“จะไม่เกรงใจเจ้าค่ะๆ” อวี๋มามากล่าวอย่างเชื่องช้า ดวงตาทั้งสองเหลือบมองบนตัวของโจวเสาจิ่น
โจวเสาจิ่นนึกถึงตอนที่ตนเองยังมีอายุหกขวบนั้นบิดาได้พาหลี่ซื่อภรรยาใหม่กลับบ้านเดิมไปเซ่นไหว้บรรพบุรุษ นางก็เคยกลับมาเยี่ยมจวนบรรพบุรุษและค้างอยู่ด้วยสองสามวัน แต่ก็พอจะเข้าใจความอยากรู้อยากเห็นของหญิงชราผู้นี้ได้ จึงยิ้มพลางเชิญให้นางนั่งลงเพื่อสนทนากัน
ทว่าอวี๋มามาไม่กล้าแม้แต่จะนั่งลง โจวเสาจิ่นจึงกล่าวว่า “ท่านเพิ่งจะกล่าวไปว่า ‘จะไม่เกรงใจ’ มิใช่หรือ ทำไมเพียงพริบตาเดียวก็เกรงใจข้าขึ้นมาแล้ว!”
ไม่คาดคิดว่าคำพูดหนึ่งประโยคนี้จะทำให้อวี๋มามาน้ำตาไหลลงมา สะอึกสะอื้นกล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรอง ไม่เพียงโตมามีหน้าตาคล้ายฮูหยินเท่านั้น แม้แต่ลักษณะนิสัยนี้ก็ยังเหมือนฮูหยิน สุภาพอ่อนโยนยิ่งเจ้าค่ะ”
น้อยครั้งนักที่โจวเสาจิ่นจะคิดถึงมารดา
นางกลัวว่าตนเองจะรู้สึกน้อยใจและโศกเศร้าเสียใจอย่างห้ามไม่อยู่
น้ำตาของอวี๋มามาดั่งสายน้ำหลาก เพียงครู่เดียวก็ทลายแนวรั้วที่ตั้งล้อมอยู่อย่างมั่นคงนั้นลง ทำให้น้ำตาของโจวเสาจิ่นก็ไหลลงมาด้วย
ซือเซียงที่ถือถาดน้ำชาเดินเข้ามากล่าวกับอวี๋มามาผู้นั้นอย่างไม่พอใจว่า “ท่านหมัวมัวผู้นี้ คุณหนูรองมาหาท่านเพื่อถามไถ่อย่างใจดี แต่ท่านก็กระไร แทนที่จะพูดอะไรสักสองสามประโยคให้คุณหนูได้มีความสุข กลับปลุกเร้าให้คุณหนูร้องไห้ขึ้นมาแทน…”
“ล้วนเป็นความผิดของข้าๆ” อวี๋มามากล่าวขอโทษซ้ำแล้วซ้ำอีก ดึงแขนเสื้อมาเช็ดดวงตา “คุณหนูรองได้โปรดอย่ากล่าวโทษข้าเลย”
ซือเซียงเองก็หยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาของโจวเสาจิ่น
ผ่านไปครู่ใหญ่โจวเสาจิ่นจึงหายโศกเศร้า กล่าวขึ้นว่า “ทำให้หมัวมัวเห็นเรื่องน่าขันเสียแล้ว”
“เรื่องน่าขันอะไรกันเจ้าคะ” อวี๋มามาได้ยินแล้วก็ตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย กล่าวว่า “การที่บุตรสาวคิดถึงมารดา ก็เป็นเรื่องธรรมชาติที่เป็นมาแต่กำเนิด คุณหนูรองช่างเป็นผู้ที่มีจิตใจกตัญญูผู้หนึ่ง องค์พระโพธิสัตว์กวนอิมจะปกปักรักษาและประสาทพรให้ท่านพบเจอสามีที่ดี มีบุตรหลานเต็มเรือน ตลอดทั้งชีวิตมีความสุขและอายุยืนยาวเจ้าค่ะ”
พบเจอสามีที่ดี!
