เรื่องราวของยีนนี้แตกต่างไปจากเรื่องราวของยีนที่หานเซิ่นฝึก เรื่องราวของยีนที่อยู่บนกำแพงนั้นดูสั้นๆได้ใจความ มันไม่ได้มีรายละเอียดมากนัก แต่ในขณะเดียวกันมันก็ค่อนข้างลึกซึ้ง มันเหมือนกับในอดีตตอนที่หานเซิ่นจำเป็นต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับภาษาโบราณระดับสูงเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับศาสตร์ตงเสวียน
ถ้าหานเซิ่นไม่ได้ฝึกเรื่องราวของยีนอยู่ก่อนแล้ว เขาก็คงจะไม่เข้าใจว่าข้อความบนกำแพงนั้นหมายถึงอะไร ถ้าให้พูดเปรียบเทียบ มันก็เหมือนกับว่าเรื่องราวของยีนของที่นี่เป็นเวอร์ชั่นที่ถูกเขียนเอาไว้ในภาษาโบราณ ส่วนเรื่องราวของยีนที่หานเซิ่นฝึกนั้นเป็นเวอร์ชั่นที่เขียนในภาษาสมัยใหม่
ถึงการบรรยายจะแตกต่างกัน แต่เนื้อหานั้นคล้ายคลึงกัน มันไม่มีข้อแตกต่างอะไรมากนัก
“แปลกจริงๆ เรื่องราวของยีนถูกคิดค้นขึ้นโดยฉินซิวและหานหยี่เฟยไม่ใช่หรอ? ทำไมมันถึงมีเวอร์ชั่นที่เก่ากว่าอยู่ที่นี่ได้?” หานเซิ่นคิดว่าเรื่องนี้เป็นอะไรที่แปลกมากๆ
“เจ้าเข้าใจสิ่งที่ถูกเขียนเอาไว้อย่างนั้นหรอ?” โกสต์คิลล์ถาม
“ข้าพอจะคาดเดาได้ว่ามันเป็นวิชาประหลาดบางอย่าง” หานเซิ่นตอบ
โกสต์คิลล์ส่ายหัว “ข้อความส่วนใหญ่นั้นถูกเขียนโดยภาษาสามัญของจักรวาล แต่หลักไวยากรณ์ของมันเก่าแก่มากๆ มันคงจะถูกเขียนเอาไว้ในยุคออริจินอลสตาร์”
“ยุคออริจินอลสตาร์คืออะไร?” หานเซิ่นถาม
โกสต์คิลล์มองหานเซิ่นอย่างแปลกๆ “เจ้าไม่รู้จักยุคออริจินอลสตาร์อย่างนั้นหรอ?”
“ข้าไม่ค่อยได้ศึกษาเรื่องในประวัติศาสตร์” หานเซิ่นพูด
โกสต์คิลล์ไม่ได้ถามอะไรไปมากกว่านั้น
“โลหิตชีพจรของทั้งเจ็ดอาณาจักรมีต้นกำเนิดมาจากดวงดาวเดียวกัน ดาวดวงนั้นถูกเรียกว่าออริจินอลสตาร์ ด้วยเหตุนั้นยุคสมัยนั้นจึงถูกเรียกว่ายุคออริจินอลสตาร์ แต่ออริจินอลสตาร์นั้นถูกทำลายไปเมื่อนานมาแล้ว ข้าไม่รู้ว่ามันผ่านมากี่พันล้านปีแล้ว”
ขณะที่มองไปที่ตัวอักษรบนกำแพง โกสต์คิลล์พูดต่อไปว่า
“ข้าเคยเห็นข้อมูลเกี่ยวกับยุคออริจินอลสตาร์ ข้อความที่ถูกใช้ในที่แห่งนี้นั้นคล้ายคลึงกับข้อความในยุคสมัยนั้น”
หานเซิ่นเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่จะถามขึ้นว่า “เจ้าจะบอกว่าข้อความพวกนี้ถูกทิ้งเอาไว้จากยุคออริจินอลสตาร์อย่างนั้นหรอ?”
โกสต์คิลล์ส่ายหัว “มันไม่ควรเป็นแบบนั้น เพราะในยุคออริจินอลสตาร์ยังไม่มีการเดินทางในอวกาศด้วยซ้ำ ถ้าแบบนั้นมันจะมาอยู่บนภูเขาแอนเชี่ยนท์ก็อตที่อยู่บนดาวดวงอื่นได้ยังไง? บางทีข้อความพวกนี้อาจจะมาจากยุคออริจินอลสตาร์ แต่มีใครบางคนมาเขียนมันเอาไว้ที่นี่ในภายหลัง”
“เจ้าของที่แห่งนี้คือใครกัน? ทำไมเขาถึงได้มาสร้างปราสาทหินเอาไว้ในที่แบบนี้?” โกสต์คิลล์หันไปมองที่โครงกระดูก
พวกเขาทั้งคู่สำรวจภายในปราสาทหินจนทั่วแล้ว แต่มันไม่มีอะไรพิเศษ มันเหลือเพียงแค่โครงกระดูกและเตาหินที่ตั้งอยู่ตรงใจกลางห้องโถงเท่านั้นที่พวกเขายังไม่ได้ตรวจเช็ค
“ถ้าเจ้าสนใจ ทำไมเจ้าไม่ลองไปตรวจเช็คมันดู?” หานเซิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม
หานเซิ่นอยากรู้เกี่ยวกับเจ้าของปราสาทหินแห่งนี้มากกว่าโกสต์คิลล์ซะอีก แต่เขาไม่แสดงมันออกมา
“แน่นอน ข้าจะลองดู” โกสต์คิลล์ไม่ลอช้า เธอเดินเข้าไปเพื่อจะตรวจเช็คโครงกระดูก
แต่ทันใดนั้นมีเงาแสงสีม่วงเว็บขึ้นมา มันเหมือนกับปีศาจที่ทำการโจมตีโกสต์คิลล์จากด้านหลัง เงาสีม่วงนั้นรวดเร็วเกินไป ซึ่งทำให้โกสต์คิลล์ตอบสนองไม่ทัน
ถึงแม้หานเซิ่นจะตอบสนองได้ทัน แต่ร่างกายของเขาถูกจำกัดพลังโดยโลกใบนี้ ยิ่งเขาเคลื่อนไหวเร็วเท่าไหร่ แรงกดดันที่เขารู้สึกก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น มันทำให้เขาไม่มีเวลาพอที่จะช่วยโกสต์คิลล์ได้ทัน
ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นก็เห็นมันอย่างชัดเจน เงาสีม่วงนั้นก็คือเจ้าลิงขนม่วง ร่างกายของมันกำลังเปล่งแสงสีม่วงออกมา มันเคลื่อนที่เข้าไปด้านหลังของโกสต์คิลล์เพื่อจับตัวเธอเอาไว้ ก่อนที่มันจะฝังเขี้ยวลงไปที่หัวของเธอเหมือนกับที่มันทำกับโอหยางชิวซาน
ในตอนที่เขี้ยวของมันถูกกับร่างกายของโกสต์คิลล์ ร่างกายของเธอก็กลายเป็นควันสีดำ ซึ่งทำให้เจ้าลิงขนม่วงกัดถูกแต่ความว่างเปล่า ควันสีดำนั้นลอยหนีออกมาก่อนที่จะกลับกลายเป็นร่างกายของโกสต์คิลล์อีกครั้ง
ลิงขนม่วงส่งเสียงร้องออกมา ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเงาสีม่วงและเคลื่อนที่เข้าไปหาโกสต์คิลล์อีกครั้ง ทั้งสองต่อสู้กัน และมันบอกได้ยากว่าฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายชนะ
หานเซิ่นรู้สึกตัวว่าโกสต์คิลล์นั้นแข็งแกร่งกว่าโอหยางชิวซานมาก เธอเหนือกว่าโอหยางชิวซานทั้งประสบการณ์และความสามารถในการต่อสู้ เธอเหนือกว่าโอหยางชิวซานแทบจะทุกด้าน และแม้แต่เจ้าลิงขนม่วงที่มีพลังที่ประหลาดก็ไม่สามารถทำร้ายเธอได้
แต่โกสต์คิลล์เองก็ทำอะไรเจ้าลิงขนม่วงไม่ได้เช่นเดียว เจ้าลิงขนม่วงนั้นดูเหมือนจะกังวลเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง มันพยายามจะควบคุมพลังของตัวเองเพื่อไม่ให้ไปสร้างความเสียหายกับสิ่งต่างๆภายในห้องโถง
