Super God Gene – ตอนที่ 2620

บนเกาะหยกน้อย หานเซิ่น หานเหยียนและเป่าเอ๋อกำลังนั่งอยู่รอบโต๊ะที่มีน้ำเต้าสี่ลูกวางอยู่ ซึ่งพวกมันคือน้ำเต้าที่หานเหยียนเก็บมาจากเถาวัลย์ศักดิ์สิทธิ์

 

ทั้ง 3 คนตรวจเช็คน้ำเต้าอยู่ชั่วครู่ แต่พวกเขาก็ยังคงไม่รู้วิธีที่จะเอาลมปราณศักดิ์สิทธิ์ออกมา

 

“เป่าเอ๋อ หนูทำให้เจ้าพวกนี้ปลดปล่อยลมปราณศักดิ์สิทธิ์ออกมาไม่ได้หรอ?” หานเซิ่นถามขณะที่มองไปที่เป่าเอ๋อ

 

เป่าเอ๋อส่ายหัว “หนูจะทำได้ถ้าหนูอยู่บนเถาวัลย์นั่น แต่ตอนนี้หนูทำไม่ได้”

 

“ถ้าอย่างนั้นการได้รับพวกมันมาก็ไม่มีประโยชน์น่ะสิ” หานเซิ่นรู้สึกหดหู่

 

“เมื่อน้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์แยกจากเถาวัลย์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว ลมปราณศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในพวกมันจะแข็งตัว พวกมันจะไม่ปลดปล่อยลมปราณศักดิ์สิทธิ์ออกมาอีก”
ยวิ๋นฉางคงยิ้มขณะที่เดินเข้ามาหาพวกเขา ยวิ๋นซู่อีและยวิ๋นซู่ซางก็เดินตามมาจากด้านหลังของเขา

 

“คารวะศิษย์พี่” หานเหยียนพูด เธอลุกขึ้นและโค้งคำนับยวิ๋นฉางคง

 

“คารวะอาจารย์อา” ยวิ๋นซู่อีและยวิ๋นซู่ซางโค้งคำนับให้กับหานเหยียน

 

‘ทำไมมันถึงได้ยุ่งยากนัก?’ หานเซิ่นคิด เขาโค้งคำนับให้กับยวิ๋นฉางคงเช่นกัน แต่หานเซิ่นเรียกเขาว่าผู้อาวุโสยวิ๋น

 

พี่น้องยวิ๋นกล่าวทักทายเขา พวกเขาใกล้ชิดกันมาเป็นเวลานานแล้ว ดังนั้นมันไม่มีความจำเป็นที่ต้องแสดงความเคารพอย่างเป็นทางการ

 

หลังจากที่หานเซิ่นเชิญพวกเขาทั้ง 3 มานั่งด้วยกัน เขาก็ให้ซีโร่นำชามาเสิร์ฟ ยวิ๋นฉางคงยกชาขึ้นจิบก่อนที่จะพูดขึ้นมา
“หลังจากที่น้ำเต้าศักดิ์สิทธิ์ถูกเด็ดออกมาแล้ว พวกมันก็จะไม่ปล่อยลมปราณศักดิ์สิทธิ์ออกมา แต่เจ้านำพวกมันไปหลอมเป็นสมบัติระดับเทพเจ้าได้ พวกเราควรจะทำการทดสอบและเรียนรู้ว่าธาตุของพวกมันแต่ละลูกคือธาตุอะไร หลังจากนั้นพวกเราก็จะให้แผนกของสกายแชนซ์ช่วยทำสมบัติให้กับพวกเจ้า แต่การจะทำสมบัติระดับเทพเจ้าขึ้นมาจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบอย่างอื่นอีก และพวกมันก็อาจจะเป็นอะไรที่มีราคาสูง แถมโอกาสสำเร็จก็ไม่ถูกรับประกันเช่นกัน ข้าเดิมพันว่ามันมีโอกาสห้าสิบห้าสิบ”

 

“วัตถุดิบแบบไหนกันที่จำเป็นต้องมี?” หานเหยียนถาม

 

“พวกเราจะไม่รู้จนกระทั่งพวกเราทำการทดสอบพวกมัน หลังจากที่พวกเราตัดสินใจได้แล้วว่าสมบัติแบบไหนที่พวกเจ้าต้องการ พวกเราถึงจะระบุรายการของวัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้ได้”
ยวิ๋นฉางคงยิ้มและพูดต่อ “แต่ศิษย์น้องไม่ต้องกังวลไป ข้าจะเป็นคนจ่ายค่าวัตถุดิบเพื่อตอบแทนที่ศิษย์น้องยินดีเข้าร่วมกับพวกเรา ได้โปรดอย่าปฏิเสธความหวังดีของข้า”

 

เมื่อเห็นถึงความแน่วแน่ของยวิ๋นฉางคง หานเหยียนก็ไม่ปฏิเสธข้อเสนอของเขา

 

หลังจากที่พูดคุยกันต่ออีกสักพัก ยวิ๋นฉางคงก็หันความสนใจมาที่หานเซิ่น
“หานเซิ่น เจ้าเคยไปเมืองที่ห้าของสถานหยกขาวแล้วหรือยัง?