โจวเสาจิ่นอดขบขันตัวเองอยู่ในใจไม่ได้ไปหลายครั้ง
เรื่องสามีที่ดีนั้นนางก็เลิกคิดไปแล้ว ขอเพียงชีวิตนี้อย่าได้เดินบนเส้นทางเดิมของชีวิตก่อนก็พอแล้ว
โจวเสาจิ่นจิบน้ำชาไปสองคำ อารมณ์จึงค่อยๆ สงบลงมา
นางให้ซือเซียงออกไป แล้วถามอวี๋มามาว่า “ท่านพอจะทราบเรื่องของท่านตาตระกูลจวงของข้าหรือไม่”
“ท่านหมายถึงนายท่านของตระกูลจวงผู้เป็นลุงหรือเจ้าคะ” อวี๋มามาไม่รอให้เสียงของโจวเสาจิ่นจบลง ก็กล่าวแทรกขึ้นด้วยความขุ่นเคืองเต็มใบหน้า “เขาก็ช่างทำให้ฮูหยินต้องเสื่อมเสียเสียเหลือเกิน ตอนที่ฮูหยินยังมีชีวิตอยู่ก็มักจะมาหาทุกสองสามวันเพื่อขอนู่นขอนี่ แต่ก่อนนายท่านยังคิดจะถนอมน้ำใจของญาติพี่น้อง บอกให้ฮูหยินไม่ต้องไปโต้แย้งกับลุงจวง เรื่องใดที่สามารถช่วยเหลือได้ก็ช่วยไป ทว่าลุงจวงนั้นได้คืบจะเอาศอก ปากยิ่งอ้าก็ยิ่งกว้างไม่รู้จักพอ เขาไม่เพียงแต่ไม่ทำงานหาเลี้ยงชีพอย่างสุจริต แต่ยังนำเงินของฮูหยินไปกินดื่ม…เอ่อ และเล่นพนัน นานเข้าฮูหยินก็เห็นว่านี่ไม่ใช่เรื่อง จึงไม่ยอมให้ความช่วยเหลือเขาอีก ทั้งยังขอร้องให้นายท่านช่วยออกหน้าจัดการให้แทน ท่านลุงเห็นว่าจะขูดรีดเอาเงินจากที่นี่ไม่ได้แล้ว ก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงจนจมูกไม่เป็นจมูกและตาไม่เป็นตาไป เขายังตะโกนเสียงดังให้ฮูหยินดูไม่ดีต่างๆ นานา ไม่สนใจถึงชื่อเสียงของฮูหยินเลยสักนิด เพราะเรื่องนี้ทำให้ฮูหยินโกรธเคืองจนร้องไห้ไปหลายครั้ง หากไม่ใช่ว่ามีนายท่านคอยปลอบโยน เกรงว่าฮูหยินอาจจะคิดฆ่าตัวตายก็เป็นได้…”
แม้กระทั่งองค์จักรพรรดิเองก็ยังมีญาติพี่น้องผู้แร้นแค้นมาเคาะประตูวังขอเงินช่วยเหลือ ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องคิดฆ่าตัวตายนี่นา!
โจวเสาจิ่นคิดว่าถ้อยคำของอวี๋มามาผู้นี้เกินจริงอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้แย้งแต่อย่างใด ฟังนางเล่าต่อไปอย่างเงียบๆ อยู่นาน จนกระทั่งนางเล่าจนจบจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “ข้าได้ยินคนอื่นพูดกันว่า แต่เดิมตระกูลจวงก็มีทรัพย์สินที่ดินเพียงเล็กน้อย ต่อมาล้วนถูกท่านลุงจวงเอาไปเดิมพันหมดหน้าตักจนแพ้ มีเรื่องเช่นนี้หรือไม่?”
