หลังจากที่ฝังโครงกระดูกเสร็จแล้ว หานเซิ่นก็สวมเสื้อผ้าที่เหมือนกับชุดคลุม เขาไม่รังเกียจที่จะสวมใส่ชุดของคนตาย แถมชุดคลุมนี่ก็ไม่ได้ดูสกปรกอะไร จริงๆแล้วมันดูเหมือนกับของใหม่
สิ่งสกปรกอย่างแบคทีเรียนั้นถูกย่อยสลายโดยสสารแสงสีม่วง ดังนั้นมันจึงไม่มีสิ่งสกปรกอะไรหลงเหลืออยู่
ในตอนที่หานเซิ่นสวมใส่ชุดคลุม เขาก็พยายามจะใช้พลังของตัวเองเพื่อปลุกพลังของชุดคลุมให้ตื่นขึ้น เขาเชื่อว่าถึงแม้มันจะไม่ใช่อาวุธประจำตัวพระเจ้า แต่อย่างน้อยๆมันก็ต้องเป็นสมบัติที่หายาก
แต่ไม่ว่าหานเซิ่นจะพยายามปลุกพลังของมันยังไง เสื้อคลุมสีน้ำเงินดำก็ไม่แสดงปฏิกิริยาอะไร มันเป็นเหมือนกับสิ่งของปกติที่ปราศจากพลังงานใดๆ
“สิ่งนี้ไม่มีทางเป็นแค่เสื้อผ้าธรรมดาไปได้ มันไม่ถูกย่อยสลายในสสารแสงสีม่วง ดังนั้นมันต้องเป็นระดับเทพเจ้าเป็นอย่างน้อย แต่ทำไมมันถึงไม่มีปฏิกิริยาอะไร?”
หานเซิ่นคิดว่ามันแปลกๆ เขาไม่สามารถทำให้ชุดคลุมตอบสนองอะไรได้ เขาลองพยายามฉีกมันดู แต่เขาพบว่ามันแข็งแรงเกินไป
หานเซิ่นคิด ‘ช่างเถอะ เราจะสวมใส่มันเป็นเหมือนกับชุดเกราะ ด้วยเสื้อคลุมนี้พลังอย่างลม ไฟหรือสายฟ้าก็ไม่ควรจะมาถึงตัวเรา’
หานเซิ่นมองไปรอบๆและเห็นสามภูเขาหินสีดำที่อยู่บนทุ่งน้ำแข็ง ภูเขาหินทั้งสามนั้นดูค่อนข้างแปลก พวกมันแตกต่างไปจากภูเขาน้ำแข็งและภูเขาหิมะที่อยู่รอบๆ
ภูเขาน้ำแข็งเหมือนกับใบมีด ส่วนภูเขาหิมะนั้นเป็นวงกลมเหมือนกับภูเขาไฟ มีเพียงแค่ภูเขาหินที่ดูเหมือนกับกลีบของดอกบัว
“นี่ควรจะเป็นที่ที่เจ้าปลาทองบอก” หานเซิ่นอุ้มเป่าเอ๋อขึ้นมาและเริ่มเดินบนหิมะ
ตามที่ปลาทองตัวใหญ่บอก หลังจากที่มาถึง พวกเขาจำเป็นต้องเดินไปบนหิมะ พวกเขาไม่สามารถบินหรือเทเลพอร์ตได้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะถูกโจมตีโดยซีโน่เจเนอิคที่น่ากลัว
ปลาทองตัวใหญ่นั้นเป็นซีโน่เจเนอิคระดับท็อป ถ้ามันหวาดกลัวซีโน่เจเนอิคตัวอื่น ซีโน่เจเนอิคตัวนั้นก็ต้องทรงพลังอย่างมาก ถ้าไม่มีความจำเป็น หานเซิ่นก็ไม่อยากจะเสี่ยงสู้กับมัน
“ที่นี่สว่างมากๆ ถ้าพวกเราบินไป พวกเราก็จะถูกเห็นได้ง่าย แต่ถึงพวกเราจะเดินไป พวกเราก็จะถูกเห็นอยู่ดีไม่ใช่หรอ?” หานเซิ่นรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี่
แต่ไม่ว่าสิ่งที่ปลาทองตัวใหญ่บอกจะเป็นความจริงหรือไม่ ในเมื่อพวกเขามาถึงที่นี่แล้ว หานเซิ่นก็จะลองเชื่อมันดู
ระหว่างทางนั้นเป็นอย่างที่เจ้าปลาทองตัวใหญ่บอก มันมีแค่น้ำแข็งและหิมะอยู่รอบๆ มันไม่ได้มีสิ่งมีชีวิตหรือซีโน่เจเนอิคเช่นกัน ที่แห่งนี้นั้นเงียบสงัด
พ่อและลูกสาวไม่ได้เจอกับอันตรายใดๆ พวกเขาแค่เสียเวลาพอสมควรกว่าจะเดินไปถึงสามภูเขาหินสีดำ พวกเขามองขึ้นไปยังภูเขาทั้งสามลูก พวกมันงดงามและใหญ่โตมากๆ ภูเขาทั้งสามลูกนั้นแต่ละลูกสูงประมาณสามหมื่นฟุต พวกมันเรียงติดกันโดยเว้นที่ว่างตรงกลางเหมือนกับดอกบัวที่กำลังบาน
ตามที่ปลาทองตัวใหญ่บอกกับพวกเขา พวกเขาต้องปีนผาชันของภูเขาขึ้นไปเจ็ดถึงแปดไมล์ ซึ่งตรงหน้าของพวกเขาในตอนนี้คือบันไดหินที่จะนำพวกเขาขึ้นไปบนยอดของภูเขา มันเป็นเหมือนกับบันไดที่ทอดยาวขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์
เมื่อมาถึงจุดนี้ หานเซิ่นก็ไม่ได้เดินขึ้นบันไดไปในทันที เขามองไปที่บันไดหินตรงหน้าด้วยหัวใจที่เต้นรัว
จากสิ่งที่ปลาทองตัวใหญ่บอก พวกเขาต้องหันหน้าหนีจากบันไดและต้องหลับตาลง พวกเขาไม่สามารถใช้พลังได้เช่นกัน พวกเขาไม่สามารถใช้แม้กระทั่งพลังอย่างการปลดปล่อยอาณาเขตหรืออะไรทำนองนั้น
ปลาทองตัวใหญ่ยังเตือนพวกเขาว่าในขณะที่พวกเขาเดินขึ้นบันไดหินไป ไม่ว่าจะมีเสียงอะไรดังขึ้นมา พวกเขาก็ไม่สามารถลืมตาขึ้นและหันไปมองได้ พวกเขาต้องหลับตาและขึ้นบันไดต่อไปเรื่อยๆ พวกเขาทำได้แค่สัมผัสกำแพงไปจนกระทั่งพวกเขาพบกับงานแกะสลักบนกำแพง หลังจากนั้นพวกเขาก็จะสามารถใช้พวกมันนำทางไปจนกระทั่งพบสมบัติ
หลังจากที่พวกเขาพบสมบัติแล้ว พวกเขาก็ทำสำเร็จเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น พวกเขายังไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้ พวกเขาต้องหลับตาต่อไปและเดินกลับมาตามเส้นทางเดิม จนกว่าพวกเขาจะลงมาจากภูเขา
“ด้วยสติปัญญาของเจ้าปลาทอง ฉันไม่คิดว่ามันจะคิดแผนการที่ซับซ้อนแบบนี้ได้”
หานเซิ่นอุ้มเป่าเอ๋อขึ้นมาและยิ้ม “หนูจำที่ปลาทองตัวใหญ่บอกได้ใช่ไหม ในตอนที่พวกเราก้าวขึ้นบันไดไป พวกเราจะลืมตาไม่ได้ ถ้าหนูทนต่อไม่ไหวและต้องลืมตาขึ้น หนูต้องรีบบอกพ่อ”
เป่าเอ๋อที่อยู่ในอ้อมแขนของหานเซิ่นหลับตาและพูดอย่างตื่นเต้น
“พ่อ หนูพร้อมแล้ว ขึ้นภูเขาไปกันเถอะ”
หานเซิ่นหลับตา เขาใช้มือข้างหนึ่งสัมผัสกับกำแพงและเริ่มเดินถอยหลังขึ้นบันไดหินไป
เขาไม่สามารถใช้ออร่าตงเสวียนเพื่อช่วยในการมองเห็นได้เช่นกัน เขาจำเป็นต้องใช้หู ดังนั้นเขาจึงโฟกัสไปที่การฟัง นอกจากเสียงของสายลมแล้ว เขาไม่ได้ยินอะไรที่ผิดปกติ
การเดินขึ้นบันไดหินไปไม่ใช่เรื่องยากอะไร ด้วยพลังของหานเซิ่นในตอนนี้ เขาสามารถหลับตาและเดินกลับหลังได้สบายๆ มันไม่ต่างอะไรจากการเดินปกติ แต่เขากลัวว่ามันอาจจะมีกับดักบางอย่างซ่อนอยู่ ดังนั้นเขาเดินขึ้นไปอย่างช้าๆขณะที่ตั้งใจฟังเสียง
