เมื่อหานเซิ่นหยดเลือดลงไปอีกหยด ก็อตสปิริตทัชก็ไม่ได้ปฏิบัติตัวต่างไปจากทุกที มันกลืนหยดเลือดเข้าไปก่อนจะกลับสู่สภาพไร้การเคลื่อนไหวดังเดิม ทั้งสี่คนรออยู่เป็นเวลานาน แต่เจ้าแมลงก็ยังคงนิ่งสนิทอยู่ที่ก้นภาชนะ ถ้าพวกเขาไม่เห็นว่ามันดื่มหยดเลือดเข้าไป พวกเขาก็คงจะเชื่อว่ามันได้ตายไปแล้ว
ชายคนนั้นขมวดคิ้ว เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาเอื้อมมือไปหยิบก็อตสปิริตทัชขึ้นมาอีกครั้งเพื่อดูให้แน่ใจว่ามันไม่ได้มีอะไรผิดปกติ
“แปลกจริง ไม่ว่าพรสวรรค์ของเขาจะแย่สักแค่ไหน เขาก็ควรจะได้รับสักเปลือกหนึ่งเป็นอย่างน้อย” เขาคิดขณะที่ยังคงตรวจดูก็อตสปิริตทัชต่อไป แต่เขาไม่พบอะไรที่ผิดปกติ
“หรือบางทีก็อตสปิริตทัชตัวนี้อาจจะแก่เกินไปแล้ว?”
เอ็กซ์ควิสิทหยุดไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดต่อว่า “ก็อตสปิริตทัชตัวนี้เป็นก็อตสปิริตทัชตัวแรกของอัลฟ่าไม่ใช่หรอ? มันทำการทดสอบอยู่ที่นี่มาหลายยุคสมัย บางทีในที่สุดมันก็ยอมจำนนต่อความชราภาพ”
ชายคนนั้นส่ายหัวและพูด “ในตอนที่ปี้ซีพาอวี้ซ่านซินมาที่นี่ พวกเขาทำการทดสอบได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร แต่ทำไมตอนนี้ถึงมีปัญหาขึ้นมาได้?”
“นอกจากเรื่องนั้นแล้ว มันยังมีความเป็นไปได้อื่นอีกอย่างนั้นหรอ? มันไม่มีทางที่หานเซิ่นจะขาดพรสวรรค์ถึงขนาดนั้น”
เอ็กซ์ควิสิทพูด ชายคนนั้นเองก็รู้ว่านั่นเป็นไปไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะถ้าไม่มีพรสวรรค์ระดับสี่เปลือกขึ้นไป การจะพัฒนามาถึงระดับราชันก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่ตอนนี้หานเซิ่นเป็นระดับราชันเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าพรสวรรค์ของเขาจะแย่สักแค่ไหน เขาก็ไม่มีทางพรสวรรค์น้อยกว่าสี่เปลือกไปได้
“นี่มันแปลกจริงๆ” ชายคนนั้นตัดสินใจหยดเลือดของตัวเองให้กับก็อตสปิริตทัชเพื่อดูว่าเจ้าแมลงนั้นจะตอบสนองเหมือนกับปกติหรือเปล่า
แต่หลังจากที่ดื่มเลือดเข้าไป ก็อตสปิริตทัชก็เอาแต่นอนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน มันไม่แม้แต่จะตอบสนองต่อเลือดของชายคนนั้น ดูเหมือนกับว่ามันแก่ชราและอ่อนแรงเกินกว่าจะขยับได้
“นี่มันแก่ชราจริงๆอย่างนั้นหรอ?” ชายคนนั้นก้มลงไปมองเจ้าแมลงใกล้ๆด้วยความแปลกใจ
“มันมีชีวิตอยู่มายาวนานพอแล้ว มันอยู่มานานมากกว่าก็อตสปิริตทัชตัวอื่นๆ การแก่ชรานั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร” เอ็กซ์ควิสิทพูด
“พวกเราทำการทดสอบในตอนนี้ไม่ได้” ชายคนนั้นพูด