“มีเจ้าค่ะๆ” อวี๋มามาตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง กล่าวว่า “ทรัพย์สินที่ดินของตระกูลจวงถูกเขาเอาไปเดิมพันทั้งหมดจนแพ้เจ้าค่ะ ทั้งยังไม่รู้อีกว่าเขาไปขโมยภาพอักษรมาจากที่ใด อ้างว่าเป็นของที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษตระกูลจวง เอาอักษรภาพหนึ่งภาพไปหลอกขายให้สองตระกูล ด้วยเหตุนี้จึงถูกฟ้องร้อง…”
โจวเสาจิ่นกล่าวถามว่า “เช่นนั้นท่านยังจำได้หรือไม่ว่าท่านแม่ของข้าครั้งยังมีชีวิตนั้นอาศัยอยู่ที่ใด ข้าอยากไปดูสักครั้ง”
อวี๋มามาที่ยังโมโหใหญ่อยู่เมื่อครู่นี้กลับเปลี่ยนเป็นเซื่องซึมลงทันทีเสมือนกับมะเขือยาวที่โดนแม่คะนิ้งเกาะอยู่ กล่าวพึมพำว่า “ก็…มีเรือนไม่มากนักหรอกเจ้าค่ะ พอตกไปอยู่ในมือของนายท่านผู้เฒ่าจวง ก็ขายไปบ้างแล้ว…”
ท่าทางของนางไม่อยากกล่าวถึงมากนัก เสมือนกับว่ากำลังช่วยสร้างภาพสุขสงบให้กับตระกูลจวงอยู่อย่างไรอย่างนั้น
โจวเสาจิ่นถอนหายใจอย่างเงียบๆ
นางกลัวว่าจะทำให้ท่านแม่เสียหน้าหรือ
“บุตรธิดาไม่รังเกียจมารดาผู้อัปลักษณ์ และสุนัขก็ไม่รังเกียจครอบครัวที่ขัดสน” โจวเสาจิ่นจำต้องกล่าวว่า “มารดาเป็นสตรีในห้องหอผู้หนึ่ง เรื่องของตระกูลจวงจะให้นางเข้าไปแทรกแซงยุ่งเกี่ยวได้อย่างไร ข้าเพียงอยากจะดูเรือนของท่านตาสักหน่อยเท่านั้นเอง หมัวมัวไม่จำเป็นต้องคิดมาก”
“เจ้าค่ะๆ” อวี๋มามาได้ยินแล้วราวกับได้ยกภูเขาออกจากอก ยิ้มและกล่าวว่า “เป็นคุณหนูที่ความคิดเฉียบแหลม เอ่ยสิ่งที่อยู่ในใจของข้าได้ นายท่านผู้เฒ่าจวงไม่ได้ทำมาหากินเป็นชิ้นเป็นอันอะไร มิหนำซ้ำเรื่องภายในจวนก็ยังเป็นคนไม่รู้ร้อนรู้หนาวผู้หนึ่ง อีกทั้งไม่มีบุตรชาย ยามใช้จ่ายเงินจึงไม่พิถีพิถันรอบคอบเท่าไหร่นัก…”
เรื่องเหล่านี้โจวเสาจิ่นก็รู้อยู่แก่ใจ
นับตั้งแต่ที่ท่านยายร่วมสายเลือดของนางเสียไปแล้ว ท่านตาของนางก็ไม่ได้แต่งงานใหม่ เรื่องภายในตระกูลจึงได้ท่านยายทวดเป็นผู้ดูแลจัดการทั้งหมด
“เมื่อก่อนข้าเคยได้ยินสาวใช้ที่ติดตามฮูหยินมาจากบ้านเดิมเล่าให้ฟัง” อวี๋มามากล่าว “เดิมทีฮูหยินอาศัยอยู่ท้ายซอยของจวนบรรพบุรุษตระกูลจวง ตอนที่ฮูหยินอายุสิบขวบ เรือนท้ายซอยถูกหิมะทับถมจนพังถล่มลงมาที่ห้องข้างไปกว่าครึ่ง ทว่าตอนนั้นนายท่านผู้เฒ่าจวงกำลังไปเยี่ยมสหายอยู่ที่อู๋ซีและยังไม่ได้กลับมา นายหญิงผู้เฒ่าไม่มีทางเลือกอื่นใด จำต้องพาฮูหยินย้ายไปอยู่ที่เรือนที่เป็นสินสอดของนายหญิงผู้เฒ่าที่ถนนกวนเจีย…”
ถนนกวนเจีย!
โจวเสาจิ่นรู้สึกว่าตนเองหายใจช้าลงไปสองสามจังหวะ
นางกล่าวแทรกคำพูดของอวี๋มามาอย่างร้อนรนว่า “ถนนกวนเจีย คือถนนกวนเจียที่มีตรอกฉุนอี้ทางด้านนั้นหรือ? ถนนกวนเจียที่มีจวนดอกเหมยตั้งอยู่เส้นนั้นใช่หรือไม่”
อวี๋มามาไม่รู้เลยว่าตนได้กล่าวอะไรออกไป ยิ้มพลางกล่าวว่า “ในเมืองจินหลิงนี้ยังมีถนนกวนเจียอีกกี่แห่งหรือเจ้าคะ เนื่องจากมีหน่วยงานราชการหลายแห่งตั้งอยู่ที่นั่น จึงได้รับชื่อนี้มา ฮูหยินติดตามนายหญิงผู้เฒ่าไปอยู่ที่นั่นเรื่อยมาจนกระทั่งออกเรือนไปเจ้าค่ะ…”
ตรอกฉุนอี้!
