หานเซิ่นกางแขนออกโดยจิตใต้สำนึก เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าและคำรามออกมา ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีฟ้าและส่องประกายด้วยแสงที่น่ากลัว
สมองของหานเซิ่นยังคงปลอดโปร่ง แต่ร่างกายของเขาหิวกระหายอย่างมาก มันเหมือนกับว่าเขาเป็นคนขี้ยา หานเซิ่นรู้ว่าสิ่งนี่ไม่ควรจะดำเนินต่อไป แต่ปฏิกิริยาทางร่างกายของเขาทำให้เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้
แสงสีฟ้ากระพริบและร่างกายของหานเซิ่นก็ฝ่ามิติของอวกาศ จู่ๆเขาไปปรากฏตัวตรงหน้าพระเจ้าชั่วพริบตา เขายื่นมือออกไปจับที่คอของเธอและยกตัวเธอขึ้น
พระเจ้าชั่วพริบตานั้นติดอยู่ในไทม์ลูป ดังนั้นเธอไม่สามารถป้องกันการโจมตีได้ เธอทำได้แต่มองดู
หานเซิ่นรู้สึกเหมือนกับว่ามันมีอสูรที่ต้องการจะฆ่าฟันทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายในตัวของเขา เขาจับพระเจ้าชั่วพริบตาที่คอและออกแรงบีบด้วยพลังที่น่ากลัว
มากกว่าครึ่งนั้นเป็นพลังของเลือดสีฟ้า มีเพียงแค่ส่วนน้อยที่เป็นพลังของตัวหานเซิ่นเอง วิชาจีโนแต่ละวิชาของเขาสูญเสียประสิทธิภาพของพวกมันไป นอกจากวิชาโลหิตชีพจรแล้ว วิชาอื่นๆนั้นไม่สามารถใช้งานได้
ภายใต้การชักนำของเลือดสีฟ้า การทำงานของวิชาโลหิตชีพจรก็แสดงความเปลี่ยนแปลงประหลาด แต่หานเซิ่นคุ้ยเคยกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น ก่อนหน้านี้จักรพรรดิมนุษย์เคยมอบส่วนที่เหลือของวิชาโลหิตชีพจรให้กับเขา และความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นก็คือส่วนที่เหลือนั้น
คอของพระเจ้าชั่วพริบตาถูกหานเซิ่นบีบจนมีรอยสีฟ้าเกิดขึ้น แม้แต่ไทม์ลูปก็ไม่สามารถลบรอยบาดแผลสีฟ้าได้ แต่บาดแผลเพียงแค่นั้นยังไม่เพียงพอที่จะฆ่าพระเจ้าชั่วพริบตา
หานเซิ่นกวัดแกว่งฝ่ามือเหมือนกับมีด เขาฟันใส่พระเจ้าชั่วพริบตาที่ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้ บาดแผลบนเนื้อหนังและกระดูกของเธอนั้นเปลี่ยนเป็นสีฟ้า
หลังจากที่ได้รับพลังจากเลือดสีฟ้า หานเซิ่นก็สามารถใช้มือเปล่าเพื่อสร้างบาดแผลกับร่างกายของพระเจ้าชั่วพริบตาได้อย่างคาดไม่ถึง ก่อนหน้านี้ถึงหานเซิ่นจะใช้ไลท์ซิสเซอร์ เขาก็ไม่สามารถสร้างบาดแผลบนผิวหนังของเธอได้
ทั้งจักรวาลตกอยู่ในความเงียบ พวกเขาจ้องมองไปยังหานเซิ่นที่กำลังฉีกพระเจ้าชั่วพริบตาเป็นชิ้นๆ ไม่นานหนังจากนั้นเขาก็บดขยี้สมองของเธอ ในจังหวะที่สมองของพระเจ้าชั่วพริบตาถูกทำลาย พลังชั่วพริบตาไร้สิ้นสุดก็แตกสลายและจางหายไป
“เทพสปิริตพระเจ้าชั่วพริบตาขั้นแอนิฮิเลชั่นถูกฆ่า คุณได้รับเทพสปิริต”