 

“ยังไม่เคย” หานเซิ่นส่ายหัว “ข้าอยากจะไป แต่ยามรักษาการณ์บอกว่าข้าจำเป็นต้องมีบัตรผ่านพิเศษ”

 

ยวิ๋นฉางคงนำแผ่นกระดาษที่มีสัญลักษณ์สีดำเขียนเอาไว้ออกมา
“ทั้งห้าเมืองของสถานหยกขาวนั้นแตกต่างไปจากทั้งสิบสองหอคอย มันเป็นสถานที่ที่อันตรายมากๆ และแต่ละเมืองก็จะแตกต่างกันออกไป แต่จนกว่าเจ้าจะหายดี เจ้าไม่ควรไปที่อีกสี่เมือง นี่คือบัตรผ่านสู่เมืองราชาดำ ถ้าเจ้ามีสิ่งนี้อยู่ เจ้าจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปที่เมืองราชาดำได้ บางทีมันอาจจะช่วยเหลือเจ้าได้ แต่จำไว้ให้ดีว่า เจ้าจะสูญเสียบัตรผ่านนี้ไปไม่ได้ถ้าเจ้าเข้าไปที่นั่น และเจ้าอย่าได้ฆ่าอะไรภายในนั้น ไม่อย่างนั้นเจ้าจะตกลงไปในน้ำร้อน”

 

“มีอะไรอยู่ในเมืองราชาดำ?” หานเซิ่นถามด้วยความอยากรู้

 

“ข้าบอกเจ้าไม่ได้ เจ้าจะได้รู้เมื่อเจ้าไปที่นั่น” ยวิ๋นฉางคงพูด

 

“บัตรผ่านนี้ให้คนเข้าได้แค่คนเดียวอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม

 

ยวิ๋นฉางคงพยักหน้าและพูด “ในอนาคตบัตรผ่านของศิษย์น้องจะถูกมอบให้โดยผู้นำปราสาทนภา ตอนนี้ระดับของนางยังคงต่ำเกินไป ดังนั้นมันจึงไม่มีประโยชน์อะไรที่นางจะเข้าไปในนั้น นางต้องไปถึงระดับราชันซะก่อน หลังจากนั้นนางก็จะได้รับบัตรผ่านเช่นกัน”

 

ถึงแม้ตอนนี้หานเหยียนจะเป็นศิษย์น้องของยวิ๋นฉางคง แต่เธอก็ยังคงเป็นเหมือนกับศิษย์คนหนึ่งของเขา ยวิ๋นฉางคงอธิบายสิ่งต่างๆให้หานเหยียนฟังเหมือนกับที่อาจารย์ทั่วไปทำ

 

ด้วยการที่ยวิ๋นฉางคงเป็นเพียงแค่ศิษย์พี่ของหานเหยียน บรรยากาศจึงไม่ปกติ นั่นทำให้พี่น้องยวิ๋นดูเงียบๆไม่ค่อยพูดอะไร

 

ยวิ๋นฉางคงเข้าใจว่าทำไมพวกเธอถึงไม่ค่อยพูดอะไร ดังนั้นเมื่อเขาอธิบายทุกอย่างเสร็จแล้ว เขาก็จากไปและปล่อยให้คนอื่นคุยกันต่อ

 

เมื่อมีแค่คนหนุ่มสาวที่เหลืออยู่ บรรยากาศก็ดูเป็นกันเองมากขึ้น หานเซิ่นถามพี่น้องยวิ๋นเกี่ยวกับเมืองราชาดำเพิ่มเติม

 

“ท่านพ่อบอกว่าพลังของพวกเรายังอ่อนแอเกินไป ด้วยเหตุนั้นพวกเราจึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันมากนัก ข้าแค่เคยได้ยินมาว่าเมืองราชาดำนั้นปลอดภัยที่สุดในบรรดาทั้งห้าเมือง ตราบใดที่เจ้ามีบัตรผ่านติดตัว เจ้าก็จะไม่เป็นอันตรายอะไร” ยวิ๋นซู่อีหยุดคิดไปชั่วครู่ หลังจากนั้นเธอก็พูดต่อ
“ตำนานบอกว่าเมืองราชาดำมีสมบัติที่หายากอยู่มากมาย หลายคนที่เข้าไปในนั้นจะกลับออกมาพร้อมกับสมบัติล้ำค่า แต่พวกเขาไม่เคยอธิบายว่าได้พวกมันมายังไง”

 

พี่น้องยวิ๋นไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเมืองราชาดำมากนัก ซึ่งนั่นทำให้หานเซิ่นรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งขึ้น

 

วันต่อมา หานเซิ่นขี่นกกระเรียนไร้ขาไปที่สถานหยกขาว เขาต้องการที่จะไปเมืองราชาดำเพื่อดูว่ามันพิเศษยังไง

 

แน่นอนว่าเมื่อหานเซิ่นไปถึงที่นั่น เขาก็ถูกหยุดโดยศิษย์ของปราสาทนภาที่รักษาการณ์อยู่

 

“ต้องขออภัยอาจารย์หานด้วย แต่ถ้าไม่มีบัตรผ่านจากท่านผู้นำ ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเมืองราชาดำ” ยามรักษาการณ์เคยฟังบทเรียนจากหานเซิ่นนั้น ดังนั้นเขาจึงมีมารยาทมากๆ

 

หานเซิ่นนำบัตรผ่านออกมาและส่งให้ยามรักษาการณ์ดู

 

ศิษย์ของปราสาทนภาคนตรวจเช็คมันและปล่อยให้หานเซิ่นผ่านเข้าไปข้างใน แต่ก่อนที่หานเซิ่นจะเข้าไป ยามรักษาการณ์ก็เตือนเขาอีกครั้งว่าต้องพกมันติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา

 

หานเซิ่นกล่าวขอบคุณยามรักษาการณ์และเข้าไปในเมืองราชาดำ

 

จากภายนอกเมืองดูเหมือนโบราณสถานที่สร้างขึ้นจากหยกดำ มันดูเก่าแก่และลึกลับ

 

หลังจากที่เข้าไปภายในเมืองราชาดำ หานเซิ่นก็ต้องตกใจกับสิ่งที่ได้เห็น

 

เขาคิดว่าเมืองราชาดำจะเป็นสถานที่ที่ลึกลับและเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่เป็นอันตราย แต่ขณะที่หานเซิ่นเดินไปบนถนนหลักของเมือง เขาก็พบว่าเมืองมีประชากรอยู่เป็นจำนวนมาก มันมีพ่อค้าและชาวนาอยู่ทั้งสองข้างถนน แม้แต่ร้านอาหารที่ให้ผู้คนเข้าไปทานอาหารกันก็ยังมี

 

ถ้าหานเซิ่นไม่ได้ตรวจเช็คอย่างดีก่อนที่จะเข้ามา เขาก็คงจะสันนิษฐานไปว่ามาผิดที่ ที่นี่ไม่ควรถูกเรียกว่าเมืองราชาดำ มันเป็นเหมือนกับเมืองเล็กๆของดาวที่กำลังพัฒนามากกว่า

 

“พีนัท! วอลนัท! สาลี่! อินทผลัม!” พ่อค้าคนหนึ่งตะโกนเสียงดัง

 

หานเซิ่นเห็นชาวนาจูงวัวตัวหนึ่งอยู่ มันมีไก่ส่งเสียงร้องในกรงและสุนัขส่งเสียงใส่กันบนถนน หานเซิ่นรู้สึกแปลกๆขณะที่เดินไปบนถนนเส้นนั้น ในตอนที่เขายังเด็ก แม้แต่เมืองที่เขาอาศัยอยู่ก็ไม่ได้ล้าหลังขนาดนี้ นี่เป็นเมืองที่เขาอาจจะเห็นในภาพยนตร์ย้อนยุค

 

หานเซิ่นมองผู้คนรอบๆและสังเกตเห็นว่าพวกเขาดูเหมือนกับมนุษย์มากๆ

 

“นี่เป็นไปได้ยังไง? ทำไมมนุษย์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้?” หานเซิ่นพึมพำกับตัวเองด้วยความแปลกใจ

 

พวกเขาดูเหมือนกับมนุษย์ พวกเขาแตกต่างไปจากเผ่าเวรี่ไฮ เผ่านภาหรือเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิง พวกเขาไม่ได้มีรูปลักษณ์พิเศษที่เผ่าพันธุ์อื่นๆมี พวกเขาดูเหมือนกับมนุษย์ไม่มีผิด

 

‘นี่เรากำลังเห็นภาพหลอนอย่างนั้นหรอ? พวกเขาไม่มีทางเป็นมนุษย์ไปได้’ หานเซิ่นคิดกับตัวเอง

 

แต่หลังจากนั้นไม่นานหานเซิ่นก็รู้สึกตัวว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นภาพลวงตา สิ่งมีชีวิตรอบๆตัวเขาเห็นได้ชัดว่าเป็นมนุษย์ที่มีชีวิต

 

หานเซิ่นต้องการจะใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนเพื่อตรวจเช็ค แต่เขาพบว่าพลังทั้งหมดของเขาหายไป

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset