Super God Gene – ตอนที่ 2962 ผู้กอบกู้เพียงหนึ่งเดียว

หานเซิ่นไม่รู้ว่าผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภามีความเกี่ยวข้องกับเทพสปิริตหรือไม่ แต่เขารู้ว่าที่ผู้อาวุโสหนึ่งพูดนั้นไม่ผิด

 

“หนึ่งตะเกียงหลักและสี่ตะเกียงรอง?” หานเซิ่นเอาตะเกียงหินออกมา เขาและเป่าเอ๋อสามารถใช้ตะเกียงหินได้ แต่นั่นเป็นแค่การพึ่งพาเปลวไฟของตะเกียงเพื่อเสริมพลังที่พวกเขาปล่อยออกไปเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถควบคุมตะเกียงหินได้

 

แต่ตอนนี้หานเซิ่นเพิ่งจะวิวัฒนาการขึ้นมาสู่ขั้นทรูก็อต บางทีครั้งนี้เขาอาจจะควบคุมตะเกียงหินได้

 

ใบหน้าของปีศาจสาวและคนอื่นๆดูไม่ค่อยดีนัก ในตอนแรกที่พวกเขาไม่ใช้ตะเกียงเผ่าพันธุ์ นั่นก็เพราะตะเกียงเผ่าพันธุ์หลักอยู่ในมือของหานเซิ่น แต่เมื่อพวกเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องที่หานเซิ่นไม่มีร่างกายศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาก็เชื่อว่าหานเซิ่นไม่มีทางใช้พลังของตะเกียงหลักได้ นั่นทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยขึ้น

 

หานเซิ่นมองไปที่ปีศาจสาวและคนอื่นๆ หลังจากนั้นเขาก็ใส่พลังของตัวเองเข้าไปในตะเกียงหิน เขาต้องการจะควบคุมพลังของตะเกียงเผ่าพันธุ์หลักของแซเคร็ด

 

ในตอนที่หานเซิ่นลองใส่พลังเข้าไปในตะเกียงหินก่อนหน้านี้ ตะเกียงหินไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย แต่ตอนนี้พลังของเขาเหนือกว่าตอนที่เขาเป็นขั้นบัตเตอร์ฟลายมาก

 

พลังมหาศาลถูกใส่เข้าไปในตะเกียงหิน และทำให้เปลวไฟของตะเกียงนั้นสว่างไสวขึ้นมา เดิมทีเปลวไฟของตะเกียงหินนั้นสว่างพอๆกับคบเพลิงเท่านั้น แต่ตอนนี้เปลวไฟของมันสว่างยิ่งกว่าเปลวไฟของตะเกียงรองทั้งสี่รวมกันซะอีก มันทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆสว่างไสวขึ้นมา

 

ปีศาจสาว อีแร้งแก่ อสูรไร้ดวงตาและเรดโกสต์ตกใจ เมื่อเห็นเปลวไฟของตะเกียงหลักสว่างไสวขึ้นมา และตะเกียงรองทั้งสี่ก็มีปฏิกิริยาตอบสนอง พวกมันสั่นไหวขณะที่เปลวไฟของพวกมันโค้งลงราวกับถูกลมพัด พวกมันโค้งไปในทิศทางของตะเกียงหินของหานเซิ่นราวกับว่าพวกมันกำลังก้มหัวให้กับเขา

 

เมื่อเห็นภาพนี้มันก็ทำให้ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาดีใจอย่างมาก ถึงเขาจะพูดไปแบบนั้น แต่เขาไม่ได้คาดคิดว่าหานเซิ่นจะควบคุมตะเกียงเผ่าพันธุ์หลักของเซเคร็ดได้จริงๆ

 

แต่ในวินาทีต่อมาตะเกียงหินก็สั่นอย่างรุนแรงและหนีออกไปจากมือของหานเซิ่น มันบินเข้าไปหาปราสาทศักดิ์สิทธิ์

 

มือของหานเซิ่นเต็มไปด้วยเลือด เห็นได้ชัดว่าเขาถูกตะเกียงหลักทำร้าย

 

สีหน้าของทุกคนกลับตาลปัตร ผู้อาวุโสหนึ่งของปราสาทนภาดูตกใจ ขณะที่ปีศาจสาวและคนอื่นๆนั้นดูดีใจขึ้นมา

 

หานเซิ่นมองไปที่มือของตัวเองและขมวดคิ้ว ถึงจะด้วยพลังของเขาในตอนนี้ เขาก็ยังไม่สามารถควบคุมตะเกียงหินได้ มันพาตัวเองหนีไปจากมือของเขาได้สำเร็จ การที่มันทำแบบนั้นได้ แสดงให้เห็นว่าพลังของตะเกียงหินนั้นน่ากลัวขนาดไหน

 

มีเพียงแค่หานเซิ่นที่เข้าใจถึงเรื่องนั้น ในตอนที่เขาใส่พลังเข้าไปในตะเกียงหิน พลังของเขาไม่ได้ควบคุมตะเกียงหิน แต่พลังของตะเกียงหินถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาและเริ่มต่อสู้กับพลังของเขาแทน

 

ตูม!

ตะเกียงหินบินไปอยู่บนหลังคาของปราสาทศักดิ์สิทธิ์ ตะเกียงเผ่าพันธ์หลักหนึ่งอันและตะเกียงเผ่าพันธุ์รองสี่อันร่วมกันส่องแสงออกมา ตะเกียงเผ่าพันธุ์ทั้งห้าปัดเป่าความมืดมิดทั้งหมดออกไปและทำให้พื้นที่โดยรอบสว่างไสวเหมือนกับเป็นตอนกลางวัน

 

หานเซิ่นเห็นสเปชชาร์มที่เคยซ่อนตัวอยู่ในความมืดได้อย่างชัดเชน และเขายังมองเห็นจุดที่ศิลาจารึกแห่งชะตากรรมเคยอยู่ ไนน์เทาซันด์คิงและพวกปลาทองยังคงอยู่ที่นั่นและมองมาทางเขา

 

ในตอนแรกหานเซิ่นคิดว่าที่เรดโกสต์กลับมาก็เพราะว่าเขาฆ่าไนน์เทาซันด์คิงได้สำเร็จ แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้เป็นแบบนั้น สถานการณ์ของพวกเขาดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังไม่ตาย

 

ตูม! ตูม! ตูม!

ปราสาทศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในแสงสว่างเริ่มสั่นสะเทือน มันไม่ใช่แค่ภาพลวงตาเช่นกัน มันกำลังสั่นไหวจริงๆ หลังคาของปราสาทศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นเหมือนกับดอกบัวที่กำลังบานออก และรูปปั้นที่อยู่ข้างในก็เผยออกมาให้เห็น

 

หลังจากนั้นตะเกียงหินก็ค่อยๆบินเข้าไปหารูปปั้นหินของฉินซิว หานเซิ่นจำได้ว่าตอนแรกรูปปั้นหินของฉินซิวนั้นอยู่ในท่ามือประกบกัน แต่ตอนนี้รูปปั้นกำลังยื่นมือข้างหนึ่งออกมา เห็นได้ชัดว่ามันกำลังอยู่ในท่วงท่าที่แตกต่างออกไปจากเดิม

 

แต่ทว่าเมื่อหานเซิ่นพยายามองดูดีๆ เขาไม่คิดว่ารูปปั้นนั้นจะมีชีวิตขึ้นมา มันทำให้เขารู้สึกแปลกๆ

 

ตะเกียงหินบินลงไปบนรูปปั้นหินของฉินซิว และทำให้ทั้งรูปปั้นลุกเป็นไฟขึ้นมา

 

ตะเกียงเผ่าพันธุ์ในมือของปีศาจสาว อสูรไร้ดวงตา เรดโกสต์และอีแร้งแก่เริ่มสั่นไหว และบินเข้าไปในปราสาทศักดิ์สิทธิ์

 

ตะเกียงเผ่าพันธุ์ทั้งสี่บินไปอยู่บนหัวของรูปปั้นของฟินิกซ์ โกสต์คาร์ แมวเก้าชีวิตและกิเลนศักดิ์สิทธิ์ หลังจากนั้นรูปปั้นของอสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ก็ลุกไหม้เหมือนกับรูปปั้นของฉินซิว

 

เปลวไฟจากรูปปั้นทั้งห้าลามไปทั่วทั้งปราสาทศักดิ์สิทธิ์และทำให้ทั้งปราสาทตกอยู่ภายใต้เปลวไฟ มันทำให้รูปปั้นหินของสิบขุนพลลุกไหม้ตามไปด้วย ทั้งปราสาทเป็นเหมือนกับเมืองที่กำลังถูกเผาไหม้โดยเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์

 

“ฮ่าๆ… หานเซิ่น… ไม่สำคัญว่าเจ้าจะแข็งแกร่งขนาดไหน ตราบใดที่เจ้าไม่มีร่างกายศักดิ์สิทธิ์ เจ้าก็จะไม่ได้รับการยอมรับจากตะเกียงเผ่าพันธุ์ของเซเคร็ด ตอนนี้เมื่อตะเกียงเผ่าพันธุ์กลับมาอยู่ในที่ของมัน ปราสาทศักดิ์สิทธิ์ก็จะเปิดออกอีกครั้ง ตอนนี้พวกเราก็เหลือแค่ต้องรอให้นายน้อยกลายเป็นขั้นทรูก็อต หลังจากนั้นพวกเราก็จะกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง” อีแร้งแก่พูดอย่างตื่นเต้น

 

อสูรไร้ดวงตาพูดเสริม “หานเซิ่น ตอนนี้เจ้าควรเข้าใจว่านายน้อยคือคนที่ถูกลิขิตมาให้เป็นผู้กอบกู้ เขาจะเป็นคนที่ปกครองทั้งจักรวาล ถึงแม้เจ้าจะเป็นพ่อของเขา เจ้าก็ขัดขวางการขึ้นเป็นใหญ่ของเขาไม่ได้”

 

“หานเซิ่น มันยังไม่สายเกินไปที่เจ้าจะมาร่วมมือกับพวกเราเพื่อช่วยนายน้อยทำลายกฎที่ผูกมัดพวกเราโดยเทพสปิริต พวกเรามาช่วยให้เขากลายเป็นผู้ปกครองจักรวาลที่แท้จริง” ปีศาจสาวยิ้มและเชิญชวนหานเซิ่น

 

หานเซิ่นเมินเฉยต่อสิ่งที่ปีศาจสาวและคนอื่นๆพูด เขาหันไปมองปราสาทศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังลุกไหม้อย่างสว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์ ดวงตาของเขาจ้องไปที่ตะเกียงเผ่าพันธุ์หลักและรูปปั้นหินของฉินซิว

 

อีแร้งแก่หัวเราะและพูด “หานเซิ่น เจ้าคอยดูให้ดี ชื่อเสียงของเซเคร็ดจะกลับคืนมาอีกครั้งด้วยการนำของนายน้อย”

 

หานเซิ่นมองไปที่มีดในมือและพูด “ข้าไม่รู้ว่าเซเคร็ดจะกู้คืนชื่อเสียงในอดีตกลับคืนมาได้หรือเปล่า และข้าก็ไม่รู้ว่าเสี่ยวฮวาจะกลายเป็นผู้ปกครองของทั้งจักรวาลหรือไม่ ข้ารู้แค่ว่าเขาคือลูกของข้า พวกเจ้าลักพาตัวลูกชายของข้าไปและให้เขาทำในสิ่งที่อันตรายที่สุดในจักรวาลนี้”

 

“นั่นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นายน้อยเกิดมาเพื่อเป็นผู้กอบกู้ เขามีพรสวรรค์เหนือผู้อื่น เจ้าควรจะภาคภูมิใจในตัวเขา” ก่อนที่ปีศาจสาวจะพูดจบ เสียงของหานเซิ่นก็ดังขึ้นมา

 

“หุบปาก!” ดวงตาของหานเซิ่นดูเลือดเย็น และเสียงของเขาก็ฟังดูเย็นชา

“พวกเจ้าเอาแต่พูดเหมือนกับว่าตนเองเป็นฝ่ายถูก สิ่งที่พวกเจ้าทำเป็นการทำร้ายผู้อื่น แต่พวกเจ้ากลับเชื่อว่าตัวเองเป็นผู้มีคุณธรรม พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาบ่งการชีวิตของเขา เขาเป็นลูกชายของข้า! แม้แต่ข้าก็ยังไม่ต้องการให้เขามาแบกรับความฝันของข้าเลย แต่พวกเจ้ากลับให้เขาต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อกลายเป็นผู้กอบกู้ พวกเจ้ากล้าดียังไงมาพูดบางสิ่งที่ไร้ยางอายอย่างภาคภูมิแบบนั้น พวกเจ้าก็แค่พวกอ่อนแอและขี้ขลาดที่รักตัวกลัวตาย สิ่งที่พวกเจ้าพูดมันก็แค่ข้ออ้างเท่านั้น”

 

หานเซิ่นเงยหน้าขึ้นและจ้องตรงไปที่รูปปั้นของฉินซิว

“ลูกชายของข้าจะใช้ชีวิตอยู่เพื่อตัวของเขาเอง เขาจะต่อสู้เพื่อความฝันของตัวเอง!”

 

หานเซิ่นยกมีดขึ้นสูง ก่อนที่จะฟันออกไปในทิศทางของปราสาทศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังลุกไหม้อย่างสว่างไสว

 

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset