“ท่านจะบอกว่าข้าควรใช้รูบิคว่านเจียเพื่อปล่อยข้อมูลตำแหน่งที่อยู่ของตัวเองออกไปอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นเข้าใจในทันทีว่าผู้อาวุโสแยกสมบัติกำลังจะบอกอะไร
ผู้อาวุโสแยกสมบัติพยักหน้าและพูด “ใช่ ทางเอ็กซ์ตรีมคิงตามล่าตัวเจ้า ไม่ใช่พวกพ้องของเจ้า ถ้าเจ้าปล่อยให้พวกเขารู้ถึงที่อยู่ของเจ้า พวกเขาก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องทำการค้นหาในวงกว้าง ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อชิงอวี่และคนอื่นๆ”
“ข้าจะลองคิดดู” หานเซิ่นปิดรูบิคว่านเจีย
การใช้รูบิคว่านเจียในตอนนี้ไปมีประโยชน์อะไร เขาอยู่ภายในดวงตาของเดม่อนสปิริต ถ้าเขาเริ่มถ่ายวิดีโอในตอนนี้ ผู้คนก็จะเห็นแค่ภาพในรถม้าหินเท่านั้น นั่นไม่เป็นประโยชน์ต่อใครคนไหน
หานเซิ่นจำเป็นต้องรอคอยจังหวะ เพราะเมื่อเขาถ่ายวิดีโอ ทางเอ็กซ์ตรีมจะสามารถบอกได้ในทันทีว่าเขาอยู่ที่ไหน แบบนั้นถึงเป็นอะไรที่คุ้มค่าที่จะเปิดใช้งานรูบิคว่านเจีย
‘หวังว่าเดม่อนสปิริตจะออกไปจากรถม้าปีศาจทะเลในเร็วๆนี้ ถ้าเขาอยู่ในนี้เป็นเวลาหลายร้อยปี นั่นจะเป็นอะไรที่แย่มากๆ’ หานเซิ่นคิด
โชคดีที่ความกังวลของหานเซิ่นไม่เป็นความจริงขึ้นมา เพราะหลังจากผ่านไปครึ่งวัน รถม้าปีศาจทะเลก็มาหยุดอยู่ในที่แห่งหนึ่ง
ในที่สุดเดม่อนสปิริตก็หันสายตาออกจากผนังของรถม้า เขาดันประตูให้เปิดและออกไปข้างนอก
“ในที่สุดเขาก็ออกไปข้างนอก!” หานเซิ่นรู้สึกดีใจอย่างมาก แต่ในตอนที่เขาเห็นสิ่งที่อยู่ข้างนอกรถม้า เขาก็แข็งทื่อไป
ก่อนที่จะเข้ามาในระบบเทียนเซีย หานเซิ่นได้ทำการค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้อย่างละเอียด เขาได้รู้ว่าภายในระบบเทียนเซียนั้นเต็มไปด้วยเมฆหมอกทุกหนทุกแห่งและไม่มีดวงดาวดวงไหนอยู่ภายในระบบเทียนเซีย
แต่เมื่อเดม่อนสปิริตออกไปจากรถม้า หานเซิ่นก็ได้เห็นเกาะขนาดใหญ่ที่ลอยตัวอยู่ในหมู่เมฆ หมู่เมฆที่ล้อมห้อมพวกเขาอยู่ในตอนนี้เป็นสีขาวบริสุทธิ์ ซึ่งแตกต่างไปจากเมฆสีฟ้าที่หานเซิ่นเคยเห็นก่อนหน้านี้ เมฆสีขาวที่นุ่มนิ่มพวกนี้ดูเหมือนกับเมฆที่เห็นได้บนท้องฟ้าทั่วๆไป
เดม่อนสปิริตก้าวลงไปเหยียบพื้นหญ้าของเกาะ หญ้าที่เขียวสดชื่นนั้นกลายเป็นฝุ่นควันในทันทีที่เดม่อนสปิริตสัมผัสกับพวกมัน ฝุ่นควันลอยขึ้นและหมุนวนรอบเท้าของเดม่อนสปิริตราวกับเถ้าถ่านที่เกิดจากการเผาศพ
ในตอนที่เขาต่อสู้ เดม่อนสปิริตนั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนกับว่าเขาเทเลพอร์ต แต่ในที่แห่งนี้เขาเดินไปอย่างเชื่องช้าเหมือนกับที่คนปกติทำ
ภูเขานั้นไม่ได้สูงอะไรมาก ยอดของมันสูงแค่ราวๆ 400 เมตรเท่านั้น หานเซิ่นสามารถกระโดดข้ามภูเขาเล็กแบบนั้นได้สบาย ด้วยเหตุนั้นเดม่อนสปิริตก็คงจะทำได้เหมือนกัน
