระทั่งวันที่เด็กๆ ของจวนสามมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่ากวน เฉิงเจียยังจงใจถามนางว่า “เป็นอย่างไรบ้าง ข้าดีกับเจ้าหรือไม่ ข้ามีอะไรดีๆ ก็ล้วนนึกถึงเจ้าเสมอ” พูดเสร็จ ก็เลิกคิ้วขึ้นและชำเลืองมองไปที่พานชิงครั้งหนึ่ง
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่า หากเฉิงเจียไม่ชำเลืองมองไปที่พานชิงครั้งหนึ่งล่ะก็ คำพูดนี้ก็คงจะน่าเชื่อถือมากกว่านี้
พานชิงที่อยู่ข้างๆ กลับกล่าวขัดขึ้นว่า “เสาจิ่น เจ้าส่งบ๊ะจ่างให้เฉิงเจียแล้วทำไมไม่ส่งให้ข้าด้วย”
นางยิ้มแย้ม ทว่าน้ำเสียงที่ใช้พูดกลับค่อนข้างดัง ทำให้เฉิงเสียน เจียงซื่อและคนอื่นๆ ต่างหันมองมา
เฉิงเจียรู้สึกภาคภูมิใจอยู่เล็กน้อยอย่างไม่ปิดบัง
โจวเสาจิ่นกลับกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าเพิ่งจะห่อบ๊ะจ่างเป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าห่อได้ดีหรือไม่ดี จึงขอให้พี่สาวเจียช่วยลองชิมดูก่อน พี่สาวเจียนั้นเป็นคนใจกว้าง ตรงไปตรงมา ทั้งยังกตัญญูรู้คุณยิ่ง บ๊ะจ่างที่นางได้รับไปย่อมให้ทุกคนได้ลองชิมดูอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นพี่สาวชิงจะรู้ได้อย่างไรว่าเข้าส่งบ๊ะจ่างไปมอบให้กับพี่สาวเจีย อย่างไรก็ตาม หากว่าพี่สาวเจียรู้สึกว่าบ๊ะจ่างที่ข้าทำนั้นมีรสชาติดี ปีหน้าข้าค่อยห่อมากขึ้นอีกหน่อย และส่งบางส่วนไปให้พี่สาวชิงด้วยก็แล้วกันเจ้าค่ะ!”
“ไม่จริงใจ!” พานชิงเม้มริมฝีปากยิ้ม พลางกล่าว “หากเจ้าคิดจะส่งให้ข้าจริงๆ ปะเดี๋ยวก็สามารถห่อสักสองสามอันก็ได้”
หากเป็นผู้อื่นที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้ โดยมากก็คงจะตอบว่า ‘ข้าไม่รู้ว่าปีหน้าจะยังได้อยู่ที่จินหลิงอีกหรือไม่’
พานชิง คงอยากจะแต่งเข้าตระกูลเฉิงด้วยตัวเองเสียมากกว่ากระมัง
โจวเสาจิ่นยิ้มหยันอยู่ในใจ
คนจากจวนสามนั่งอยู่ที่จวนสี่ไม่ถึงครึ่งก้านธูปก็กล่าวอำลา
ส่วนคนจากจวนสี่ที่ไปคารวะจวนห้ากลับถูกฮูหยินใหญ่เวิ่นรั้งให้อยู่รับมื้อเที่ยงด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ากวนกล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่ถือได้ว่าดอกไม้บานบนต้นไม้เหล็กเสียแล้ว ฮูหยินใหญ่เวิ่นของพวกเราที่สามร้อยหกสิบห้าวันในหนึ่งปีป่วยไปแล้วสามร้อยวัน แขกที่ไปหาจะดื่มชาก็ล้วนได้รับคำพร่ำบ่นของตน เก้าเกอเอ๋อร์กับอี้เกอเอ๋อร์กลับมีวาสนาดี ถูกรั้งให้อยู่ทานมื้อเที่ยงด้วยโดยไม่คาดคิด”
…………………………………………………………