หานเซิ่นสึกราวกับว่าเขาเป็นอาหารที่อยู่บนเขียง ไม่ว่าใครก็ทำอะไรกับเขาก็ได้
ดราก้อนเลดี้ใช้วิธีการทำอาหารต่างๆเพื่อทรมานเขา เธอทั้งใช้มีดฟัน ทั้งใช้ไฟเผา ทั้งใช้น้ำร้อนต้ม เธอใช้เกือบจะทุกวิธีการ เธอถึงขนาดที่เอาเครื่องเทศมาโรยบนตัวของเขา หานเซิ่นเริ่มจะสงสัยว่าดราก้อนเลดี้นั้นต้องการจะทำแบบนี้กับเขามาเป็นเวลานานแล้ว มันเหมือนกับว่าเธอต้องการจะกินเขาเพื่อดูว่าเขารสชาติเป็นยังไง
แต่ถึงหานเซิ่นจะใช้วิชาจีโนไม่ได้ ร่างกายของเขาก็ยังแข็งแกร่งมากๆอยู่ดี มีดในมือของดราก้อนเลดี้สามารถสร้างบาดแผลเล็กๆบนร่างกายหานเซิ่นเท่านั้น และบาดแผลของเขาก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่เหลือแม้แต่รอยแผลเป็นทิ้งเอาไว้
หานเซิ่นรู้ว่าดราก้อนเลดี้นั้นออมมือให้ การโจมตีของเธอปราศจากซึ่งจิตสังหาร มีดตัดกระดูกของเธอฟันเขากว่าร้อยครั้งแล้ว แต่ไม่มีการฟันครั้งไหนที่เป็นอันตรายต่อชีวิตของเขา
ถึงอย่างนั้นความเจ็บปวดที่แสนสาหัสก็พลุ่งพล่านไปทั่วร่างกายของหานเซิ่น ถึงแม้หัวใจของเขาจะแข็งแกร่ง แต่มันก็ยังคงเจ็บปวดมากอยู่ดี เขาจำเป็นต้องกัดฟันเพื่อหลีกเลี่ยงการส่งเสียงร้องออกมา
“ความเจ็บปวดนั้นเป็นแค่ระบบเตือนภัยของร่างกาย” หานหยี่เฟยพูดขึ้นมา
“ระบบเตือนภัยของร่างกายจะแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น มันมีทั้งการเตือนภัยอย่างความเจ็บปวด ความคัน ความแสบและความชา คนธรรมดานั้นจะรู้สึกได้เฉพาะระบบเตือนภัยที่เด่นชัดที่สุด ยกตัวอย่างเช่นในตอนที่เจ้ารู้สึกคันหลังขณะที่ไปเหยียบบนตะปูเข้า คนธรรมดาจะรู้สึกแค่ความเจ็บปวดที่เท้าและเมินเฉยต่ออาการคันที่หลัง เจ้าต้องฝึกจนกว่าเจ้าจะรู้สึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างภายในร่างกาย ถ้าเจ้าเข้าใจทุกด้านของร่างกาย เจ้าก็จะควบคุมมันได้อย่างแท้จริง”
หานเซิ่นจำเป็นต้องทำใจให้สงบเพื่อจะสัมผัสถึงร่างกายของตัวเองที่ได้รับความรู้สึกเจ็บปวด แค่การได้รับความเจ็บปวดก็จะทำให้ผู้คนรู้สึกแย่แล้ว แต่หานเซิ่นจำเป็นต้องสัมผัสถึงรายละเอียดต่างๆของความเจ็บปวด
ภายใต้สถานการณ์แบบนั้น หานหยี่เฟยยังบอกให้หานเซิ่นสงบนิ่งเอาไว้ นั่นเป็นอะไรที่ชั่วร้ายสุดๆ
โชคดีที่หานเซิ่นไม่ใช่คนธรรมดาๆ เขาใช้เวลากว่าหนึ่งวันเพื่อที่จะเคยชินกับความรู้สึกเจ็บปวด มันทำให้เขาสามารถสงบจิตใจและสัมผัสถึงรายละเอียดของความรู้สึกเจ็บปวดได้ดียิ่งขึ้น ถึงแม้ความเจ็บปวดจะเป็นหนึ่งในความรู้สึก แต่มันก็มีระดับย่อยอยู่หลายระดับ ความเจ็บปวดที่แตกต่างกันจะทำให้ร่างกายตอบสนองแตกต่างกันไปด้วย ระดับของความเจ็บปวดก็เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการตอบสนองของร่างกาย
ความรู้สึกเจ็บปวดเป็นอะไรที่เลวร้าย ถ้าคนๆหนึ่งใช้หัวใจรู้สึกถึงมัน พวกเขาก็จะรู้สึกได้ว่าในความเจ็บปวดนั้นมาพร้อมกับความรู้สึกประหลาดที่ซ่อนเร้นอยู่ มันบอกได้ยากว่ามันจะทำให้รู้สึกดีขึ้นหรือแย่ลง
“การวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตธรรมดาทั่วไปจะทำให้ร่างกายแข็งแรงและทนทานขึ้น พวกเขาคิดว่านั่นคือสิ่งที่ดี จนหลงลืมที่จะพัฒนาความสามารถในการรู้สึก ถึงร่างกายของพวกเขาจะแข็งแกร่ง ขณะที่ความสามารถในการรู้สึกของพวกเขาด้อยลงไป นี่ไม่ใช่การวิวัฒนาการที่ถูกต้อง การไม่รู้สึกเจ็บปวด ไม่ได้หมายความว่าร่างกายไม่ได้รับความเสียหาย การมีร่างกายที่ประสาทสัมผัสไวจะทำให้ร่างกายของคนๆนั้นมีปฏิกิริยาที่รวดเร็วและแม่นยำยิ่งกว่า ซึ่งส่งผลทำให้คนๆนั้นรวดเร็วกว่าคนอื่นๆ”
หานหยี่เฟยอธิบายต่อ “มันเหมือนกับการที่เจ้านอนหลับและขาของเจ้าถูกเผาด้วยเปลวไฟ ร่างกายของเจ้าจะส่งสัญญาญเตือนด้วยความเจ็บปวด มันจะส่งไปที่สมองของเจ้าและสมองของเจ้าก็จะเริ่มสั่งการให้เจ้าตอบสนองเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ความเจ็บปวดนั้นคือสัญญาณเตือนภัยของร่างกาย เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าจะทำและทำการตอบสนองได้ทันที แบบนั้นปฏิกิริยาตอบสนองของเจ้าถึงจะรวดเร็วที่สุด ถ้าเจ้าใช้ปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายในระหว่างการต่อสู้ เจ้าก็จะรวดเร็วยิ่งกว่าคนอื่นๆ เพราะเจ้าไม่จำเป็นต้องหยุดคิด เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้ว มันจะช่วยลดเวลาในการตอบสนองของเจ้าไปได้มาก”
หานเซิ่นคิด ‘นั่นหมายความว่าเราจะกลายเป็นแค่ชายไร้สมองที่พึ่งแต่แขนขาที่แข็งแรงน่ะสิ’
หานหยี่เฟยดูเหมือนจะมองทะลุถึงความคิดของหานเซิ่น เธอยิ้มและพูด
“อย่าได้ประเมินปฏิกิริยาตอบสนองตามธรรมชาติของร่างกายต่ำเกินไป การไม่ต้องใช้สมอง ไม่ได้หมายความว่าเจ้านั้นโง่เขลา ถ้าเจ้าทำให้ร่างกายตอบสนองด้วยตัวเองในระหว่างการต่อสู้ได้ ด้วยพลังของเลือดเซเคร็ด เจ้าก็ไม่แม้แต่จะต้องใช้สมองเพื่อฆ่าศัตรู”
ถึงแม้สิ่งที่หานหยี่เฟยพูดจะฟังดูสมเหตุสมผล แต่หานเซิ่นกลับไม่เห็นด้วย เขาคิดว่าทุกอย่างจะดีกว่าในตอนที่เขาพึ่งพาการคิดวิเคราะห์
แต่ถ้าเขามีปฏิกิริยาตอบสนองแบบที่หานหยี่เฟยพูดถึงจริงๆ มันก็ไม่ใช่อะไรที่เลวร้าย ถ้าเขาจะมีติดตัวเอาไว้
ความจริงแล้วสิ่งที่หานหยี่เฟยพูดนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไร เพียงแต่ว่าคนอื่น ซึ่งรวมถึงหานเซิ่นมักจะไม่ให้ความสนใจกับเรื่องนี้
หานเซิ่นใช้หัวใจเพื่อรู้สึกถึงความเจ็บปวด ด้วยความช่วยเหลือของดราก้อนเลดี้ หานเซิ่นใช้เวลาไม่กี่วันก่อนที่ร่างกายของเขาจะตอบสนองต่อความรู้สึกเล็กๆน้อยๆ แต่ถึงอย่างนั้นหานเซิ่นก็ยังควบคุมเลือดสีฟ้าไม่ได้ มันยังคงทำงานด้วยตัวของมันเอง และไม่รวมเข้ากับเลือดสีแดงของเขา
หานเซิ่นจึงถามคำถามกับหานหยี่เฟย ซึ่งเธอตอบกลับมาว่า