หานเซิ่นเดินไปอยู่สักพัก แต่เขาก็ยังคงไม่ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ มันเงียบสงัดตลอดเส้นทาง
ทันใดนั้นนิ้วมือของหานเซิ่นที่ยื่นออกไปแตะกำแพงหินก็รู้สึกต่างไปจากเดิน เขารู้สึกราวกับว่ามีรอยแยกอยู่บนกำแพงหินที่เรียบเนียน
หานเซิ่นคำไปรอบๆและสังเกตได้ว่ารอยบนกำแพงมีทั้งรอยลึก รอยบาง รอยเส้นตรงและรอยเส้นโค้ง เขาไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นรอยแกะสลักของอะไรกันแน่
ถ้าเขาใช้ออร่าตงเสวียน เขาก็ไม่จำเป็นต้องลืมตาขึ้นมามองว่าพวกมันคืออะไร แต่ในตอนนี้เขาทำได้เพียงแค่คาดเดาเท่านั้น
หานเซิ่นสัมผัสรอยแกะสลักและเดินต่อไปเรื่อยๆ แต่ขณะที่เขาเดินไป จู่ๆเขาก็ได้ยินเสียงบางสิ่งจากด้านหลัง มันฟังดูเหมือนกับเสียงของงู มันเบามากๆ แต่มันทำให้เขารู้สึกขนลุกขึ้นมา
เสียงนั่นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขารู้สึกเหมือนกับว่ามีงูพิษตัวหนึ่งกำลังเข้ามาหาเขาจากด้านหลัง มันเกือบจะมาถึงด้านหลังของเขาแล้ว
“ไม่ไหวแล้ว” หานเซิ่นไม่สามารถทนหลับตาต่อไปได้ ระหว่างตัวเองกับเจ้าปลาทองตัวใหญ่ ถ้าเขาต้องเลือกเชื่อใครสักคน เขาก็เชื่อตัวเองมากกว่า เขาเลือกจะเผชิญหน้ากับอันตราย ดีกว่าที่จะเอาชีวิตของตัวเองมาเสี่ยงโดยการเชื่อสิ่งที่ปลาทองตัวใหญ่พูด
หานเซิ่นใช้ออร่าตงเสวียน เขาลืมตาขึ้นและหันไปมองที่บันได เขารู้สึกแปลกใจ มันไม่ได้มีงูอยู่ที่ด้านหลังของเขา เส้นทางนั้นเป็นปกติดีทุกอย่าง มันยังคงเป็นบันไดหินที่นำขึ้นไปบนภูเขา และมันไม่มีอะไรอยู่บนบันได มันมีภาพแกะสลักมากมายอยู่บนกำแพงที่ทอดยาวออกไป
หานเซิ่นยังไม่เข้าใจสิ่งที่ถูกแกะสลักอยู่บนกำแพง นั่นก็เพราะเขาเห็นเพียงแค่ส่วนเดียวของมันเท่านั้น แต่ถ้าให้เขาคาดเดา เขาเดาว่ามันอาจจะเป็นภาพแกะสลักของงูตัวใหญ่
ขณะที่หานเซิ่นมองไปที่ภาพแกะสลักบนกำแพง จู่ๆมันก็เริ่มเคลื่อนไหว ถึงแม้มันจะเป็นแค่หิน แต่มันก็มีชีวิตขึ้นมา เกล็ดสีดำของมันให้กลิ่นเหมือนกับเลือด
หานเซิ่นเห็นกำแพงหินกลายเป็นเนื้อหนังของสิ่งมีชีวิต่อหน้าต่อตา ขณะที่ออร่าที่น่ากลัวเข้าปกคลุมพื้นที่แห่งนั้น
“เจ้าปลาทองไม่ได้โกหก เราไม่ควรลืมตาขึ้นมา”
ถึงแม้หานเซิ่นจะได้รู้ว่าเจ้าปลาทองไม่ได้หลอกเขา แต่เขาไม่เสียใจกับการตัดสินใจของตัวเอง เขาจำเป็นต้องควบคุมชะตากรรมของตัวเอง เขาไม่สามารถคาดหวังที่จะพบกับคนดีทุกครั้ง