“ข้าไม่มีก็อตสปิริตทัชอยู่อีกตัว ดูเหมือนว่าพวกเราต้องกลับไปและขอมันมาเพิ่มอีกตัว หลังจากนั้นพวกเราถึงจะทำการทดสอบกันได้”
“ไม่มีความจำเป็นต้องทดสอบเขา ข้าตัดสินใจจะให้เขาเป็นตัวไหมของข้า ดังนั้นมันไม่สำคัญว่าเขาจะมีพรสวรรค์ระดับกี่เปลือก” เอ็กซ์ควิสิทพูดอย่างเย็นชา
“แต่ว่า…”
ชายคนนั้นกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เอ็กซ์ควิสิทพูดตัดหน้าเขา
“ข้าไม่มีเวลามาทำแบบนี้ ข้าตัดสินใจได้ว่าใครที่ข้าต้องการ และข้าก็ได้ทำการตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว”
ชายคนนั้นอ้าปากแต่ไม่มีเสียงออกมา ที่สุดแล้วเขาก็ยิ้มและพูด
“ถ้าเจ้าตัดสินใจจะรับหนุ่มคนนี้เป็นตัวไหม นั่นก็ไม่เป็นอะไร ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปที่แท่นบูชากันเถอะ”
หลังจากนั้นชายคนนั้นก็นำทางพวกเขาขึ้นภูเขาต่อไป
เมื่อพวกเขาไปถึงปราสาทที่ตั้งอยู่บนยอดของภูเขา ชายคนนั้นก็หันมาและพูด
“เอ็กซ์ควิสิท ข้าจะคอยเจ้าอยู่ข้างนอก ถ้าเจ้าต้องการอะไร เจ้าก็เรียกหาข้าได้”
“พี่สองช่วยดูแลเด็กคนนี้ให้ที ข้าชอบเด็กคนนี้ ดังนั้นอย่าทำให้นางไม่พอใจ” เอ็กซ์ควิสิทพูดขณะที่มองไปที่เป่าเอ๋อ
“เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะดูแลนางอย่างดี” ชายคนนั้นรีบพูด
“เป่าเอ๋อ หนูรอพ่ออยู่ที่นี่และอย่าเป็นเด็กดื้อล่ะ เข้าใจไหม?”
หานเซิ่นวางเป่าเอ๋อลง ด้วยลักษณะนิสัยและพลังของเป่าเอ๋อ มันคงจะจบไม่สวยถ้าชายคนนี้พยายามจะทำอะไร
“หนูจะเป็นเด็กดี” เป่าเอ๋อพูดกับหานเซิ่น
หานเซิ่นลูบหัวของเธอและเดินเข้าไปในห้องโถงพร้อมกับเอ็กซ์ควิสิท
หลังจากที่พวกเขาเข้าไปในห้องโถง ประตูด้านหลังก็ปิดลง หานเซิ่นเห็นว่าไม่มีใครคนอื่นนอกจากพวกเขาอยู่ในห้องโถง แต่ทว่าในห้องมีแท่นบูชาตั้งอยู่ หานเซิ่นถามขึ้นมา
“พี่สองคนนั้นดูแตกต่างไปจากคนอื่นที่นี่”
เอ็กซ์ควิสิทยังคงเดินต่อไปที่แท่นบูชา ขณะที่พูด
“เด็กๆของเผ่าเวรี่ไฮจะถูกแยกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งฝึกเวรี่ไฮเซ้นส์ ขณะที่อีกกลุ่มจะฝึกวิชาจีโนอะไรก็ได้ที่ตัวเองสนใจ ปี้ซีและข้าฝึกเวรี่ไฮเซ้นส์ ส่วนพี่หลี่อวี้ฝึกวิชาอื่น”
“ทำไมเด็กๆของเผ่าเวรี่ไฮถึงต้องถูกแยกออกเป็นสองกลุ่ม?” หานเซิ่นถามด้วยความอยากรู้
เอ็กซ์ควิสิทกระตุกเล็กน้อย แต่เธอแกล้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“การฝึกเวรี่ไฮเซ้นส์จะค่อยๆลบล้างความสามารถในการรู้สึกถึงอารมณ์ ซึ่งนั่นจะส่งผลต่อศักยภาพการให้กำเนิดของพวกเรา”
ตอนนี้หานเซิ่นเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกเขาถึงได้ถูกแบ่งแยก มันก็เพื่อที่สายเลือดของพวกเขาจะได้ดำเนินต่อไป ไม่อย่างนั้นถ้าเผ่าเวรี่ไฮทุกคนเปลี่ยนตัวเองเป็นเครื่องจักรที่ไร้ความรู้สึกกันหมด พวกเขาก็คงจะไม่มีลูกหลานเลยสักคน ซึ่งเผ่าพันธุ์ของพวกเขาก็คงจะอยู่ได้ไม่นานถ้าเป็นแบบนั้น
หานเซิ่นมองไปข้างหน้าและสังเกตเห็นว่าแทนบูชาดูค่อนข้างแปลก มันเป็นฐานขนาดใหญ่ที่มีเตาหลอมขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง นอกจากนั้นแล้วแท่นบูชาก็ไม่มีอะไรอย่างอื่น
“หยดเลือดของเจ้าลงไปในเตาหลอม” เอ็กซ์ควิสิทพูดขณะที่หยดเลือดของตัวเองลงไป หานเซิ่นรู้อยู่แล้วว่าพิธีกรรมนี้จะมาถึง ผู้นำปราสาทนภาได้บอกเขาเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องเจอแล้ว เขายื่นนิ้วมือของตัวเองออกไปและหยดเลือดลงไปในเตาหลอมเช่นเดียวกัน
เมื่อเตาหลอมได้รับเลือดของพวกเขาทั้งสองไป มันก็สว่างขึ้นมา และบางสิ่งภายในเตาหลอมก็เริ่มจะดังก้อง
หานเซิ่นมองไปที่เตาหลอมด้วยความอยากรู้ เขาไม่เห็นอะไรที่อยู่ข้างใน แต่แสงและออร่าของเตาหลอมนั้นมากพอที่จะบอกได้ว่ามันบรรจุไปด้วยความรู้เกี่ยวกับจักรวาล
ขณะที่แสงสว่างขึ้นเรื่อยๆ มันก็เริ่มจะมารวมตัวบนรอยแกะสลักของเตาหลอมจนเกิดเป็นรูปสามเหลี่ยมหยาบๆ
แสงยังคงสับเปลี่ยนอย่างไม่หยุดและรอยแกะสลักก็ส่องสว่างขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้นแสงภายในเตาหลอมก็มัวลงไปขณะที่มันเข้าไปในรอยแกะสลัก
เมื่อสัญลักษณ์รูปสามเหลี่ยมลุกไหม้เหมือนกับดวงอาทิตย์ เอ็กซ์ควิสิทก็พูดขึ้นว่า “วางมือของเจ้าลงบนสัญลักษณ์นั่น”
“มือข้างไหน?” หานเซิ่นถามพร้อมกับกระพริบตาปริบๆ
“มันก็ขึ้นอยู่กับเจ้า” เอ็กซ์ควิสิทพูด
“ผู้ชายไปซ้าย ผู้หญิงไปขวา ถ้าเป็นข้า ข้าจะใช้มือข้างซ้าย” หลังจากนั้นหานเซิ่นก็วางมือข้างซ้ายลงบนสัญลักษณ์รูปสามเหลี่ยม
หานเซิ่นรู้สึกราวกับว่าเขาทาบมือลงกับเหล็กร้อน เขาดึงมือตัวเองกลับมา และเมื่อเขาทำแบบนั้นแสงบนรอยแกะสลักก็หายไป ในตอนนี้สัญลักษณ์รูปสามเหลี่ยมประทับไปบนมือข้างซ้ายของเขา
เมื่อความร้อนหายไปแล้ว สัญลักษณ์รูปสามเหลี่ยมก็หายไปเช่นกัน หานเซิ่นไม่สามารถสัมผัสถึงร่องรอยของมันได้อีกต่อไป
“เสร็จแล้วใช่ไหม?” หานเซิ่นหันไปมองเอ็กซ์ควิสิท
“ใช่ เสร็จแล้ว” เอ็กซ์ควิสิทตอบ
หานเซิ่นรู้ว่าในตอนนี้ เอ็กซ์ควิสิทควรจะอ่านจิตใจของเขาได้ จิตใจของเขาควรจะเป็นเหมือนกับหนังสือสำหรับเธอ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงเริ่มจะจินตนาการถึงบางเรื่องเพื่อจะทดสอบมัน
วินาทีต่อมา เอ็กซ์ควิสิทก็หน้าแดงและตะโกนขึ้นว่า “หยุด!”
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะอ่านจิตใจของข้าได้จริงๆ” หานเซิ่นพูดขณะที่มองไปที่เอ็กซ์ควิสิท