เมื่อเห็นว่าโกสต์คิลล์ไม่ได้ตกอยู่ในอันตราย หานเซิ่นก็เริ่มเดินเข้าไปหาโครงกระดูก เขายื่นมือออกไปค้นตามชุดเกราะด้วยความหวังว่าจะพบอะไรบางสิ่ง
เมื่อเจ้าลิงขนม่วงเห็นหานเซิ่นแตะต้องชุดเกราะ มันก็ส่งเสียงร้องประหลาดออกมา ก่อนที่จะเลิกสนใจโกสต์คิลล์และเข้าโจมตีใส่หานเซิ่น
หานเซิ่นยังคงค้นตามชุดเกราะต่อไปขณะที่ใช้มืออีกข้างหนึ่งแกว่งเสาโลหะใส่ลิงขนม่วง แต่ใครจะรู้ว่าเจ้าลิงนั้นสามารถเลื้อยรอบๆเสาโลหะเหมือนกับงูเพื่อตรงเข้าไปหาหานเซิ่น
หานเซิ่นค้นพบบางสิ่ง แต่เขาไม่มีเวลาดูว่ามันคืออะไร เขาเก็บมันมาและรีบถอยออกไปได้หลัง
ตอนนี้มันเหมือนกับว่าหานเซิ่นกำลังเดินผ่านน้ำที่สูงเหนือเอวอยู่ตลอดเวลา แรงต้านทานที่เขาต้องเผชิญนั้นมันสูงเกินไป มันไม่สำคัญว่าเขาจะพยายามออกแรงมากแค่ไหน เขาไม่สามารถเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วได้ดั่งใจ ถึงแม้เขาจะถอยหนีออกมาอย่างเร็วที่สุด แต่เขาก็ถูกข่วนโดยกรงเล็บของเจ้าลิงขนม่วงอยู่ดี
ชุดที่เขาสวมใส่ฉีกขาด แต่กรงเล็บที่แหลมคมของเจ้าลิงนั้นไม่ได้ฝังลึกเข้าไปในผิวหนังของเขา มันแค่ทิ้งรอยแดงบางๆเอาไว้บนผิวหนังของเขาเท่านั้น
โกสต์คิลล์รู้สึกแปลกใจแต่มันก็เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้น เธอรีบบินเข้าไปเพื่อต่อสู้กับเจ้าลิงขนม่วงอีกครั้ง
ความเร็วของหานเซิ่นนั้นไม่สูงพอ ดังนั้นมันเป็นเรื่องยากที่เขาจะเข้าไปร่วมการต่อสู้นี้ เขาถอยออกไปเล็กน้อยก่อนที่จะก้มมองสิ่งที่หยิบเอามาจากภายในชุดเกราะ
มันเป็นสมุดบันทึกที่ทำจากหนังทั้งเล่ม แม้แต่หน้าของสมุดบันทึกก็ไม่ได้ทำจากกระดาษขาว
หานเซิ่นพลิกเปิดมันและเห็นว่าข้อความที่อยู่ภายในเป็นภาษาสามัญของจักรวาล แต่หลักไวยากรณ์เป็นแบบสมัยเก่าเหมือนกับเรื่องราวของยีนที่สลักเอาไว้บนกำแพง
หานเซิ่นลองอ่านมันดูและพบว่ามันยากที่จะเข้าใจได้ เขาเข้าใจแค่ส่วนง่ายๆเท่านั้น
“คนๆนี้คือเจ้าหน้าระดับสูงของอาณาจักรฉินที่รับหน้าที่จากราชาฉินเพื่อค้นหาวิธีที่จะชุบชีวิตคนขึ้นมา” หานเซิ่นเข้าใจส่วนหนึ่งของมัน ซึ่งทำให้เขาได้รู้ว่าจริงๆแล้วคนๆนี้เป็นคนของฉินซิว
ข้อความส่วนใหญ่ของสมุดบันทึกนั้นยากเกินกว่าที่หานเซิ่นจะเข้าใจ และภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้ เขาไม่มีเวลามัวมาศึกษาเกี่ยวกับมัน ดังนั้นเขาจึงเก็บสมุดบันทึกไปและหันมาให้ความสนใจกับการต่อสู้ที่กำลังเกิดขึ้น เขาเตรียมตัวจะเข้าไปช่วยโกสต์คิลล์กำจัดลิงขนม่วง
เจ้าลิงขนม่วงนั้นดูเหมือนจะรู้สึกตัวว่ามันกำลังเผชิญกับวิกฤต มันส่งเสียงร้องประหลาดออกมา ก่อนที่ขนสีม่วงของมันจะตั้งตรงและมีเปลวไฟสีม่วงที่น่ากลัวลุกโชนจากร่างกายของมัน ภายใต้เปลวไฟสีม่วง ร่างกายของมันกลายเป็นคริสตัลที่โปร่งใสเหมือนกับผี ขณะเดียวกันก็มีออร่าประหลาดเปล่งรัศมีออกมาจากร่างกายของมัน
โกสต์คิลล์พูดขึ้นว่า “มันคือบลัดโกสต์สปิริตจริงๆด้วย…”