แต่เดม่อนสปิริตกลับค่อยๆเดินขึ้นภูเขาไปอย่างช้าๆแทน
“นี่เขากำลังทำอะไร?” หานเซิ่นรู้สึกสงสัย
ถึงแม้เขาต้องการจะหนีไป แต่มันไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนที่เข้ามาอยู่ในสานตาของเดม่อนสปิริตเลย เกาะแห่งนี้ปกคลุมไปด้วยหญ้าและดอกไม้ประหลาดเพียงเท่านั้น มันไม่มีสิ่งมีชีวิตอะไรให้เห็นเลย
เดม่อนสปิริตทิ้งรถม้าปีศาจทะเลเอาไว้ด้านหลังและไม่แม้แต่จะเหลียวกลับไปมองเหล่ามังกรเมฆ เพราะอย่างนั้นหานเซิ่นจึงไม่สามารถกระโดดเข้าไปในดวงตาของหนึ่งในมังกรเมฆได้
เนื่องจากหานเซิ่นไม่สามารถจะหนีไปได้ ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาไปกับการพยายามจะคาดเดาสิ่งที่เดม่อนสปิริตจะทำบนยอดเขา แต่เขามีข้อมูลน้อยเกินกว่าที่จะสันนิษฐานอะไรได้
เมื่อเดม่อนสปิริตไปถึงยอดภูเขา หานเซิ่นก็รู้สึกตัวว่ายอดภูเขานั้นแบนเรียบ มันมีขนาดพอๆกับสนามบาสและมันก็มีสิ่งก่อสร้างตั้งอยู่ตรงจุดศูนย์กลาง สิ่งก่อสร้างนั้นมี 2 ชั้นและดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นมาด้วยไม้งามหลายชนิด
สิ่งก่อสร้างนั้นห้อมล้อมไปด้วยสวนที่มีรั้วกั้นที่หรูหรา ภายในสวนเต็มไปด้วยพืชสีเขียว แต่พวกมันไม่ได้งดงามหรือถูกดูแลเป็นอย่างดี พวกมันไม่น่าดูเลยสักนิดเดียวและมีเพียงแค่รั้วที่ห้อมล้อมพวกมันเท่านั้นที่ยังดูดี
ประตูไม้บานหนึ่งเป็นทางเข้าไปภายในรั้วกั้น ขณะที่เดม่อนสปิริตเดินเข้าไปหาประตู หานเซิ่นก็เห็นไม้กระดานปักอยู่ที่พื้น มีคำสามคำเขียนเอาไว้บนไม้กระดานนั้น “บ้านไร้รัก”
“บ้านไร้รัก? นั่นหมายความว่าอะไร?” หานเซิ่นสงสัย
เดม่อนสปิริตเดินไปหยุดอยู่ด้านนอกรั้วของสวน ประตูไม้ไม่ได้ถูกล็อคเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่คิดจะเข้าไปข้างใน เขายืนอยู่ด้านนอกรั้วและมองไปยังหน้าต่างบนชั้นที่ 2
หานเซิ่นคิดว่าเดม่อนสปิริตจะทำบางสิ่งที่น่าสนใจ แต่เขากลับยืนอยู่ตรงนั้นเป็นชั่วโมงและไม่เคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียว
“เพอเพิลไฟต์ เจ้ามาทำอะไรที่นี่? ข้าไม่ต้องการเห็นหน้าเจ้า!” เสียงของผู้หญิงดังลงมาจากชั้นที่ 2 โทนเสียงของเธอฟังดูแข็งกร้าวและห่างเหิน
เดม่อนสปิริตยังคงยืนอยู่ที่เดิมและไม่ขยับไปไหน ดวงตาของเขายังคงจับจ้องไปที่หน้าต่างบนชั้น 2
ผู้หญิงที่อยู่ภายในบ้านไม้ดันหน้าต่างออกมาและมองมาที่เดม่อนสปิริตด้วยความโกรธ เธอกัดฟันและพูด
“ไสหัวไปซะ! ข้าไม่ต้องการเห็นหน้าเจ้าอีก ทำให้คำอธิษฐานของข้าเป็นจริงหรือไม่อย่างนั้นก็ฆ่าข้าซะ”
เมื่อหานเซิ่นได้ยินชื่อเพอเพิลไฟต์ เขาก็คิดว่ามันฟังดูคุ้นๆ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพัก ดวงตาและปากของเขาก็เบิกกว้างด้วยตกกใจ
“เขาคือหนึ่งในสิบขุนพลของเซเคร็ด ขุนพลเพอเพิลไฟต์ผู้ไร้เทียมทานอย่างนั้นหรือเนี่ย?”
หลังจากที่จบการต่อสู้กับผีเสื้อเนตรม่วง หานเซิ่นก็ได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับเซเคร็ดเท่าที่จะทำได้ เขาค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับขุนพลทั้งสิบอย่างละเอียด แต่ที่สุดแล้วเขาก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขามากนัก แต่จากข้อมูลอันน้อยนิดที่เขาเก็บรวบรวมมาได้ ขุนพลเพอเพิลไฟต์เป็นคนที่สร้างความประทับใจกับเขามากที่สุด
เขาไร้เทียมทานแม้ในตอนที่ต่อสู้ตามลำพัง ซึ่งทำให้เขาได้รับสมญานาม‘Invincible Solo’ ชื่อนั้นบอกถึงความน่าสะพรึงกลัวของขุนพลเพอเพิลไฟต์เป็นอย่างดี
มันมีตำนานที่บอกเอาไว้ว่าก่อนที่เพอเพิลไฟต์จะกลายเป็นขุนพลนั้น เขาเป็นศัตรูคนหนึ่งของผู้นำเซเคร็ด ในตอนนั้นผู้นำเซเคร็ดเองก็ฝ่ายแพ้ให้กับเพอเพิลไฟต์ในการต่อสู้ตัวต่อตัว นั่นเป็นเหตุผลที่เพอเพิลไฟต์ได้รับสมญานามInvincible Solo
หลังจากนั้นผู้นำเซเคร็ดก็ใช้กลลวงบางอย่างเพื่อเอาชนะเพอเพิลไฟต์และครอบครองความเป็นเจ้าของตัวของเขา หลังจากนั้นเพอเพิลไฟต์ก็กลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสิบขุนพลของเซเคร็ด
“เดม่อนสปิริตนี้คือขุนพลเพอเพิลไฟต์จริงๆอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นพบว่ามันยากที่จะเชื่อได้
จากขุนพลทั้งสิบ ขุนพลโกสต์โบนเก่งกาจที่สุดในเรื่องการนำทัพ ส่วนผีเสื้อเนตรม่วงเป็นหัวหน้าฝ่ายเก็บรวบรวมข้อมูล แต่ในการต่อสู้ตามลำพังนั้น เพอเพิลไฟต์คือคนที่แข็งแกร่งที่สุด
ในการต่อสู้แบบตัวต่อตัว ผู้นำของเผ่าพันธุ์สูงสุดทั้ง 3 เผ่าของจักรวาลก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้
เดม่อนสปิริตเห็นผู้หญิงคนนั้นมองลงมาที่เขา แต่เขาไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่มองกลับไปที่เธอ
หานเซิ่นรู้สึกลังเลขึ้นมา เขาไม่รู้ว่าควรจะอยู่ในดวงตาของเดม่อนสปิริตต่อหรือกระโดดเข้าไปในดวงตาของผู้หญิงคนนั้นดี
ผู้หญิงคนนั้นยังคงตะโกนคำหยาบคายใส่เพอเพิลไฟต์ แต่เดม่อนสปิริตเพียงแค่มองไปที่เธออย่างไม่เคลื่อนไหว มันเกือบจะเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ถูกต่อว่าเลยสักนิดเดียว นั่นทำให้หานเซิ่นสงสัยว่าเดม่อนสปิริตคนนี้ใช่เพอเพิลไฟต์ที่ผู้หญิงคนนั้นพูดถึงแน่หรือเปล่า
เมื่อผู้หญิงคนนั้นตะโกนจนเบื่อแล้ว เดม่อนสปิริตก็นำของสิ่งหนึ่งออกมา จู่ๆมันก็มาปรากฏขึ้นในมือของเดม่อนสปิริต และเขาก็นำมันไปวางเอาไว้หน้าประตู
เมื่อหานเซิ่นเห็นสิ่งที่เดม่อนสปิริตวางลงบนพื้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย มันคือหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนั้นทำขึ้นจากก้อนหินและมันมีตัวอักษรเขียนเอาไว้บนปกว่า “ช็อคกิ้งเวิลด์เรคคอร์ดของเอ็กซ์ตรีมคิง”
‘โว้ว! นั่นมันวิชาจีโนเฉพาะของเอ็กซ์ตรีมคิงหนิ เดม่อนสปิริตไปได้มันมาจากไหนกัน? ใช่แล้วเขาคงจะต้องได้มันมาจากเป่าฉิน เป่าฉินคงจะต้องผกมันเอาไว้กับตัวขณะที่เขาต่อสู้กับเดม่อนสปิริต’ หานเซิ่นคิด
เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นช็อคกิ้งเวิลด์เรคคอร์ดของเอ็กซ์ตรีมคิง เธอก็ดูคุ้มคลั่งยิ่งกว่าเดิม
“เพอเพิลไฟต์ มันมีประโยชน์อะไรที่เจ้าจะนำวิชาจีโนทั้งโลกนี้มาให้กับข้า? พวกมันไร้ความหมายสำหรับข้า ปล่อยข้าไปหรือไม่อย่างนั้นก็ฆ่าข้าซะ!”
“ท่านจะบอกว่าข้าควรใช้รูบิคว่านเจียเพื่อปล่อยข้อมูลตำแหน่งที่อยู่ของตัวเองออกไปอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นเข้าใจในทันทีว่าผู้อาวุโสแยกสมบัติกำลังจะบอกอะไร
ผู้อาวุโสแยกสมบัติพยักหน้าและพูด “ใช่ ทางเอ็กซ์ตรีมคิงตามล่าตัวเจ้า ไม่ใช่พวกพ้องของเจ้า ถ้าเจ้าปล่อยให้พวกเขารู้ถึงที่อยู่ของเจ้า พวกเขาก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องทำการค้นหาในวงกว้าง ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อชิงอวี่และคนอื่นๆ”
“ข้าจะลองคิดดู” หานเซิ่นปิดรูบิคว่านเจีย
การใช้รูบิคว่านเจียในตอนนี้ไปมีประโยชน์อะไร เขาอยู่ภายในดวงตาของเดม่อนสปิริต ถ้าเขาเริ่มถ่ายวิดีโอในตอนนี้ ผู้คนก็จะเห็นแค่ภาพในรถม้าหินเท่านั้น นั่นไม่เป็นประโยชน์ต่อใครคนไหน
หานเซิ่นจำเป็นต้องรอคอยจังหวะ เพราะเมื่อเขาถ่ายวิดีโอ ทางเอ็กซ์ตรีมจะสามารถบอกได้ในทันทีว่าเขาอยู่ที่ไหน แบบนั้นถึงเป็นอะไรที่คุ้มค่าที่จะเปิดใช้งานรูบิคว่านเจีย
‘หวังว่าเดม่อนสปิริตจะออกไปจากรถม้าปีศาจทะเลในเร็วๆนี้ ถ้าเขาอยู่ในนี้เป็นเวลาหลายร้อยปี นั่นจะเป็นอะไรที่แย่มากๆ’ หานเซิ่นคิด
โชคดีที่ความกังวลของหานเซิ่นไม่เป็นความจริงขึ้นมา เพราะหลังจากผ่านไปครึ่งวัน รถม้าปีศาจทะเลก็มาหยุดอยู่ในที่แห่งหนึ่ง
ในที่สุดเดม่อนสปิริตก็หันสายตาออกจากผนังของรถม้า เขาดันประตูให้เปิดและออกไปข้างนอก
“ในที่สุดเขาก็ออกไปข้างนอก!” หานเซิ่นรู้สึกดีใจอย่างมาก แต่ในตอนที่เขาเห็นสิ่งที่อยู่ข้างนอกรถม้า เขาก็แข็งทื่อไป
ก่อนที่จะเข้ามาในระบบเทียนเซีย หานเซิ่นได้ทำการค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้อย่างละเอียด เขาได้รู้ว่าภายในระบบเทียนเซียนั้นเต็มไปด้วยเมฆหมอกทุกหนทุกแห่งและไม่มีดวงดาวดวงไหนอยู่ภายในระบบเทียนเซีย
แต่เมื่อเดม่อนสปิริตออกไปจากรถม้า หานเซิ่นก็ได้เห็นเกาะขนาดใหญ่ที่ลอยตัวอยู่ในหมู่เมฆ หมู่เมฆที่ล้อมห้อมพวกเขาอยู่ในตอนนี้เป็นสีขาวบริสุทธิ์ ซึ่งแตกต่างไปจากเมฆสีฟ้าที่หานเซิ่นเคยเห็นก่อนหน้านี้ เมฆสีขาวที่นุ่มนิ่มพวกนี้ดูเหมือนกับเมฆที่เห็นได้บนท้องฟ้าทั่วๆไป
เดม่อนสปิริตก้าวลงไปเหยียบพื้นหญ้าของเกาะ หญ้าที่เขียวสดชื่นนั้นกลายเป็นฝุ่นควันในทันทีที่เดม่อนสปิริตสัมผัสกับพวกมัน ฝุ่นควันลอยขึ้นและหมุนวนรอบเท้าของเดม่อนสปิริตราวกับเถ้าถ่านที่เกิดจากการเผาศพ
ในตอนที่เขาต่อสู้ เดม่อนสปิริตนั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนกับว่าเขาเทเลพอร์ต แต่ในที่แห่งนี้เขาเดินไปอย่างเชื่องช้าเหมือนกับที่คนปกติทำ
ภูเขานั้นไม่ได้สูงอะไรมาก ยอดของมันสูงแค่ราวๆ 400 เมตรเท่านั้น หานเซิ่นสามารถกระโดดข้ามภูเขาเล็กแบบนั้นได้สบาย ด้วยเหตุนั้นเดม่อนสปิริตก็คงจะทำได้เหมือนกัน
แต่เดม่อนสปิริตกลับค่อยๆเดินขึ้นภูเขาไปอย่างช้าๆแทน
“นี่เขากำลังทำอะไร?” หานเซิ่นรู้สึกสงสัย
ถึงแม้เขาต้องการจะหนีไป แต่มันไม่มีสิ่งมีชีวิตไหนที่เข้ามาอยู่ในสานตาของเดม่อนสปิริตเลย เกาะแห่งนี้ปกคลุมไปด้วยหญ้าและดอกไม้ประหลาดเพียงเท่านั้น มันไม่มีสิ่งมีชีวิตอะไรให้เห็นเลย
เดม่อนสปิริตทิ้งรถม้าปีศาจทะเลเอาไว้ด้านหลังและไม่แม้แต่จะเหลียวกลับไปมองเหล่ามังกรเมฆ เพราะอย่างนั้นหานเซิ่นจึงไม่สามารถกระโดดเข้าไปในดวงตาของหนึ่งในมังกรเมฆได้
เนื่องจากหานเซิ่นไม่สามารถจะหนีไปได้ ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาไปกับการพยายามจะคาดเดาสิ่งที่เดม่อนสปิริตจะทำบนยอดเขา แต่เขามีข้อมูลน้อยเกินกว่าที่จะสันนิษฐานอะไรได้
เมื่อเดม่อนสปิริตไปถึงยอดภูเขา หานเซิ่นก็รู้สึกตัวว่ายอดภูเขานั้นแบนเรียบ มันมีขนาดพอๆกับสนามบาสและมันก็มีสิ่งก่อสร้างตั้งอยู่ตรงจุดศูนย์กลาง สิ่งก่อสร้างนั้นมี 2 ชั้นและดูเหมือนจะถูกสร้างขึ้นมาด้วยไม้งามหลายชนิด
สิ่งก่อสร้างนั้นห้อมล้อมไปด้วยสวนที่มีรั้วกั้นที่หรูหรา ภายในสวนเต็มไปด้วยพืชสีเขียว แต่พวกมันไม่ได้งดงามหรือถูกดูแลเป็นอย่างดี พวกมันไม่น่าดูเลยสักนิดเดียวและมีเพียงแค่รั้วที่ห้อมล้อมพวกมันเท่านั้นที่ยังดูดี
ประตูไม้บานหนึ่งเป็นทางเข้าไปภายในรั้วกั้น ขณะที่เดม่อนสปิริตเดินเข้าไปหาประตู หานเซิ่นก็เห็นไม้กระดานปักอยู่ที่พื้น มีคำสามคำเขียนเอาไว้บนไม้กระดานนั้น “บ้านไร้รัก”
“บ้านไร้รัก? นั่นหมายความว่าอะไร?” หานเซิ่นสงสัย
เดม่อนสปิริตเดินไปหยุดอยู่ด้านนอกรั้วของสวน ประตูไม้ไม่ได้ถูกล็อคเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่คิดจะเข้าไปข้างใน เขายืนอยู่ด้านนอกรั้วและมองไปยังหน้าต่างบนชั้นที่ 2
หานเซิ่นคิดว่าเดม่อนสปิริตจะทำบางสิ่งที่น่าสนใจ แต่เขากลับยืนอยู่ตรงนั้นเป็นชั่วโมงและไม่เคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียว
“เพอเพิลไฟต์ เจ้ามาทำอะไรที่นี่? ข้าไม่ต้องการเห็นหน้าเจ้า!” เสียงของผู้หญิงดังลงมาจากชั้นที่ 2 โทนเสียงของเธอฟังดูแข็งกร้าวและห่างเหิน
เดม่อนสปิริตยังคงยืนอยู่ที่เดิมและไม่ขยับไปไหน ดวงตาของเขายังคงจับจ้องไปที่หน้าต่างบนชั้น 2
ผู้หญิงที่อยู่ภายในบ้านไม้ดันหน้าต่างออกมาและมองมาที่เดม่อนสปิริตด้วยความโกรธ เธอกัดฟันและพูด
“ไสหัวไปซะ! ข้าไม่ต้องการเห็นหน้าเจ้าอีก ทำให้คำอธิษฐานของข้าเป็นจริงหรือไม่อย่างนั้นก็ฆ่าข้าซะ”
เมื่อหานเซิ่นได้ยินชื่อเพอเพิลไฟต์ เขาก็คิดว่ามันฟังดูคุ้นๆ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพัก ดวงตาและปากของเขาก็เบิกกว้างด้วยตกกใจ
“เขาคือหนึ่งในสิบขุนพลของเซเคร็ด ขุนพลเพอเพิลไฟต์ผู้ไร้เทียมทานอย่างนั้นหรือเนี่ย?”
หลังจากที่จบการต่อสู้กับผีเสื้อเนตรม่วง หานเซิ่นก็ได้ทำการค้นคว้าเกี่ยวกับเซเคร็ดเท่าที่จะทำได้ เขาค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับขุนพลทั้งสิบอย่างละเอียด แต่ที่สุดแล้วเขาก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขามากนัก แต่จากข้อมูลอันน้อยนิดที่เขาเก็บรวบรวมมาได้ ขุนพลเพอเพิลไฟต์เป็นคนที่สร้างความประทับใจกับเขามากที่สุด
เขาไร้เทียมทานแม้ในตอนที่ต่อสู้ตามลำพัง ซึ่งทำให้เขาได้รับสมญานาม‘Invincible Solo’ ชื่อนั้นบอกถึงความน่าสะพรึงกลัวของขุนพลเพอเพิลไฟต์เป็นอย่างดี
มันมีตำนานที่บอกเอาไว้ว่าก่อนที่เพอเพิลไฟต์จะกลายเป็นขุนพลนั้น เขาเป็นศัตรูคนหนึ่งของผู้นำเซเคร็ด ในตอนนั้นผู้นำเซเคร็ดเองก็ฝ่ายแพ้ให้กับเพอเพิลไฟต์ในการต่อสู้ตัวต่อตัว นั่นเป็นเหตุผลที่เพอเพิลไฟต์ได้รับสมญานามInvincible Solo
หลังจากนั้นผู้นำเซเคร็ดก็ใช้กลลวงบางอย่างเพื่อเอาชนะเพอเพิลไฟต์และครอบครองความเป็นเจ้าของตัวของเขา หลังจากนั้นเพอเพิลไฟต์ก็กลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสิบขุนพลของเซเคร็ด
“เดม่อนสปิริตนี้คือขุนพลเพอเพิลไฟต์จริงๆอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นพบว่ามันยากที่จะเชื่อได้
จากขุนพลทั้งสิบ ขุนพลโกสต์โบนเก่งกาจที่สุดในเรื่องการนำทัพ ส่วนผีเสื้อเนตรม่วงเป็นหัวหน้าฝ่ายเก็บรวบรวมข้อมูล แต่ในการต่อสู้ตามลำพังนั้น เพอเพิลไฟต์คือคนที่แข็งแกร่งที่สุด
ในการต่อสู้แบบตัวต่อตัว ผู้นำของเผ่าพันธุ์สูงสุดทั้ง 3 เผ่าของจักรวาลก็ไม่สามารถเอาชนะเขาได้
เดม่อนสปิริตเห็นผู้หญิงคนนั้นมองลงมาที่เขา แต่เขาไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่มองกลับไปที่เธอ
หานเซิ่นรู้สึกลังเลขึ้นมา เขาไม่รู้ว่าควรจะอยู่ในดวงตาของเดม่อนสปิริตต่อหรือกระโดดเข้าไปในดวงตาของผู้หญิงคนนั้นดี
ผู้หญิงคนนั้นยังคงตะโกนคำหยาบคายใส่เพอเพิลไฟต์ แต่เดม่อนสปิริตเพียงแค่มองไปที่เธออย่างไม่เคลื่อนไหว มันเกือบจะเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ถูกต่อว่าเลยสักนิดเดียว นั่นทำให้หานเซิ่นสงสัยว่าเดม่อนสปิริตคนนี้ใช่เพอเพิลไฟต์ที่ผู้หญิงคนนั้นพูดถึงแน่หรือเปล่า
เมื่อผู้หญิงคนนั้นตะโกนจนเบื่อแล้ว เดม่อนสปิริตก็นำของสิ่งหนึ่งออกมา จู่ๆมันก็มาปรากฏขึ้นในมือของเดม่อนสปิริต และเขาก็นำมันไปวางเอาไว้หน้าประตู
เมื่อหานเซิ่นเห็นสิ่งที่เดม่อนสปิริตวางลงบนพื้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย มันคือหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนั้นทำขึ้นจากก้อนหินและมันมีตัวอักษรเขียนเอาไว้บนปกว่า “ช็อคกิ้งเวิลด์เรคคอร์ดของเอ็กซ์ตรีมคิง”
‘โว้ว! นั่นมันวิชาจีโนเฉพาะของเอ็กซ์ตรีมคิงหนิ เดม่อนสปิริตไปได้มันมาจากไหนกัน? ใช่แล้วเขาคงจะต้องได้มันมาจากเป่าฉิน เป่าฉินคงจะต้องผกมันเอาไว้กับตัวขณะที่เขาต่อสู้กับเดม่อนสปิริต’ หานเซิ่นคิด
เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นช็อคกิ้งเวิลด์เรคคอร์ดของเอ็กซ์ตรีมคิง เธอก็ดูคุ้มคลั่งยิ่งกว่าเดิม
“เพอเพิลไฟต์ มันมีประโยชน์อะไรที่เจ้าจะนำวิชาจีโนทั้งโลกนี้มาให้กับข้า? พวกมันไร้ความหมายสำหรับข้า ปล่อยข้าไปหรือไม่อย่างนั้นก็ฆ่าข้าซะ!”