“การเข้าใจความรู้สึกของร่างกายเป็นเพียงแค่ขั้นแรก ต่อจากนี้จะเป็นของจริง เจ้าจำสิ่งที่ข้าบอกได้ใช่ไหม? เจ้าต้องสงบนิ่งอย่างสมบูรณ์ก่อนที่เจ้าจะควบคุมเลือดสีฟ้าได้ เจ้าต้องทำให้ร่างกายหยุดนิ่งและสัมผัสร่างกายของตังเองอย่างละเอียด เจ้าจะควบคุมเลือดสีฟ้าได้หรือไม่ นั่นก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง มันไม่มีใครช่วยเหลือเจ้าได้”
ตั้งแต่ที่ดราก้อนเลดี้หยุดทำร้ายเขา หานเซิ่นก็แค่ยืนอยู่ตามลำพังโดยที่ไม่เคลื่อนไหว แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ค้นพบว่าการจะสงบนิ่งอย่างสมบูรณ์นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เขาทำให้หัวใจหยุดเต้นและปอดหยุดหายใจ แถมเขายังทำให้เลือดของตัวเองหยุดไหล แต่ถึงอย่างนั้นร่างกายของเขาก็ยังคงมีฟังก์ชั่นหลายอย่างที่ยังคงทำงานอยู่
อย่างเช่นสมองและการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ ตอนแรกหานเซิ่นคิดว่าเป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้พวกมันสงบนิ่ง แต่ยิ่งเขาพยายามทำ ร่างกายของเขาก็อึกทึกมากยิ่งกว่าเดิม เซลล์จำนวนนับไม่ถ้วนยังคงทำงาน เหมือนกับพวกมันกำลังจัดปาร์ตี้ในไนต์คลับ
เนื่องจากการฝึกก่อนหน้านี้ ร่างกายของหานเซิ่นจึงมีประสาทสัมผัสที่ไวอย่างที่สุด และยิ่งเขารู้สึกถึงร่างกายตัวเองมากเท่าไหร่ เขาก็พบว่ามันยากที่จะทำให้ร่างกายสงบนิ่งมากขึ้นเท่านั้น
จนในที่สุดหานเซิ่นก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับหานหยี่เฟยว่า “มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสงบนิ่งอย่างสมบูรณ์”
“พลังของเลือดสีฟ้านั้นเป็นสิ่งที่อยู่เหนือกฎของจักรวาลนี้” หานหยี่เฟยพูดอย่างเย็นชา
“ถ้าเจ้าควบคุมร่างกายของตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบไม่ได้ เจ้าจะควบคุมพลังที่อยู่นอกเหนือกฎของจักรวาลได้ยังไง?”
เนื่องจากหานหยี่เฟยพูดอย่างสมเหตุสมผล หานเซิ่นจึงไม่ได้พูดอะไรอีก มีแค่คนที่พิเศษเท่านั้นที่จะทำสิ่งที่พิเศษได้ ถ้าเขาไม่ได้เหนือกว่าคนอื่นๆ มันก็ไม่มีทางที่เขาจะควบคุมพลังที่อยู่เหนือกฎได้
หานเซิ่นต้องสงบร่างกายของเขาลงให้ได้ เขาหวังว่าตัวเองจะไปถึงความสงบนิ่งอย่างสมบูรณ์ตามที่หานหยี่เฟยพูดถึง
ยิ่งหานเซิ่นต้องการให้ร่างกายสงบนิ่งมากเท่าไหร่ ปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายก็รุนแรงขึ้นเท่านั้น มันทำให้การยืนเฉยๆโดยที่ไม่เคลื่อนไหวนั้นดูจะเป็นอะไรที่ยากเย็นยิ่งกว่าการต่อสู้ที่ตัดสินความเป็นความตาย
ดราก้อนเลดี้มองหานเซิ่นที่ยืนแข็งทื่อเหมือนกับรูปปั้น ก่อนที่จะหันไปถามหานหยี่เฟย “เขาจะทำได้จริงๆอย่างนั้นหรอ?”
“เขาจำต้องทำให้ได้” หานหยี่เฟยพูดอย่างจริงจัง
“มันเป็นหนทางรอดเดียวเพียงทางเดียว เทพสปิริตนั้นจะไม่มีวันปล่อยคนที่มีเลือดสีฟ้าไป ในตอนที่เทพสปิริตจุติลงมาอีกครั้ง มันจะไม่เหมือนอย่างชาโดว์ก็อต”