Super God Gene – ตอนที่ 2596

ตอนที่ 2596 แส้ไล่ดวงดาว

 

“ไปกันเถอะ” หานเซิ่นกลับเข้าไปในวาฬขาวและบอกให้เป่าเอ๋อรีบขับวาฬขาวจากไป

 

หานเซิ่นรู้สึกแย่มากๆ พลังงานของเขาถูกดูดไปจนหมด แม้แต่พลังของเสื้อคลุมวิญญาณราชานกยูงก็ถูกดูดไปจนไม่เหลือ ถ้าเขาไม่ได้ใช้ร่างกายเทพเจ้าสปิริตขั้นสุดยอดเพื่อแยกตัวเองมาจากโล่เมดูซ่าส์เกซล่ะก็ เขาและเสือคลุมวิญญาณราชานกยูงก็คงจะกลายเป็นผุยผง

 

‘มันน่ากลัวเกินไป’ หานเซิ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้น สิ่งที่เขาต้องจ่ายไปเพื่อใช้โล่เมดูซ่าส์เกซนั้นมากเกินกว่าที่เขาจะยอมรับได้

 

นอกจากนั้นดวงตาของผู้หญิงบนโล่เมดูซ่าส์เกซก็ลืมขึ้นมาเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น หานเซิ่นไม่อาจจะจิตนาการได้ว่ามันต้องใช้พลังมากขนาดไหนเพื่อเปิดดวงตาทั้ง 2 ข้างของเธออย่างเต็มที่?

 

จนกว่าจะกลายเป็นระดับเทพเจ้า หานเซิ่นไม่คิดจะใช้มันอีก เพราะมันอาจจะฆ่าเขาได้

 

โชคดีที่หลังจากนั้นมันก็ไม่มีใครมาตามล่าตัวเขาอีก นอกจากซีโน่เจเนอิคที่เจอระหว่างทางแล้ว มันก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนมายุ่งกับพวกเขา

 

มันไม่ใช่ว่าทางเอ็กซ์ตรีมคิงหรือเผ่าพันธุ์อื่นๆไม่รู้ว่าหานเซิ่นอยู่ที่ไหน พวกเขาแค่ไม่กล้ามา

 

เหมิงเลี่ยยังคงลอยอยู่ในอวกาศราวกับรูปปั้นน้ำแข็งสีม่วง ผู้คนที่ต้องการจะตามล่าตัวหานเซิ่นสังเกตเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น และพวกเขาก็ตัดสินใจว่าการตามล่าหานเซิ่นต่อไปนั้นเป็นอะไรที่ไม่คุ้มค่า เอ็กซ์ตรีมคิงจำเป็นต้องจ่ายด้วยราคาที่สูงเพื่อลบล้างผลของโล่เมดูซ่าส์เกซที่มีต่อเหมิงเลี่ย

 

หานเซิ่นสามารถใช้โล่เมดูซ่าส์เกซได้ ทุกเผ่าพันธุ์คิดว่านี่เป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อ มันเป็นอาวุธระดับเทพเจ้าขั้นทรูก็อต แม้แต่ยอดฝีมือระดับเทพเจ้าธรรมดาก็แตะต้องมันไม่ได้ หานเซิ่นเป็นเพียงแค่ระดับราชันเท่านั้น แต่เขากลับเปิดใช้งานพลังอันน่าสะพรึงกลัวของโล่ได้ นั่นทำให้ทุกเผ่าพันธุ์หวาดกลัวเขา

 

จนกว่าจะรู้ถึงขีดจำกัดการใช้โล่เมดูซ่าส์เกซของหานเซิ่น มันก็ไม่มีใครที่กล้าจะมายุ่งกับเขา

 

เพราะถ้าหานเซิ่นเปิดใช้พลังทั้งหมดของโล่เมดูซ่าส์เกซได้ มันก็ไม่มีใครที่จะเอาชนะเขาได้ นอกจากยอดฝีมือระดับเทพเจ้าขั้นทรูก็อต

 

ตอนนี้เมื่อไม่มีใครมาขวางการเดินทาง พวกหานเซิ่นก็เดินทางผ่านส่วนที่เหลือของระบบจักรวาลเคออสได้อย่างราบรื่น พวกเขาไปถึงปราสาทนภาโดยไม่ประสบกับอันตรายใดๆ

 

แต่สถานการณ์ของหานเซิ่นไม่ดีเท่าไหร่นัก โล่เมดูซ่าส์เกซนั้นดูดร่างกายของเขาจนแห้งเหือด หลังจากที่พักเป็นเวลาหนึ่งเดือน หานเซิ่นก็ยังไม่ฟื้นตัว

 

ความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขาลดลงไปอย่างมาก เขาขาอ่อนทุกครั้งที่เดิน มันคงจะใช้เวลาอีก 2-3 ปีกว่าที่เขาจะฟื้นตัวเต็มที่

 

โชคดีที่คนนอกไม่รู้เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา และตอนนี้พวกเขาก็มาถึงปราสาทเรียบร้อยแล้วเช่นกัน ดังนั้นมันไม่มีความจำเป็นต้องกังวลเรื่องความปลอดภัย ปราสาทนภาส่งผู้อาวุโสหลายคนออกมาต้อนรับหานเซิ่นและอี๋ซา พวกเขาไม่ได้แสดงความเคารพขนาดนั้นเพราะอี๋ซาและเผ่ารีเบท แต่พวกเขามาเพราะหานเซิ่นเป็นบุคคลที่สำคัญมากๆ

 

หานเซิ่นสามารถอวยพรให้คนๆหนึ่งกลายเป็นระดับเทพเจ้า และเขายังเป็นเจ้าของแส้เหล็กเทพเสน่หากับโล่เมดูซ่าส์เกซอีก ซึ่งนั่นทำให้หานเซิ่นมีค่าต่อพวกเขามากกว่ารีเบททั้งเผ่าพันธุ์ มันทำให้ปราสาทนภาปฏิบัติกับเขาอย่างจริงจัง

 

ถ้าพวกเขาได้รู้ว่าหานเซิ่นยังมีกระจกไนน์สปินเดสทินี่และอาวุธเผ่าพันธุ์ของกาน่าอย่างสถานล้างบาปแห่งสรวงสวรรค์อยู่อีก ใครจะรู้ว่าพวกเขาจะคิดยังไง

 

หานเซิ่นพักอยู่ในปราสาทนภา และปราสาทนภาก็ได้ส่งยอดฝีมือระดับเทพเจ้าหลายคนที่เชี่ยวชาญในการรักษามาช่วยหานเซิ่น แต่การรักษาของพวกเขาไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีนัก

 

หานเซิ่นไม่ใช่แค่ได้รับบาดเจ็บ เขาใช้พลังงานในยีนของตัวเองไปจนหมด ซึ่งการฟื้นตัวคงจะไม่ใช่เรื่องง่าย

 

หลังจากพักฟื้นอยู่หลายวัน อี๋ซาก็เข้ามาเยี่ยมและบอกกับเขาว่าหานเมิ่งเอ๋ออยู่ที่นั่นด้วย มันทำให้หานเซิ่นดีใจอย่างมาก

 

หานเซิ่นคิดว่าแนร์โรว์มูนอาจจะได้รับผลกระทบจากสิ่งที่เขาทำลงไป มันถือเป็นเรื่องดีที่หานเมิ่งเอ๋อและคนอื่นๆได้รับอนุญาตให้เข้ามาในปราสาทนภา

 

แต่หานเซิ่นยังคงไม่เห็นหานเมิ่งเอ๋อและคนอื่น อี๋ซายิ้มให้กับเขาและไม่ได้อธิบายอะไร เธอพาหานเซิ่นออกไปข้างนอกพร้อมกับเธอ

 

พวกเขาเดินทางออกจากซีโน่เจเนอิคสเปชของปราสาทนภาและตรงไปยังระดับจักรวาลหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งถูกครอบครองโดยปราสาทนภา ปราสาทนภาเป็นเจ้าของระบบจักรวาลหลายระบบ และนี่ก็เป็นเพียงแค่หนึ่งในดินแดนอันกว้างขวางของพวกเขา

 

ขณะที่หานเซิ่นบินไปกับอี๋ซา เขาก็สังเกตเห็นว่าบริเวณรอบๆไม่ได้เป็นอย่างที่เขาจำได้ ในบริเวณนี้มันเคยมีดวงดาวอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ตอนนี้มันว่างเปล่า มันไม่มีแม้แต่ดาวเคราะห์น้อยสักดวง

 

“มีการต่อสู้ครั้งใหญ่เกิดขึ้นที่นี่อย่างนั้นหรอ? นี่คนของเอ็กซ์ตรีมคิงบุกมาที่นี่ใช่ไหม?” หานเซิ่นถามอี๋ซาด้วยความสับสน

 

อี๋ซาหัวเราะ แต่ไม่ได้พูดอะไร เธอมองออกไปยังอวกาศข้างหน้า

 

หานเซิ่นมองตามสายตาเธอไป และที่นั่นเขาก็เห็นดวงดาวมากมาย แต่มันไม่ได้มีอะไรพิเศษ

 

แต่ไม่นานหลังจากนั้นหานเซิ่นก็ได้ยินเสียงที่เหมือนกับเสียงฟ้าร้องดังขึ้นมา

 

