ผู้หญิงคนนั้นยิ้มและพูดขึ้นมา “การมียีนขั้นสุดยอดนั้นหมายความว่าคนๆนั้นจะฆ่าเหล่าคนที่เรียกตัวเองว่าพระเจ้าได้”
“ทำไมพวกเจ้าถึงพยายามทำอะไรแบบนั้น?”
หานเซิ่นตกใจ เขารู้ว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นน่ากลัวขนาดไหน โชคดีที่พวกเขาไม่สามารถโจมตีสิ่งมีชีวิตของจักรวาลจีโนโดยตรงได้ พลังของพวกเขาเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตไหนๆในจักรวาลจีโน แม้แต่สิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าก็ไม่สามารถเทียบชั้นกับพวกเขาได้
ผู้หญิงคนนี้และผู้นำเซเคร็ดต้องการจะฆ่าเหล่าคนที่กล่าวอ้างตัวว่าเป็นพระเจ้า ซึ่งหานเซิ่นเองก็มีความปรารถนาเดียวกันกับพวกเขา แต่ในตอนนี้เขายังไม่แข็งแกร่งพอ หานเซิ่นไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะโค้นล้มสิ่งมีชีวิตที่กล่าวอ้างตัวว่าเป็นพระเจ้านี้ได้ยังไง
เพราะแบบนั้นหานเซิ่นจึงยังไม่มีแผนจะฆ่าสิ่งมีชีวิตที่กล่าวอ้างตัวว่าเป็นพระเจ้า ในตอนที่เขาเข้าไปในหอคอยแห่งโชคชะตาของเอ็กซ์ตรีมคิง ถ้าไม่ใช่เพราะเกราะคริสตัลสีดำช่วยเหลือเขาล่ะก็ เขาก็ไม่มีทางเอาชนะสิ่งนั้นได้
หานเซิ่นไม่สามารถจินตนาการได้ว่ามันจะน่ากลัวขนาดไหน ถ้าเขาต้องเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่กล่าวอ้างตัวว่าพระเจ้านั่นจริงๆ
“ข้าไม่รู้ว่าทำไมผู้นำเซเคร็ดถึงได้ไล่ตามเป้าหมายนี้ แต่ข้ามีเหตุผลของตัวเอง”
มันเห็นได้ชัดว่าเธอไม่ต้องการจะบอกเหตุผลของตัวเองกับคนอื่น
“การมียีนขั้นสุดยอดจะทำให้คนๆหนึ่งฆ่าพระเจ้าเหล่านั้นได้อย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม
“ใช่ ตามการวิจัยของข้ามันจะทำให้คนๆหนึ่งฆ่าพระเจ้าได้” ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้าและพูดอย่างมั่นใจ
แต่หลังจากนั้นเธอก็ส่ายหัวและยิ้มแห้งๆออกมา “แต่การวิจัยของพวกเรายังคงล้มเหลว พวกเราค้นพบวิธีการที่จะเปลี่ยนร่างกายไปสู่ยีนขั้นสุดยอด แต่มันไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนในจักรวาลนี้ที่จะใช้วิธีการนั้นได้ มันเหมือนกับว่าพวกเราถือเทียบไขเล่มหนึ่งที่พวกเรารู้ว่าจะจุดมันได้ แต่พวกเราไม่มีไม้ขีดสักไม้ที่จะใช้ทำแบบนั้น พวกเรากำลังจะปัดเป่าความมืดออกไป แต่พวกเราทำไม่ได้ นั่นคือปัญหาที่พวกเราเผชิญ เรื่องราวของยีนดูเหมือนจะเป็นอุปสรรคที่เราก้าวข้ามไม่ได้ มันทำให้ความพยายามทั้งหมดของพวกเราดูเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์”
“เรื่องราวของยีนนั่นฝึกได้ยากขนาดนั้นเลยอย่างนั้นหรอ? นี่มันไม่มีใครในจักรวาลที่จะฝึกมันได้เลยหรือยังไง?” หานเซิ่นถามด้วยความสับสน เพราะยังไงซะเขาก็เรียนรู้เรื่องราวของยีนสำเร็จเรียบร้อยแล้ว
