ยอดฝีมือของทุกเผ่าพันธุ์รู้ว่าการต่อสู้นี้กำลังจะจบลงในอีกไม่ช้า ดอลลาร์นั้นจนมุมเรียบร้อยแล้ว มันไม่มีหนทางที่เขาจะหลบการโจมตีของพระเจ้าเกราะนภาได้อีกต่อไป
พระเจ้าเกราะนภาต้องการจะจบการต่อสู้นี้เร็วๆเพื่อที่เขาจะได้ใส่สิ่งประจำตัวพระเจ้ากลับไปในร่างกาย เขาไม่มีอารมณ์จะยืดเยื้อการต่อสู้ไปมากกว่านี้ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงปลดปล่อยการโจมตีออกไป
หานเซิ่นไม่คิดจะยอมแพ้ เขาสังเกตพลังของอีกฝ่ายมาเป็นเวลานาน ถึงเขาจะยังไม่แน่ใจถึงขีดจำกัดของพระเจ้าเกราะนภา เขาก็มั่นใจในเรื่องหนึ่งว่าหลังจากที่พระเจ้าเกราะนภารวมร่างกับอบิสไนท์ ร่างกายนั้นยังคงเป็นของอบิสไนท์อยู่ หลังจากที่ถูกรวมเข้ากับสิ่งประจำตัวพระเจ้า ร่างกายของอบิสไนท์ก็แข็งแกร่งขึ้นถึงระดับขั้นทรูก็อต นั่นหมายความว่าในตอนนี้พระเจ้าเกราะนภาเป็นแค่สิ่งมีชีวิตขั้นทรูก็อตเท่านั้น การจะเอาชนะพระเจ้าเกราะนภาจึงไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ขณะที่เห็นมีดแสงสีม่วงดำตรงเข้ามาหา หานเซิ่นก็ยื่นมือออกมาข้างหน้า ทันใดนั้นหอกกระดูกสีเขียวก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา หลังจากนั้นเขาก็ใช้มันแทงไปใส่มีดแสงที่เข้ามา
“เขาพยายามมากเกินไปแล้ว ไม่ว่านักสู้ขั้นบัตเตอร์ฟลายจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน เขาก็ต่อสู้กับเทพสปิริตไม่ได้”
ผู้หญิงในปราสาทนภาขมวดคิ้ว คนอื่นๆก็คิดแบบเดียวกัน ไม่ว่าพวกเขาจะดูเรื่องนี้ยังไง พวกเขาก็เห็นตรงกันว่าหานเซิ่นพยายามมากเกินไป
แต่ในตอนที่หอกปะทะกับมีดแสง ผู้คนก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นว่าหอกนั้นแทงทะลุผ่านมีดแสงไป หลังจากนั้นหานเซิ่นก็เทเลพอร์ตไปอยู่ตรงหน้าของพระเจ้าเกราะนภา หอกถูกแทงเข้าไปใส่แขนที่กำลังถือฝักมีดอยู่ของพระเจ้าเกราะนภา พระเจ้าเกราะนภาไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น และมันก็สายเกินไปแล้วที่เขาจะหยุดหานเซิ่น เขาได้แค่ใช้ชุดเกราะบริเวณแขนเพื่อป้องกัน
Katcha!
พระเจ้าเกราะนภาต้องชดใช้กับความเลินเล่อของตัวเอง หอกสีเขียวแทงทะลุผ่านชุดเกราะและเจาะเข้าไปในแขนของเขา
พระเจ้าเกราะนภาประสบกับความเจ็บปวดและไม่สามารถถือฝักมีดเอาไว้ได้อีก ซึ่งหานเซิ่นสามารถแย่งมันกลับมาได้ ร่างกายของพระเจ้าเกราะนภาโซเซไปด้านหลังขณะที่เขาตกใจอย่างที่สุด
เมื่อเห็นแขนของพระเจ้าเกราะนภามีเลือดไหลออกมา แม้แต่ผู้นำปราสาทนภาและราชาไป๋ก็รู้สึกตกตะลึง พวกเขาอดไม่ได้ที่จะมองไปที่หอกสกายไวน์แรดิชก็อตในมือของหานเซิ่น
“มันคืออาวุธประจำตัวพระเจ้า”
พระเจ้าเกราะนภาจ้องไปที่หอกสกายไวน์แรดิชก็อตในมือของหานเซิ่น บาดแผลบนแขนของเขาเริ่มจะมีต้นอ่อนสีเขียวงอกออกมา ซึ่งมันแตกต่างจากซีโน่เจเนอิคที่หานเซิ่นเคยลองทดสอบหอกสกายไวน์แรดิชก็อต ด้วย ต้นอ่อนบนบาดแผลของพระเจ้าเกราะนภานั้นเติบโตอย่างช้าๆ
“ดูเหมือนว่าแม้แต่พระเจ้าก็ต้านทานพลังของอาวุธประจำตัวพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ไม่ได้”
เมื่อเห็นแบบนั้นหานเซิ่นก็รู้สึกแน่วแน่ยิ่งกว่าเดิม ตราบใดที่เขาสามารถสร้างความเสียหายกับพระเจ้าได้ เขาก็ยังมีโอกาสที่จะชนะ
“อาวุธประจำตัวพระเจ้า…” สิ่งมีชีวิตโบราณและยอดฝีมือที่ซ่อนตัวอยู่ทั่วจักรวาลต่างก็ตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดของพระเจ้าเกราะนภา
ผู้คนที่รู้เกี่ยวกับอาวุธประจำตัวพระเจ้านั้นจะรู้ว่ามันยากขนาดไหนที่จะได้อาวุธประจำตัวพระเจ้ามา
“มันไม่มีทางเป็นอาวุธประจำตัวพระเจ้าของจริงไปได้”
ผู้หญิงในปราสาทนภาพูดด้วยความประหลาดใจ “ด้วยระดับพลังของดอลลาร์ เขาไม่มีพลังที่จะเข้าไปในจีโนฮอลล์ เขาจะมีอาวุธประจำตัวพระเจ้าได้ยังไง?”
“ถ้าเทพสปิริตบอกว่ามันคืออาวุธประจำตัวพระเจ้า มันก็ต้องเป็นอาวุธประจำตัวพระเจ้าไม่ผิดแน่ ดอลลาร์คนนี้น่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ”
ผู้นำปราสาทนภาพูดขณะที่หลี่ตา เขามองไปที่หานเซิ่นและหอกสกายไวน์แรดิชก็อต
“น่าสนใจ” โหลวเลี่ยจ้องหานเซิ่นด้วยดวงตาที่ลุกเป็นไฟ
“อาวุธประจำตัวพระเจ้า?” ราชาไป๋มีสีหน้าแปลกๆ มันยากที่จะบอกได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
“นั่นเป็นไปได้ยังไง?” อสูรขนสีเขียวของเอมตี้เมาท์เทนถาม
“นั่นไม่มีทางเป็นอาวุธประจำตัวพระเจ้าของจริงไปได้”
ในมุมมืดของโลก อีแร้งแก่และอาเหมยมีสีหน้าแปลกๆ “นั่นเป็นอาวุธประจำตัวพระเจ้าจริงๆอย่างนั้นหรอ? นี่ดอลลาร์เข้าไปในจีโนฮอลล์และฆ่าเทพสปิริตคนหนึ่งได้สำเร็จ?”
อาเหมยมองไปที่อีแร้งแก่และถาม “พวกเจ้าเคยเห็นอาวุธประจำตัวพระเจ้านั่นไหม? เจ้านั่นทิ้งหอกเอาไว้เบื้องหลังอย่างนั้นหรอ?”
“ข้าไม่คิดแบบนั้น” อีแร้งแก่พูดขณะที่ส่ายหัว “มันไม่เคยมีหอกแบบนี้มาก่อน”
“ถ้าอย่างนั้นนี่เขาเข้าไปฆ่าเทพสปิริตในจีโนฮอลล์และหนีออกมาได้สำเร็จอย่างนั้นหรอ? นั่นเป็นไปไม่ได้” อาเหมยพูด
ยอดฝีมือทั่วจักรวาลต่างก็จ้องมองไปที่หอกสกายไวน์แรดิชก็อต พวกเขาทุกคนต่างก็มีสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป
“ไม่สำคัญว่าเจ้าจะได้อาวุธประจำตัวพระเจ้านั่นมาได้ยังไงหรือว่าเจ้าจะเป็นใคร วันนี้เจ้าจะต้องตาย!” พระเจ้าเกราะนภาจ้องไปที่หานเซิ่น
เปลวเพลิงสีม่วงดำบนตัวของเขาลุกโชนยิ่งกว่าเดิม ต้นอ่อนเพิ่งจะปรากฏขึ้นมา แต่เปลวเพลิงนั้นทำให้พวกมันหยุดการเติบโต แม้แต่ฝักมีดในมือของหานเซิ่นก็สั่นไหวอย่างรุนแรง มันต้องการจะบินกลับไปหาพระเจ้าเกราะนภา หานเซิ่นใช้พละกำลังเกือบทั้งหมดเพื่อจับฝักมีดเอาไว้
ตูม!
เปลวไฟของพระเจ้าเกราะนภาปะทุราวกับภูเขาไฟ ภายใต้พลังมหาศาลที่พลุ่งพล่านออกมา ชุดเกราะโลหะนั้นละลายเป็นของเหลว มันร่วงผ่านอวกาศไปราวกับฝนดาวตก
หนวดนั้นกำลังเต้นระบำ ขณะที่พระเจ้าเกราะนภาค่อยๆเข้าไปหาหานเซิ่น ชุดเกราะบนร่างกายของเขาก็ละลายออกไปและเผยให้เห็นหน้าอกของเขา กระดูกสีม่วงค่อยๆปรากฏให้เห็นบนอกของเขา ซึ่งทำให้เขาดูเหมือนกับโครงกระดูก โครงกระดูกนั้นเป็นเหมือนกับคริสตัลสีม่วง มันดูเหมือนกับวัสดุที่นำมาใช้ทำฝักมีดรีเทิร์นเอมตี้ ไม่นานหลังจากนั้นชุดเกราะกระดูกสีม่วงก็ปรากฏบนอกของพระเจ้าเกราะนภา
ชุดเกราะกระดูกนั้นดูเหมือนกับซี่โครงสองข้างประกบติดกัน กระดูกซี่โครงแต่ละข้างนั้นมีซี่โครงอยู่เจ็ดซี่ มันดูสมมาตรมากๆ แต่ซี่โครงด้านซ้ายขาดกระดูกไปซี่หนึ่ง
“เขาคือพระเจ้าเกราะนภาจริงๆ!” ในตอนที่ผู้คนของเอ็กซ์ตรีมคิงเห็นกระดูกซี่โครงที่ขาดหายไปบนชุดเกราะโครงกระดูก พวกเขาก็ยืนยันได้ถึงตัวตนของพระเจ้าเกราะนภา
“ดูเหมือนว่าฝักมีดจะทำขึ้นมาจากกระดูกซี่โครงของชุดเกราะกระดูกนี้ แค่กระดูกซี่เดียวก็ยังมีพลังมากถึงขนาดนั้น ถ้าเราตัดกระดูกซี่โครงทั้งสองข้างได้ล่ะก็…”
หานเซิ่นจ้องไปที่พระเจ้าเกราะนภาอย่างละโมบ เขาไม่ได้หวาดกลัวพลังที่ระเบิดออกมาของพระเจ้าเกราะนภา
หานเซิ่นพยายามจับฝักมีดรีเทิร์นเอมตี้เอาไว้ แต่ในที่สุดแล้วมันก็บินกลับไปหาพระเจ้าเกราะนภา
หานเซิ่นแบมือและเห็นบาดแผลที่เผยให้เห็นถึงกระดูกภายใน พวกมันเกิดขึ้นในตอนที่ฝักมีดรีเทิร์นเอมตี้หนีไป
“ทรงพลังอะไรขนาดนี้!” หานเซิ่นคิด ฝักมีดบินกลับไปหาพระเจ้าเกราะนภา มันไปอยู่บนกระดูกซี่โครงที่ขาดหายไปและค่อยๆกลายเป็นส่วนหนึ่งของชุดเกราะโครงกระดูก แต่กระดูกซี่นั้นดูแตกต่างไปจากกระดูกซี่อื่นเล็กน้อย เพราะยังไงมันก็ถูกใช้ทำเป็นฝักมีด มันยากที่จะกลับคืนสู่รูปร่างเดิมของมัน
“ดูหมิ่นต่อเทพสปิริต ตายซะเถอะ!” เสียงของพระเจ้าเกราะนภาดังก้องราวกับฟ้าร้อง ร่างกายของเขาปลดปล่อยออร่าที่น่ากลัวออกมา
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น…” สิ่งมีชีวิตมากมายไม่รู้ถึงความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้น แต่แรงกดดันของพระเจ้าเกราะนภานั้นเป็นสิ่งที่ทำให้แม้แต่คนที่อยู่นอกสนามประลองก็สัมผัสได้ พวกเขารู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมา ขณะที่บนหน้าฝากของเขาเริ่มจะเต็มไปด้วยเหงื่อ
สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอนั้นรู้สึกหวาดกลัวจนต้องหมอบลงไปกับพื้น