วินาทีต่อมา หานเซิ่นเห็นซากศพของพระเจ้าชั่วพริบตากลายเป็นผุยผงในท้องฟ้า ผุยผงนั้นมารวมตัวกันเป็นเข็มเล่มหนึ่ง หานเซิ่นหยิบเข็มขึ้นมาและได้ยินเสียงประกาศดังขึ้นในหัวอีกครั้ง
“คุณได้รับอาวุธประจำตัวพระเจ้าขั้นแอนนิฮิเลชั่น: เข็มชั่วพริบตา”
พลังชั่วพริบตาไร้สิ้นสุดนั้นจบลงแล้ว และมิติอวกาศของวิหารก็กลับเป็นปกติ ไม่นานเป่าเอ๋อ ราชาไป๋และคนอื่นเป็นอิสระจากไทม์ลูป
หานเซิ่นจ้องไปทางเป่าเอ๋อที่ตอนนี้อยู่ในร่างของดอลลาร์ สมองของเขารู้ถึงเรื่องนั้น แต่ร่างกายของเขารู้สึกราวกับว่าต้องการจะฆ่าเป่าเอ๋อ
“เกิดอะไรขึ้น?” หานเซิ่นตกใจ แต่เขาไม่สามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้ เขายกมือขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ นิ้วมือทั้งห้าของเขากำลังสั่นอย่างรุนแรง
หานเซิ่นไม่มีเวลาคิด เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะควบคุมร่างกายตัวเองเพื่อออกไปจากวิหารพระเจ้า เขากลัวว่าถ้ายังอยู่ต่ออีกแม้แต่วินาทีเดียว เขาจะสูญเสียการควบคุมตัวเองและพยายามฆ่าเป่าเอ๋อ
หานเซิ่นบังคับร่างกายตัวเองให้รีบออกไปจากวิหารพระเจ้าชั่วพริบตา ในการทำแบบนั้นร่างกายของหานเซิ่นก็สั่นไม่ยอมหยุด เขารู้สึกว่าราวกับว่าเขาต้องการจะหันกลับไปและฆ่าเป่าเอ๋อ
หานเซิ่นต้องการจะใช้กาแล็กซี่เทเลพอร์ตเทชั่น แต่เขาสังเกตว่าเขาไม่สามารถใช้วิชาก็อตส์วอนเดอร์ได้ พลังเลือดสีฟ้านั้นหยุดพลังอย่างอื่นทุกอย่างในร่างกายของเขา
แต่ถึงกาแล็กซี่เทเลพอร์ตเทชั่นจะใช้งานไม่ได้ ร่างกายของเขาก็ยังบังคับมิติของอวกาศให้เปิดออกเพื่อเทเลพอร์ตไปที่อื่น นั่นเป็นพลังที่มาจากเลือดสีฟ้า
ปัง!
หานเซิ่นไม่รู้ว่าตัวเองเทเลพอร์ตไปที่ไหน เขาเห็นดาวเคราะห์น้อยจำนวนมากรอบตัว ร่างกายของเขาชนเข้ากับดวงดาวอย่างรุนแรง เขาเป็นเหมือนกับอุกกาบาตที่พุ่งเข้ามาชนดวงดาวจนเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ พื้นดินเป็นเหมือนกับคลื่นทะเลที่กระจายออกรอบทิศทางเป็นระยะกว่าพันไมล์
หานเซิ่นคุกเข่าอยู่ที่ใจกลางหลุม ร่างกายของเขากำลังสั่นรัว ถึงแม้เขาจะออกห่างจากเป่าเอ๋อ แต่เขาก็ยังคงมีความต้องการจะฆ่าเธออยู่
“เลือดสีฟ้า… เลือดสีฟ้ามันมีปัญหา…” หานเซิ่นมีเหงื่อท่วมตัว ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการที่เขาพยายามต่อต้านร่างกายตัวเอง
จิตใจของเขาไม่สามารถรวมเป็นหนึ่งกับร่างกายได้ มันทำให้หานเซิ่นรู้สึกแย่มากๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงพูดดังขึ้นมาไม่ไกลไปจากหานเซิ่น
“อย่าพยายามต่อต้านมัน นั่นคือพลังที่แท้จริงของเจ้า นั่นคือสิ่งที่เจ้าเป็น ปล่อยให้เลือดสีฟ้าเติมเต็มทุกซอกทุกมุมในร่างกายของเจ้า ให้มันกระตุ้นร่างกายของเจ้า และเจ้าจะเปิดใช้พลังที่แท้จริงของตัวเองได้”