ผู้หญิงคนนั้นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “ปัญหานี้เป็นอะไรที่ซับซ้อนมากๆ และการอธิบายมันทั้งหมดก็เป็นอะไรที่ใช้เวลา ข้าจะใช้การอุปมาแทน ม้าตัวหนึ่งจำเป็นต้องกินพืชเพื่อเอาพลังงานไปใช้ชีวิตในแต่ละวัน ส่วนรถจำเป็นต้องใช้น้ำมันเพื่อทำงาน เจ้าจะมอบน้ำมันให้กับม้าหรือเจ้าจะมอบหญ้าให้กับรถยนต์ไม่ได้ คำอธิบายนี้อาจจะไม่ได้ตรงกับปัญหาซะทีเดียว แต่เจ้าคงจะเข้าใจว่าข้าพูดถึงอะไร เรื่องราวของยีนนั้นมีข้อจำกัดมากมาย และมันก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนในจักรวาลที่จะตอบสนองข้อจำกัดทุกอย่างของมันได้”
หานเซิ่นแกล้งทำเป็นว่าเข้าใจ แต่จริงๆแล้วเขาค่อนข้างสับสน เขาอยากจะถามอีกคำถามหนึ่ง แต่เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายสิ่งที่ไม่เข้าใจได้ยังไง
“เหล่าคนที่เรียกตัวเองว่าพระเจ้าเป็นใครกัน? ทำไมมีแค่คนที่มียีนขั้นสุดยอดเท่านั้นถึงจะฆ่าพวกเขาได้?” หานเซิ่นถาม
“คำถามนั่นเป็นอะไรที่ซับซ้อนเช่นกัน พูดง่ายๆก็คือพระเจ้าเหล่านั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่การมีอยู่ของพวกเขาแตกต่างออกไป มันเหมือนกับความแตกต่างระหว่างสิ่งมีชีวิตที่มีรูปธรรมและจิตวิญญาณ แต่ความจริงแล้วมันเป็นอะไรที่ซับซ้อนมากกว่านั้น โดยเพราะอย่างยิ่งเมื่อพยายามจะเข้าใจถึงวิธีการที่พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับจักรวาลของพวกเรา”
ผู้หญิงคนนั้นหยุดไปชั่วครู่ก่อนที่จะพูดต่อ “เจ้าถามว่าทำไมคนที่มียีนขั้นสุดยอดถึงฆ่าเหล่าคนที่กล่าวอ้างตัวว่าเป็นพระเจ้าได้อย่างนั้นใช่ไหม? ทั้งหมดมันเริ่มต้นจากการทดลองของผู้นำเซเคร็ด”
“การทดลองอะไร? “หานเซิ่นถาม
ผู้หญิงคนนั้นไม่ตอบหานเซิ่น เธอยืนขึ้นและพูด “โอเค ตอนนี้สวนของข้าสะอาดเหมือนเดิมแล้ว เจ้าอย่าได้ทำให้ที่นี่สกปรกอีกเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นล่ะก็ข้าจะเปลี่ยนเจ้าให้กลายเป็นหมู”
หานเซิ่นยังคงลอยตัวอยู่ในอากาศและไม่กล้าจะสัมผัสกับพื้น เขากลัวว่าเธอจะทำแบบนั้นจริงๆ ซึ่งเมื่อคำถึงถึงพลังของผู้หญิงคนนี้แล้ว เธอก็คงจะมีวิชาในการเปลี่ยนแปลงยีนที่เหนือกว่าเบิร์นนิ่งแลมป์อัลฟ่าอย่างแน่นอน
“เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลยว่าผู้นำเซเคร็ดทำการทดลองแบบไหน?” หานเซิ่นพูดกับเธอขณะที่ยังคงลอยตัวอยู่ในอากาศ
ผู้หญิงคนนั้นหันกลับมามองหานเซิ่นและพูด “ทำไมข้าถึงต้องบอกเจ้าด้วย?”
หานเซิ่นไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปยังไงดี เธอไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับเขา และเธอก็ไม่ได้ติดหนี้อะไรเขาเช่นกัน มันไม่มีเหตุผลอะไรที่เธอจะต้องตอบคำถามของเขา
ปัง!
ขณะที่หานเซิ่นพยายามครุ่นคิด ผู้หญิงคนนั้นก็กลับเข้าไปในบ้านและปิดประตูเสียงดัง
‘เราควรจะบอกผู้หญิงคนนี้ไปว่าเราฝึกเรื่องราวของยีนดีไหมนะ? ถ้าเราบอกกับเธอ เราอาจจะได้รู้ความลับจากเธอมากขึ้น แต่มันก็มีโอกาสที่เธอจะจับตัวเราและใช้เราเป็นเหมือนกับหนูทดลอง นั่นเป็นอะไรที่เลวร้าย’ หานเซิ่นตัดสินใจไม่ได้
ผู้หญิงคนนั้นห้ามหานเซิ่นไม่ให้สัมผัสข้าวของของเธอ หานเซิ่นไม่ต้องการทำให้เธอโกรธ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงบินข้ามรั้วออกไปสู่พื้นด้านนอก เขานั่งลงตรงนั้นและมองไปยังเมฆสีเหลือง เขานำรูบิคว่านเจียออกมาและส่งวิดีโอไปให้กับผู้อาวุโสแยกสมบัติ
เมื่อผู้อาวุโสแยกสมบัตินำวิดีโอที่หานเซิ่นส่งให้ไปถ่ายทอด มันก็ดึงความสนใจของทุกเผ่าพันธ์
เมฆสีเหลืองอ่อนกลายเป็นจุดสนใจของเหล่ายอดฝีมือ และเมื่อวิดีโอใหม่นี้ถูกปล่อยออกมา หลายๆฝ่ายก็ยืนยันถึงตำแหน่งของหานเซิ่นได้จากการเปลี่ยนแปลงของก้อนเมฆ
แต่เนื่องจากทุกคนคาดการณ์ว่าเดม่อนสปิริตยังคงอยู่บริเวณใกล้เคียง มันจึงไม่มีใครกล้าเดินทางเข้ามา
แต่ทางเอ็กซ์ตรีมคิงไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น เป่าฉินถอยกลับไปหลังจากที่เขาได้รับบาดเจ็บ แต่ทางเอ็กซ์ตรีมคิงก็ได้ส่งยอดฝีมือระดับเทพเจ้ามาเพิ่มเพื่อล่าตัวหานเซิ่นในระบบเทียนเซีย
หานเซิ่นนั่งอยู่บนเกาะหลายชั่วโมง ขณะที่พยายามตัดสินใจว่าควรจะบอกผู้หญิงคนนั้นว่าเขาฝึกเรื่องราวของยีนดีไหม
แต่ทันใดนั้นทะเลเมฆก็เริ่มสั่นสะเทือน มังกรเมฆหลายตัวคำรามและลากรถม้าปีศาจทะเลเข้ามาทางเกาะ
“เดม่อนสปิริตกลับมาที่นี่!” หานเซิ่นตกใจ เขาตัดสินใจว่าจะรีบหนีไปจากที่นั่น
ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ฆ่าเขา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเดม่อนสปิริตจะไว้ชีวิตเขา
“เข้ามาข้างใน” ผู้หญิงคนนั้นพูด เมื่อหานเซิ่นเงยหน้าขึ้นไป เขาก็เห็นเธอยื่นหัวออกมาจากหน้าต่าง
หานเซิ่นตอบเธอด้วยการวิ่งเข้าไปในสวน
“เท้า” ผู้หญิงคนนั้นขมวดคิ้ว
หานเซิ่นรีบกระโดดขึ้นบนอากาศ เขาบินผ่านสวนและลอยตัวเข้าไปในบ้านโดยระมัดระวังไม่ให้ตัวเองสัมผัสกับอะไรทั้งนั้น เขาลอยตัวอยู่กลางบ้านเพื่อให้ตัวเองอยู่ไกลจากข้าวของทุกอย่างในบ้าน
“อย่าพูดหรือทำเสียงอะไร” ผู้หญิงคนนั้นพูดกับเขา
หานเซิ่นพยักหน้าและไม่ได้พูดไปมากกว่านั้น
“เด็กดี” ผู้หญิงคนนั้นยิ้มอย่างพอใจกับความว่าง่ายของหานเซิ่น
เหมือนกับครั้งก่อนที่หานเซิ่นเคยเห็น เดม่อนสปิริตมายืนอยู่นอกรั้วบ้านและมองขึ้นไปที่หน้าต่าง ผู้หญิงคนนั้นเมินเฉยต่อเขาเป็นเวลากว่าครึ่งวัน และเธอก็อารมณ์เสียขึ้นเรื่อยๆทุกวินาทีที่ผ่านไป ในที่สุดแล้วเธอก็อดไม่ได้ที่จะเปิดหน้าต่างออกไปตะโกนใส่เขา
เมื่อผู้หญิงคนนั้นเบื่อจะตะโกนและเงียบไป เดม่อนสปิริตก็เดินทางกลับ มันเหมือนกับว่าเขามาที่นี่เพื่อให้ผู้หญิงคนนี้ตะโกนใส่เขา หานเซิ่นรู้สึกสงสัยว่าผู้หญิงคนนี้กับเดม่อนสปิริตมีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่ แต่เขารู้ดีว่าไม่ควรจะถามมัน เขาสามารถมองเห็นความโกรธและความดูถูกที่ยังคงฝังลึกอยู่บนใบหน้าของเธอ
“เจ้าอยากรู้ใช่ไหมว่าเขาเป็นใคร?” ผู้หญิงคนนั้นถาม เธอหันกลับมาและจ้องมองหานเซิ่นด้วยดวงตาที่ดูเอาจริงเอาจัง
“ไม่เลย” หานเซิ่นรีบส่ายหัวโดยไม่คิด เขารู้สึกกลัวเมื่อเธอถามเขาแบบนั้น
ผู้หญิงคนนั้นแปลกใจ แต่เธอก็หัวเราะออกมา เธอหลี่ตาลงเล็กน้อยขณะที่ยังคงจ้องมองมาที่หานเซิ่น
“เจ้าอยากจะรู้ว่าผู้นำเซเคร็ดทำการทดลองอะไรไม่ใช่หรอ?”