เฉิงลู่ก็อยู่ที่ตรอกฉุนอี้!
เหตุใดที่ผ่านมาเขาถึงไม่เคยบอกกล่าวอะไรกับตนมาก่อน
นางยังจำท่าทางตื่นเต้นยินดีขณะที่เขากล่าวถึงแผนการในภายภาคหน้าของเขาให้นางฟัง ภายในสิบห้าปีจะสอบเป็นจิ้นซื่อ เมื่อถึงเวลานั้นข้าก็สามารถพาครอบครัวไปร่วมอยู่ด้วย หากว่าได้อาศัยอยู่ในศาลาว่าการเมือง จะปลูกต้นอวี้หลานต้นหนึ่งไว้ในสวน ทุกวันหลังจากทานมื้อเย็นแล้วจะนั่งจิบน้ำชาใต้ต้นอวี้หลานนั้น แต่ถ้าหากไม่ได้อาศัยอยู่ในศาลาว่าการเมือง จะซื้อเรือนเล็กๆ หนึ่งหลัง ปูพื้นด้วยหินสีคราม และตั้งซุ้มต้นองุ่นซุ้มหนึ่งไว้ภายในสวน ใต้ซุ้มต้นองุ่นนั้นจะเลี้ยงปลาจิ๋นหลี่ไว้…
สุดท้ายแล้วนางก็ถูกคำพูดของเฉิงลู่ล่อลวงให้ตายใจ สิ่งที่นางถวิลหาก็มีเพียงแค่ต้นอวี้หลานหนึ่งต้นนั้นกับซุ้มต้นองุ่นหนึ่งซุ้มนั้นที่เขากล่าวถึงเท่านั้นเอง
โจวเสาจิ่นรู้สึกสายตาเลือนรางเล็กน้อย
เดิมที นางเข้าใจว่าเขามีเรื่องอะไรก็บอกนางทุกอย่าง ทว่าความจริงแล้ว เขากลับไม่เคยบอกอะไรเลยทั้งสิ้น
สิ่งที่เขาให้นาง ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงแค่ภาพวาดขนมเปี๊ยะภาพหนึ่งเท่านั้น
เรื่องที่ท่านลุงจวงก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตออกขนาดนั้น และยังเป็นบ้านใกล้เรือนเคียงกัน ต่อให้เฉิงลู่เอาแต่อ่านหนังสือของปราชญ์ จนไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง เป็นไปได้หรือที่ต่งซื่อก็จะไม่รู้เรื่องด้วยเลย ต่อให้เฉิงลู่จะไม่รู้ในตอนแรก พวกเขาก็หมั้นหมายกันไปแล้ว ด้วยความระมัดระวังของเขานั้น เป็นไปได้หรือที่จะไม่รู้เลย
โจวเสาจิ่นบีบนิ้วมือไว้แน่น ความระแวงสงสัยที่อยู่ในใจมาตลอดนั้นก็กระโดดพรวดออกมาอีกครั้ง
หรือว่าตระกูลเฉิงกับตระกูลจวงทั้งสองตระกูลนี้จะมีความขุ่นเคืองใจกันในอดีต?
ดังนั้นเฉิงลู่ถึงได้เปลี่ยนใจขึ้นมากลางคันอย่างนั้นหรือ
ดังนั้นเฉิงลู่ถึงได้สามารถมองตนเองถูกรังแกอย่างนิ่งเฉยอย่างนั้นหรือ
ดังนั้นเขาถึงได้ยอมเสี่ยงที่จะปล่อยให้ชื่อเสียงย่อยยับและละทิ้งตนเองไปโดยไม่มีเหตุผลอันใดอย่างนั้นหรือ
ดังนั้นถึงแม้ว่าความงามของตนจะร่วงโรยไปแล้วแต่ทว่าเขายังคิดจะหลอกตนให้หนีตามไปกับเขาอย่างนั้นหรือ
โจวเสาจิ่นเริ่มรู้สึกหายใจตัดขัดขึ้นมา
เหมือนกับชั่วขณะสุดท้ายนั้นในชาติก่อน ที่ถูกเฉิงลู่บีบคอเอาไว้แน่น
นางระบายลมหายใจเข้าออกลึกๆ สองสามครั้ง แล้วจึงถามอวี๋มามาว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าบ่าวรับใช้ท่านแม่ของข้าในปีนั้นไปที่ไหนกันหมดแล้ว”
อวี๋มามากล่าวเสียงเล็กว่า “ตอนที่ฮูหยินแต่งงานพาเพียงบ่าวรับใช้เป็นบ่าวเด็กคนหนึ่งและป้าคนหนึ่งมาด้วยเท่านั้น บ่าวเด็กนั้นก็รับใช้นางมาตั้งแต่ยังเล็ก พอโตเป็นสาวก็ได้รับการปล่อยตัวไปแต่งงาน ดูเหมือนว่าจะแต่งกับพ่อค้าฝ้ายผู้หนึ่ง สองปีแรกยังได้ข่าวคราวกันอยู่ แต่ทว่าหลังจากนั้นก็ไม่ได้ข่าวอีกเลย ส่วนป้าที่ซื้อมาจากพ่อค้าคนกลางก่อนที่ฮูหยินจะออกเรือนไปนั้น พอนายท่านเห็นป้าคนนั้นมือไม้อุ้ยอ้ายซุ่มซ่าม จึงรีบขายป้าคนนั้นไปโดยพลัน ขายไปที่ไหนนั้น ข้าก็ไม่ทราบเลยเจ้าค่ะ ภายหลังบรรดาบ่าวรับใช้ข้างกายฮูหยินก็ล้วนเป็นบ่าวไพร่ของตระกูลโจวทั้งหมด เหมือนว่าผู้เป็นหัวหน้าบ้านสวน ก็เคยเป็นสาวใช้เอกข้างกายฮูหยินมาก่อน…”
ช่างไม่สมเหตุสมผลกันเลย!
ในเมื่อท่านพ่อเคารพท่านแม่ขนาดนี้ ไฉนถึงได้ยกสาวรับใช้เพียงคนเดียวที่ท่านแม่พามาจากบ้านเดิมให้แต่งงานกับคนนอกผู้หนึ่งไป ทั้งยังเป็นพ่อค้าคนหนึ่ง แต่กลับไม่ให้แต่งงานกับบ่าวไพร่ในจวน?
ในปีนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
คลื่นลูกแรกยังไม่ทันสงบ คลื่นอีกลูกก็ม้วนเข้ามาอีกระลอก!
ขมับของโจวเสาจิ่นเต้นตุบๆ
ฝานฉียังเด็กเกินไป เขายังไม่มีความสามารถพอจะไปสืบเรื่องเรื่องเก่าแก่ของเมื่อหลายปีก่อนเหล่านั้นได้
นางจะหาผู้ใดมาถามดีนะ
โจวเสาจิ่นคิดไปคิดมา คนเดียวที่สามารถคลี่คลายความสงสัยในใจของนางได้ ดูเหมือนว่าจะเหลือเพียงท่านลุงจวงจอมเสเพลผู้นั้นเสียแล้ว!
ทว่านางกลัวจริงๆ ว่าจะถูกท่านลุงจวงเข้ามาติดพันด้วยยิ่งนัก
นางยังจำภาพตอนที่พบท่านลุงจวงเป็นครั้งแรกเมื่อครั้งยังเป็นเด็กได้อยู่ เขาดูอ้วนเผละและขาวซีด ทว่าผมเผ้ากลับดูยุ่งเหยิง สวมเสื้อเย็บปะที่ขอทานสวมใส่ ในมือถือชามแตกหนึ่งใบ ทั้งนอนกลิ้งอยู่ที่ประตูเรือนของตระกูลเฉิง ทั้งร้องไห้ตะโกนว่า ‘น้องสาวที่รีบจากไปของข้า’… แม้แต่คนจากตระกูลที่เคร่งครัดในกฎเกณฑ์อย่างเข้มงวดเฉกเช่นตระกูลเฉิงนี้ ก็ยังมามุงดูกันเนืองแน่นอย่างคึกคัก… ตอนนั้นนางแทบอยากจะขุดรูบนพื้นดินแล้วมุดลงไปเสียจริงๆ…
โจวเสาจิ่นนวดคลึงขมับ ทว่ากลับรู้สึกยิ่งปวดศีรษะมากขึ้น
ครั้นเห็นว่าได้ไถ่ถามเรื่องราวจนเกือบเสร็จสิ้นแล้ว โจวเสาจิ่นจึงเรียกซือเซียงให้เข้ามา ตกรางวัลให้อวี๋มามาห้าสิบเหลี่ยงซึ่งปิดผนึกไว้ในซองสีแดงก่อนหน้านี้
อวี๋มามายืนกรานที่จะไม่รับ กล่าวขึ้นว่า “หากไม่ใช่เพราะฮูหยิน กระดูกของบ่าวแก่นี้ก็ไม่รู้จะเก็บไว้ที่ใดเจ้าค่ะ”
ซือเซียงจึงกล่าวว่า “เป็นเพราะคุณหนูรองซาบซึ้งที่ท่านเคยปรนนิบัติรับใช้ฮูหยินมาก่อน จึงตกรางวัลให้แก่ท่าน หากว่าท่านรู้สึกสำนึกในบุญคุณ ต่อไปเมื่อถึงวันเชงเม้งหรือเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างก็อย่าลืมจุดธูปให้ฮูหยิน ถือเป็นการตอบแทนบุญคุณของคุณหนูรองแล้วเจ้าค่ะ”
“ทุกๆ ปีข้าก็จะไปจุดธูปให้ฮูหยินอยู่แล้วเจ้าค่ะ” อวี๋มามารีบเอ่ยขึ้นมา “ต่อจากนี้ไปก็จะไปจุดธูปให้ฮูหยินอีกเช่นกันเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางพยักหน้า
ภายใต้การคะยั้นคะยอของซือเซียง อวี๋มามาจึงรับเงินรางวัลมา ทว่ารอถึงเวลาที่โจวเสาจิ่นจะกลับก็ถือกระถางดอกฉาฮวาสองกระถางเดินเข้ามา “นี่คือดอกไม้ที่เหลืออยู่จากตอนที่ฮูหยินยังอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ ตอนนี้ก็แตกหน่อขยายไปมากกว่าสิบกระถางแล้ว คุณหนูรองนำกลับไปเป็นของที่ระลึกสักหน่อยเถิดเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นเห็นกระถางหนึ่งเป็นดอกฉาเหมย อีกกระถางเป็นไม้ดอกสีแดง แม้ว่ายังไม่ถึงฤดูที่ดอกไม้ผลิบาน ทว่ากลับดูแข็งแรงสมบูรณ์และสวยงามน่ารักยิ่ง มองแล้วก็รู้ได้ว่ามีคนดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี นางยิ้มและกล่าวขอบคุณ บอกป้าที่ติดตามมาด้วยให้รับเอาไว้ จากนั้นก็กลับซอยจิ่วหรูพร้อมกับพี่สาว
สองพี่น้องกลับเรือนหว่านเซียนไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อน
โจวเสาจิ่นถามพี่สาวว่า “วางกระถางหนึ่งไว้ในห้องท่านพี่ดีหรือไม่เจ้าคะ”
โจวชูจิ่นไม่เกรงใจ ยิ้มตอบว่า “ดีจ้ะ! รอถึงยามที่ดอกไม้เบ่งบานเจ้าก็มาเชยชมในห้องของข้า” ทว่ากลับไม่ได้ถามถึงเรื่องที่นางกับอวี๋มามาสนทนากันเลย
โจวเสาจิ่นรู้สึกซาบซึ้งในความเห็นอกเห็นใจของพี่สาวยิ่ง ครุ่นคิดว่าตนสามารถกระทำสิ่งใดให้พี่สาวได้บ้าง
ในช่วงบ่ายนางไปเรือนหานปี้ซานเพื่อคัดลอกพระธรรม แม้ว่าจะพยายามควบคุมจิตใจสุดกำลัง ถึงกระนั้นก็ยังคงใจลอยอย่างช่วยไม่ได้
เสี่ยวถานที่คอยรับใช้อยู่นอกเรือนย่องเท้าเดินเข้ามา กระซิบถามซือเซียงว่า “พี่สาวจ๊ะ คุณหนูรองเป็นอะไรไปหรือ?”
ซือเซียงตอบไปอย่างคลุมเครือ “เกรงว่าถึงฤดูร้อนแล้ว ก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรงจ้ะ”
เสี่ยวถานพยักหน้าอย่างจริงจัง แล้วชงชาหลงจิ่งหอมกรุ่นเข้มข้นหนึ่งกาให้โจวเสาจิ่น กล่าวขึ้นว่า “คุณหนูรองดื่มแล้วก็จะหายเพลียเจ้าค่ะ”
โจวเสาจิ่นยิ้มพลางลูบศีรษะของเสี่ยวถาน จิตใจที่ขุ่นมัวก็เปลี่ยนเป็นสดใสขึ้นแล้ว
………………………………………………………………….