หานเซิ่นมองไปในทิศทางของเสียง หลังจากนั้นเขาก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ เขาไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เขากำลังมองไปที่แนร์โรว์มูน

 

ทุกดวงดาวของแนร์โรว์มูนกำลังเคลื่อนที่เข้ามายังบริเวณที่เขาและอี๋ซากำลังลอยตัวอยู่ ภาพของสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอะไรที่น่าตกใจ

 

ยอดฝีมือที่น่ากลัวของปราสาทนภาอยู่ด้านหลังดวงดาวเหล่านั้น เขามีแส้อยู่ในมือ และทุกครั้งที่เขาแกว่งแส้ เสียงที่เหมือนฟ้าร้องก็จะดังขึ้นมา

 

กลุ่มดวงดาวเป็นเหมือนกับแกะตัวอ้วนจำนวนมาก พวกมันค่อยๆถูกดันมาข้างหน้า แนร์โรว์มูนที่ใหญ่โตกำลังถูกแส้ไล่ฟาด

 

“นี่…นี่มันเกิดขึ้นได้จริงๆอย่างนั้นหรอ…” หานเซิ่นไม่รู้ว่าควรจะคิดยังไงกับสิ่งที่ได้เห็น เขาไม่เคยคาดฝันว่าเรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้

 

อี๋ซายิ้มและพูด “ถ้าข้าไม่ได้เตรียมตัว ข้าคงจะไปช่วยเจ้าโดยที่ทำให้เผ่ารีเบทตกอยู่ในความเสี่ยง นี่คืออาวุธระดับเทพเจ้าของปราสาทนภา มันมีชื่อว่าแส้ไล่ดวงดาว ข้าขอให้ผู้นำปราสาทนภาช่วยข้าเคลื่อนย้ายแนร์โรว์มูนมาที่นี่ นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเราเป็นพันธมิตรกับปราสาทนภา”

 

หานเซิ่นมองดูแนร์โรว์มูนถูกเคลื่อนย้ายมายังบริเวณที่ว่างเปล่าของอวกาศ เขาสันนิษฐานว่าดวงดาวที่เคยอยู่ในระดับจักรวาลนี้ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปที่อื่นเพื่อเปิดพื้นที่ให้กับแนร์โรว์มูน

 

หลังจากที่แนร์โรว์มูนถูกย้ายมาถึง อี๋ซาก็พาหานเซิ่นเข้าไปขอบคุณผู้อาวุโสของปราสาทนภาคนนั้น ผู้อาวุโสคนนั้นยิ้มและพูด
“นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรจะทำ ไม่มีความจำเป็นต้องขอบคุณ”

 

หลังจากที่ผู้อาวุโสจากไป หานเซิ่นก็รีบบินเข้าไปในแนร์โรว์มูนและตรงไปที่ดาวอุปราคา ที่นั่นหานเซิ่นพบหานเมิ่งเอ๋อ เขารู้สึกดีใจอย่างมาก

 

ทางรีเบทได้พูดคุยเกี่ยวกับข้อตกลงที่มาเข้าร่วมกับปราสาทนภาเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ส่วนของหานเซิ่นยังคงเป็นบางสิ่งที่ต้องเจรจากันอีก

 

เนื่องจากหานเซิ่นมีค่ามากกว่าทั้งเผ่ารีเบท อี๋ซาจึงเจรจาเพียงแค่ข้อตกลงสำหรับเผ่ารีเบทเท่านั้น เธอไม่ได้รวมหานเซิ่นเข้าไปในข้อตกลงนั้นด้วย

 

ปราสาทนภาได้ยื่นข้อเสนอให้หลายอย่าง แต่หานเซิ่นตัดสินใจจะเข้าร่วมกับปราสาทนภาในฐานะสมาชิกของรีเบท เขาไม่ได้เข้าร่วมกับปราสาทนภาในนามของตัวเอง

 

ด้วยการทำแบบนั้นทำให้เขาสูญเสียผลประโยชน์หลายอย่างที่ควรจะได้รับ แต่อี๋ซาได้เสี่ยงตัวเองและเผ่าพันธุ์รีเบทเพื่อช่วยชีวิตเขา เธอต้องเคลื่อนย้ายทั้งแนร์โรว์มูนมาที่นี่ และเธอก็ได้สร้างศัตรูกับเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิงในการทำแบบนั้น นั่นถือเป็นบุญคุณที่ใหญ่หลวง หานเซิ่นจึงไม่สามารถทอดทิ้งเผ่ารีเบทและไปเข้าร่วมกับปราสาทนภาตามลำพังได้

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset