‘เป็นเมืองที่แปลกจริงๆ มันจำกัดพลังของเรา ถึงแม้เราจะยังแข็งแกร่งเหมือนปกติ แต่เราใช้พลังที่เหนือกว่าสิ่งมีชีวิตธรรมดาไม่ได้ มันเหมือนกับว่าตอนนี้เราเป็นแค่สิ่งมีชีวิตธรรมดาๆ’
หานเซิ่นตกใจ เขาพยายามจะเปิดใช้การวิชาต่างๆของเขา แต่เขาไม่สามารถใช้พวกมันได้ในดินแดนประหลาดนี้
ขณะที่หานเซิ่นพยายามหาว่าพลังถูกจำกัดได้ยังไง ชายชาวนภาคนหนึ่งก็เดินเข้ามาและโค้งคำนับเขาอย่างมีมารยาท
“อาจารย์หาน ชื่อของข้าคือลุงฉิน ข้ารับหน้าเป็นมัคคุเทศก์ของเมืองราชาดำ”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถามขณะที่มองไปที่ประชากรของเมือง
ลุงฉินหัวเราะและพูด “ใกล้ๆนี้มีคาเฟ่อยู่ พวกเราควรจะไปดื่มชาและพูดคุยกันต่อที่นั่น สิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองราชาดำนั้นค่อนข้างซับซ้อน ดังนั้นมันคงจะใช้เวลาสักพักในการอธิบาย”
หานเซิ่นตามลุงฉินไปยังคาเฟ่ที่อยู่มุมถนนใกล้ๆ พวกเขาทั้งสองคนนั่งในอยู่บนชั้นสอง พวกเขามองลงมายังสี่แยกที่อยู่ด้านล่าง
ลุงฉินสั่งชามาดื่ม ในตอนแรกหานเซิ่นยังคงเชื่อว่าเมืองทั้งเมืองเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา แต่เมื่อเขายกชาขึ้นดื่ม เขาก็ต้องทิ้งความคิดนั้นไป
ชามีกลิ่นหอมและรสชาติของมันก็เป็นเลิศ มันไม่ใช่แค่ภาพลวงตาอย่างแน่นอน
“อาจารย์หานไม่ต้องกังวล เมืองราชาดำเป็นสถานที่จริงๆ มันแค่แตกต่างออกไป ในมิติแห่งนี้มีเพียงแค่เมืองๆนี้เท่านั้น สิ่งมีชีวิตที่นี่อาศัยอยู่เฉพาะในเมืองแห่งนี้ พวกเขาเกิดและตายที่นี่ ซึ่งพวกเขามีอายุขัยแค่ไม่กี่สิบปีเท่านั้น เนื่องจากพวกเขาฝึกวิชาไม่ได้” ลุงฉินพูดด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าผู้คนที่นี่ฝึกฝนไม่ได้ แล้วทำไมที่นี่ถึงอันตราย?” หานเซิ่นถามด้วยความสับสน
ถ้าทุกอย่างเป็นอย่างที่ลุงฉินพูดจริงๆ มันก็ไม่มีอะไรในสถานที่นี้ที่จะทำร้ายเขาได้ แบบนั้นทำไมยวิ๋นฉางคงถึงได้เตือนเขาว่าให้เก็บบัตรผ่านติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา?
“สิ่งมีชีวิตในเมืองราชาดำนั้นธรรมดา แต่ตัวเมืองไม่ธรรมดา ข้าเชื่อว่าอาจารย์หานคงจะรู้สึกได้ถึงมันเรียบร้อยแล้วว่าพลังของพวกเราถูกจำกัด นอกจากความแข็งแกร่งทางร่างกายแล้ว พลังอื่นๆของพวกเราสูญหายไป”
“ถึงแม้พวกเราจะมีแค่พลังทางกายภาพ แต่สิ่งมีชีวิตของที่นี่ก็ทำร้ายพวกเราไม่ได้อยู่ดี”
ลุงฉินพยักหน้าและพูด “สิ่งมีชีวิตของที่นี่ทำร้ายพวกเราไม่ได้ แต่กฎที่ผูกมัดเมืองราชาดำอยู่จะฆ่าพวกเรา มันมีอยู่ 2 เรื่องที่อาจารย์หานห้ามทำในเมืองราชาดำ หนึ่งคืออาจารย์หานห้ามทำบัตรผ่านราชาดำหาย อย่างที่สองคืออาจารย์หานห้ามทำร้ายสิ่งมีชีวิตอื่นในที่แห่งนี้ มันไม่สำคัญว่าพวกเขาจะอ่อนแอแค่ไหน ถ้าอาจารย์หานทำร้ายพวกเขา อาจารย์หานก็จะถูกลงโทษด้วยกฎของเมืองราชาดำ ถึงแม้อาจารย์หานจะเป็นระดับเทพเจ้า ผลที่ตามมาก็เป็นอะไรที่เลวร้ายอยู่ดี”
“ถ้าอย่างนั้นมันมีประโยชน์อะไรที่จะเข้ามาในเมืองแห่งนี้?” หานเซิ่นถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“มันมีประโยชน์อยู่อย่างหนึ่ง ถึงสิ่งมีชีวิตที่นี่จะอ่อนแอ แต่สิ่งของในบ้านของพวกเขาไม่ใช่ มันมีบ้านอยู่ในเมืองแห่งนี้ทั้งหมดหนึ่งพันเก้าร้อยแปดสิบเจ็ดหลัง คนหลายต่อหลายรุ่นอาศัยอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน พวกเขาจึงมีสมบัติที่สืบทอดมาจากสมัยอดีต และเนื่องจากพวกเขาฝึกฝนไม่ได้ พวกมันจึงเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์ แต่ถ้าพวกเราได้พวกมันมา พวกมันก็จะมีประโยชน์ อาจารย์หานลองคิดดู มันอาจจะมีสมบัติระดับเทพเจ้าอยู่รอบๆนี้”
ลุงฉินหยุดไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดต่อ “แต่ในเมืองราชาดำนั้น อาจารย์หานจะขโมย ปล้นหรือทำร้ายคนอื่นไม่ได้ พวกเขาต้องยอมมอบสิ่งของให้กับอาจารย์หานอย่างเต็มใจ ถ้าอาจารย์หานละเมิดกฎ เมืองราชาดำก็จะลงโทษอาจารย์หาน”
“นั่นเป็นกฎที่แปลกมาก… แต่ถ้าคนที่นี่ไม่ได้ฝึก แล้วแบบนั้นสมบัติเหล่านั้นมาจากที่ไหนกัน?” หานเซิ่นถาม
“เรื่องนั้นไม่มีใครรู้ เช่นเดียวกับที่ไม่มีใครรู้ว่าทำไมถึงมีสถานหยกขาวอยู่ในจักรวาลนี้ ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเมืองราชาดำถึงมีกฎแบบนี้และไม่มีใครรู้ว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่มาจากที่ไหน ทั้งหมดที่พวกเราต้องทำก็คือพยายามเอาสิ่งของที่จำเป็นออกไป” ลุงฉินพูด
“ข้าจะแลกเปลี่ยนกับพวกเขาได้ไหม?” หานเซิ่นถาม
“อาจารย์หานทำได้ แต่อาจารย์หานจะไปบังคับพวกเขาไม่ได้” ลุงฉินตอบ
หานเซิ่นถามลุงฉินเกี่ยวกับเรื่องของเมืองราชาดำเพิ่มเติม ซึ่งเขานั้นย้ำหลายครั้งเกี่ยวกับกฎของที่แห่งนี้
เมื่อหานเซิ่นพร้อมจะออกเดินทางแล้ว ลุงฉินก็พูดขึ้นมา
“อาจารย์หานอย่าลืม… พวกเราใช้พลังในที่แห่งนี้ไม่ได้ ถึงแม้สมบัติระดับเทพเจ้าจะมาอยู่ตรงหน้าพวกเรา แต่พวกเราก็ไม่รู้ว่าพวกมันมีพลังระดับไหน พวกเราเห็นแค่ว่าพวกมันดูเป็นยังไง ในบางครั้งคนที่เข้ามาได้ใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อเอาสิ่งของชิ้นหนึ่งออกไป แต่กลับมาพบที่หลังว่ามันเป็นแค่ระดับบารอนเท่านั้น เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบ่อยภายในเมืองราชาดำ ดังนั้นอาจารย์หานต้องไตร่ตรองให้ดี ข้าหวังว่าอาจารย์หานจะเลือกสมบัติระดับเทพเจ้าออกไปได้”
“ขอบคุณที่ช่วยอธิบายเรื่องทั้งหมดนี่” หานเซิ่นพูดบอกลาและออกจากคาเฟ่ไป เขาเริ่มเดินไปบนถนนอีกครั้ง
หลังจากที่เดินไปไม่กี่ก้าว เขาก็เห็นช่างเหล็กสองคนกำลังทุบค้อนลงไปบนทั่งตีเหล็ก
เมื่อหานเซิ่นเห็นทั่งตีเหล็กนั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา
ทั่งตีเหล็กมีสีดำสนิท มันดูค่อนข้างเก่าและเต็มไปด้วยสนิม แต่หานเซิ่นสามารถบอกได้ว่ามันไม่ได้ขึ้นสนิมจริงๆ
ทั่งอันนั้นเป็นฐานรองที่ช่างเหล็กใช้ทุบอาวุธ ในตอนที่เหล็กถูกนำออกมาจากไฟ พวกเขาจะใช้ค้อนทุบเหล็กร้อนๆให้เข้ารูปบนทั่ง
หานเซิ่นสามารถบอกว่ามันดูเก่ามากๆ ใครจะรู้ว่ามันอยู่ภายในโรงตีเหล็กเป็นเวลานานแค่ไหนแล้ว แต่มันยังคงอยู่ในสภาพดี การที่มันไม่บุบสลายหรือเป็นรอยอะไรถือเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความเป็นเลิศของมัน หานเซิ่นสามารถบอกได้ว่ามันค่อนข้างพิเศษ
“ทั่งนี่เป็นสมบัติอย่างนั้นหรอ? แต่ระดับของมันคืออะไร?” หานเซิ่นยืนอยู่นอกโรงตีเหล็กขณะมองไปที่ทั่ง เขาไม่สามารถใช้พลังได้ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ถึงระดับของทั่งอันนี้
“ทั่งนี่ต้องเป็นสมบัติอย่างหนึ่ง แต่ข้าบอกไม่ได้ว่ามันอยู่ระดับไหน มันอาจจะเป็นอะไรที่ไม่เลว ซึ่งศิษย์ของปราสาทนภาที่เข้ามาก็คงจะอยากได้เจ้าสิ่งนี้เช่นเดียวกัน แต่ช่างเหล็กจำเป็นต้องใช้ทั่งตีเหล็กในการทำงาน ดังนั้นถึงจะผ่านมาหลายต่อหลายรุ่น ทั่งตีเหล็กก็ยังอยู่ที่นี่ เนื่องจากไม่มีช่างเหล็กคนไหนยอมขายมัน”
เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลังของหานเซิ่น
หานเซิ่นหันไปเห็นเอ็กซ์ควิสิทอยู่ข้างๆเขา เธอสวมใส่ชุดสีขาว