หานเซิ่นขมวดคิ้ว เขารู้ว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง คนอื่นๆก็จะถูกฆ่าตายกันหมด แถมเขายังอยากจะรู้ว่าเด็กผู้หญิงผมทองคนนี้เกี่ยวข้องอะไรกับหว่านเอ๋อหรือเปล่า ซึ่งเมื่อดูจากพลังที่เธอใช้แล้ว มันดูแตกต่างไปจากพลังของหว่านเอ๋อ เธอไม่ได้มีพลังสีทองที่สามารถลบล้างพลังจากร่างเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดของหานเซิ่น แต่เธอดูเหมือนจะมีพลังที่สามารถดูดซับหรือช่วงชิงพลังชีวิต
ในเวลาอันสั้นผมสีดำของไป๋อู๋ฉางก็เปลี่ยนเป็นสีขาวและเขาก็กลับมาอยู่ในร่างจริงของตัวเองอีกครั้ง ถ้าเกิดยังเป็นแบบนี้ต่อไปอีกไม่ถึงสิบวินาที เขาก็คงจะต้องตาย
หานเซิ่นไม่ได้สนใจว่าไป๋อู๋ฉางจะอยู่หรือตาย แต่เขาต้องการจะช่วยไป๋เวย และเมื่อคำนึงถึงข้อตกลงของเขากับราชาไป๋ ถ้าเขาต้องการจะใช้ชีวิตอยู่ที่เผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงต่อ เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากช่วยคนพวกนี้
หลังจากที่เด็กผู้หญิงผมทองระเบิดค้อนระดับเทพเจ้าของไป๋ว่านเจี้ยไปแล้ว เธอก็เอื้อมมือไปหาไป๋เวยคนที่อยู่ใกล้ที่สุด
ไป๋เวยนั้นใช้วิชาหมัดช็อกกิ้งสกายของเอ็กซ์ตรีมคิง ดังนั้นเธอไม่มีทางเลือกนอกจากเข้าประชิดเด็กผู้หญิงผมทอง
ร่างกายของไป๋เวยบินไปหามือของเด็กผู้หญิงผมทองอย่างควบคุมไม่ได้ แต่ไป๋เวยไม่ได้ตื่นตระหนก ร่างกายของเธอมีวงแหวนส่องสว่างออกมาทำให้ร่างกายของเธอหมุน เธอต้องการจะใช้แรงหมุนนั้นเพื่อกำจัดแรงดูดของเด็กผู้หญิงผมทอง
เธอหมุนตัวได้เพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ก่อนที่เธอจะถูกดูดไปอยู่ในมือของเด็กผู้หญิงผมทอง เด็กผู้หญิงผมทองจับคอของเธอเอาไว้
ไป๋เวยนั้นแข็งแกร่งกว่าไป๋อู๋ฉาง ในจังหวะที่เธอถูกจับคอ เธอพยายามจะเทเลพอร์ตหนีไปด้วยวิชาก็อตส์วอนเดอร์ของเผ่าเวรี่ไฮ แต่การเทเลพอร์ตของเธอถูกหยุดเอาไว้เหมือนกับดอกไม้ไฟที่ถูกดับด้วยน้ำ เธอไม่สามารถเทเลพอร์ตหนีไปได้
ไป๋หลิงซวงและไป๋ว่านเจี้ยตกตะลึง มันไม่มีใครคาดคิดว่าอันเดดระดับสุดท้ายจะน่ากลัวขนาดนี้
พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไร พวกเขาแค่หันหลังกลับเพื่อจะวิ่งหนีไป พวกเขาไม่ได้สนใจชีวิตของไป๋อู๋ฉางและไป๋เวยอีกต่อไป พวกเขารีบตรงไปที่สะพาน
มันจะโทษพวกเขาก็ไม่ได้ เด็กผู้หญิงผมทองคนนี้แข็งแกร่งเกินไป พวกเขาไม่สามารถทำอะไรเธอได้ ถ้าพวกเขายังอยู่ต่อ พวกเขาก็คงจะมีจุดจบที่เหมือนกัน
ไป๋เวยรู้ว่าสถานการณ์นั้นกำลังคับขันสุดๆ และเธอก็รู้ว่าตัวเองคงจะต้องตายในอีกไม่นาน มันมีบางสิ่งถูกดูดออกมาจากร่างกายของเธอและเข้าไปในมือของเด็กผู้หญิงผมทอง
ในตอนที่พลังของเธอถูกดูดไป ไป๋เวยก็รู้สึกว่าเธอไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะดิ้นรน ร่างกายของเธอสั่นภายในกำมือของเด็กผู้หญิงผมทอง
“ข้าจะต้องตายอยู่ที่นี่อย่างนั้นหรอ? ข้ายังไม่ได้เอาชนะเขาเลย!”
เงาของคนๆหนึ่งแว็บเข้ามาในหัวของไป๋เวย ถึงแม้เธอกำลังจะต้องตาย แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว เธอกำลังรู้สึกผิดหวัง
ทันใดนั้นไป๋เวยก็ได้ยินเสียงดังขึ้นใกล้ๆหูของเธอ และก่อนที่ไป๋เวยจะรับรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มันก็มีพลังบางอย่างดึงตัวเธอออกห่างจากเด็กผู้หญิงผมทอง
ปัง! ปัง!
ไป๋เวยและไป๋อู๋ฉางร่วงลงกับพื้น พวกเขาเงยหน้าขึ้นมาเห็นโฮลี่เบบี้ยืนอยู่ระหว่างพวกเขา เขากำลังจ้องไปที่เด็กผู้หญิงผมทองราวกับเทพที่ลงมาจากท้องฟ้า
ขณะที่ไป๋ว่านเจี้ยและไป๋หลิงซวงพยายามจะหนีไป พวกเขาก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลัง พวกเขาหันกลับไปมองและเห็นโฮลี่เบบี้ช่วยไป๋เวยกับไป๋อู๋ฉางมาจากเด็กผู้หญิงผมทอง มันเป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อ
พวกเขาชะงักไป ถ้าไป๋เวยและไป๋อู๋ฉางถูกฆ่าตาย พวกเขาก็จะสามารถกลับไปรายงานถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้
แต่ตอนนี้ไป๋อู๋ฉางและไป๋เวยยังคงมีชีวิตอยู่ ถ้าพวกเขาพยายามจะหนีไปทั้งๆแบบนี้ มันก็จะส่งผลทำให้ภาพลักษณ์ของพวกเขาแย่ลงไป มันมีโอกาสสูงที่ราชาไป๋จะไม่พอใจกับการตัดสินใจของพวกเขา
ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้พยายามหนีไปแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ได้กลับเข้ามาช่วย พวกเขาแค่มองดูจากระยะไกล
“พวกเจ้าควรรีบไปจากที่นี่” หานเซิ่นพูดกับไป๋อู๋ฉางและไป๋เวย แต่สายตาของเขานั้นจับจ้องไปที่เด็กผู้หญิงผมทอง
ไป๋เวยพยุงไป๋อู๋ฉางที่หมดเรี่ยวแรงขึ้นมา พวกเขาทั้งคู่มองไปที่หานเซิ่นด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนและถอยออกไปตามที่หานเซิ่นบอก
ตอนนี้บนเกาะเหลือเพียงแค่หานเซิ่นกับเด็กผู้หญิงผมทอง เด็กผู้หญิงผมทองมองไปที่หานเซิ่นอย่างไร้ความรู้สึก ทันใดนั้นร่างกายของเธอก็หายไป ในตอนที่เธอปรากฏตัวอีกครั้ง เธอก็ไปโผล่ตรงหน้าของหานเซิ่นและพยายามจะจับคอของเขา
หานเซิ่นยกมือของตัวเองขึ้นมาเพื่อชกใส่มือของเด็กผู้หญิงผมทอง ก่อนหน้านี้หานเซิ่นชกใส่เด็กผู้หญิงผมทองไปรอบหนึ่งแล้ว ซึ่งพลังของพวกเขานั้นทัดเทียมกัน แต่เมื่อพวกเขาปะทะกันอีกครั้ง หานเซิ่นรู้สึกได้ถึงพลังดึงดูดจากมือของเด็กผู้หญิงผมทอง มันทำให้เขารู้สึกว่ามีบางสิ่งถูกดูดออกไปจากร่างกายของเขาและเข้าไปในตัวของเด็กผู้หญิงผมทอง
แต่สิ่งที่ถูกดูดไปนั้นไม่ใช่พลังชีวิตหรืออายุขัยของเขา มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป
“วิชาช่วงชิงสปิริต!” หานเซิ่นรู้สึกตัวว่าเด็กผู้หญิงผมทองพยายามจะเอาอะไรไปจากเขา
เด็กผู้หญิงผมทองนั้นไม่ได้เอาพลังชีวิตของเขา เธอช่วงชิงสปิริตของสิ่งมีชีวิต ไม่แปลกใจเลยที่ไป๋อู๋ฉางยังคงมีใบหน้าที่ดูหนุ่มทั้งๆที่เส้นผมของเขาเปลี่ยนเป็นสีเทา
พลังชีวิตของเขายังคงเป็นเหมือนเดิม แต่หลังจากที่จิตใจเสื่อมถอยจากการถูกชิงสปิริต มันก็ทำให้ผู้คนคิดว่าพวกเขาสูญเสียพลังชีวิต แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่
‘นี่หมายความว่าซีโน่เจเนอิคในปราสาทไนท์ดีเฟ้นส์ถูกเด็กคนนี้ช่วงชิงสปิริตไปอย่างนั้นหรอ?’
ความคิดหลายอย่างผุดขึ้นมาในหัวของหานเซิ่น แต่เขาไม่ได้หยุดมือ อาณาเขตตงเสวียนถูกผลักดันจนถึงขีดสุด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่สามารถหยุดสปิริตตัวเองจากการออกไปจากร่างได้
หานเซิ่นค้นพบว่าสปิริตนั้นไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของฟันเฟืองจักรวาล ถึงแม้เขาจะใช้อาณาเขตตงเสวียนเพื่อหยุดการหมุนของฟันเฟืองจักรวาลทั้งหมด เขาก็ไม่สามารถหยุดเด็กผู้หญิงผมทองจากการช่วงชิงสปิริตได้
หานเซิ่นลองใช้พลังต่างๆ แต่ไม่มีพลังที่จะหยุดเด็กผู้หญิงผมทองจากการช่วงชิงสปิริตได้
หานเซิ่นขมวดคิ้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นพลังแบบนี้ เขาไม่เคยเผชิญหน้ากับศัตรูแบบนี้มาก่อน
หานเซิ่นตัดสินใจใช้วิชาเรื่องราวของยีน เขาใช้พลังของอีเทอร์นิตี้เพื่อหยุดสปิริตของตัวเองจากการรั่วไหลออกไป
ในตอนที่พลังแช่แข็งของอีเทอร์นิตี้ทำงาน หานเซิ่นก็รู้สึกว่าพลังดูดของเด็กผู้หญิงผมทองนั้นหายไป สปิริตหยุดรั่วไหลออกไปจากร่างกายของเขา
“เรื่องราวของยีนใช้ได้ผล! ไม่แปลกใจเลยที่ผู้นำเซเคร็ดคิดค้นมันขึ้นมาเพื่อรับมือกับเทพสปิริต มันเป็นพลังที่มีผลต่อสปิริต”
หานเซิ่นรู้สึกดีใจ เขาแค่ลองดูเผื่อจะได้ผล เขาไม่ได้คาดคิดว่ามันจะได้ผลจริงๆ
เด็กผู้หญิงผมทองยังคงจับมือของหานเซิ่นเอาไว้ แต่เธอไม่สามารถช่วงชิงสปิริตไปจากเขาได้ ใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของเธอดูสับสน ดวงตาสีทองของเธอโฟกัสมาที่หานเซิ่น