หานเซิ่นพยายามเงยหน้าขึ้นมามองอย่างยากลำบาก เขาเห็นผู้หญิงในชุดสีแดงกำลังยืนถือร่มอยู่ในมือ และไม่ไกลไปจากเธอมีชายคนหนึ่งกำลังมองมาที่เขาจากใต้ร่มคันนั้น
หานเซิ่นกัดฟันและถาม “เจ้าทำอะไรกับข้า?” แม้แต่เสียงของเขาก็ยังสั่น
“ไม่ ไม่ ข้าไม่ได้ทำอะไรกับเจ้า” ชายคนนั้นพูดด้วยรอยยิ้ม
“สิ่งที่เจ้าควรจะถามคือตอนนี้เจ้าต้องการทำอะไร? เจ้ายังไม่รู้จักตัวเอง เจ้ายังไม่รู้ถึงสิ่งที่ตัวเองต้องการ เจ้าไม่รู้ว่าจริงๆแล้วตัวเจ้านั้นต้องการอะไรกันแน่”
“ข้ารู้ว่าตัวเองเป็นใคร และข้ารู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ข้ารู้ว่าข้าไม่ได้ต้องการเลือดสีฟ้า” ร่างกายของหานเซิ่นสั่นไม่ยอมหยุด เหงื่อไหลลงมาบนใบหน้าของเขา
พลังของเลือดสีฟ้านั้นแข็งแกร่งเกินไป เพียงแค่เขาจะควบคุมร่างกายตัวเองก็เป็นอะไรที่ยากอย่างที่สุดแล้ว
“เจ้ารู้จริงๆหรือว่าเจ้าเป็นใคร?” ชายคนนั้นออกมาจากใต้ร่มสีแดงและย่อตัวลงข้างๆหานเซิ่น เขายื่นมือออกไปจับคางของหานเซิ่นและมองมาด้วยรอยยิ้ม
“จักรพรรดิมนุษย์… เป็นเจ้าจริงๆด้วย…”
ในที่สุดหานเซิ่นก็ได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย มันเป็นใบหน้าที่หล่อเหลาและมีออร่าพิเศษที่ผู้คนปกติไม่มี มันเหมือนกับว่าเขาสูงส่งเหนือผู้อื่น
จักรพรรดิมนุษย์ยกคางของหานเซิ่นขึ้น เขาหัวเราะและพูด
“ลูกหลานของข้า เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าแตกต่างไปจากคนที่เจ้าคิดว่าตัวเองเป็น”
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร เอาเลือดสีฟ้าของเจ้าออกไปจากร่างกายของข้า” หานเซิ่นต้องการจะหันหน้าหนีออกจากมือของจักรพรรดิมนุษย์ แต่ร่างกายของเขานั้นไม่ยอมเชื่อฟัง
“ลูกหลานของข้า เจ้าคือทายาทของข้า ร่างกายของเจ้ามีสายเลือดของข้าไหลเวียนอยู่ และตอนนี้เจ้าก็มีเลือดของข้า จากนี้เป็นต้นไปเจ้าคือมนุษย์ที่แท้จริง”
จักรพรรดิมนุษย์ลูบแก้มของหานเซิ่น เขายิ้มและพูดต่อ “อีกไม่นานเจ้าจะเข้าใจถึงความภาคภูมิและความสูงส่งของการเป็นมนุษย์ เจ้าจะเพลิดเพลินกับมัน”
“ข้าไม่ได้ต้องการเป็นมนุษย์ที่แท้จริงอะไรนั่น ข้าคือตัวข้าเอง ข้าคือหานเซิ่น” หานเซิ่นกัดฟันขณะที่พูดออกมา
“นั่นไม่เป็นไปได้ลูกหลานของข้า เพลิดเพลินกับการเป็นมนุษย์ที่แท้จริง ในเวลาเพียงไม่นานเจ้าะขอบคุณข้าและกลับมาหาข้า”
จักรพรรดิมนุษย์ใช้นิ้วเช็ดเหงื่อบนแก้มของหานเซิ่น หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและเดินจากไป
หานเซิ่นพยายามพยุงร่างกายตัวเองด้วยสองมือและเงยหน้าขึ้นมาอย่างยากลำบาก เขาเห็นผู้หญิงชุดแดงที่กำลังถือร่มเดินจากไปพร้อมกับจักรพรรดิ และในชั่วพริบตาพวกเขาก็หายตัวไป