“นั่นอาจจะได้ผลจริงๆ บางทีบางคนหรือบางสิ่งต้องการจะให้พวกเรากลับไปเอาดาบนั่นมา” หานเซิ่นพูด
แต่สถานการณ์ทั้งหมดดูเหมาะเจาะเกินไป พวกเขาเลือกจะทิ้งดาบเอาไว้ ถึงแม้รูปภาพบนฉากจะแสดงภาพของมัน ตอนนี้พวกเขาก็ได้พบกับของรางวัลที่ยั่วยวนและต้องกลับไปเอาดาบนั่นมา สถานการณ์นั้นดูจะค่อยๆเป็นไปตามที่รูปภาพบนฉากกั้นทำนายเอาไว้
“ข้ายินดีลองกลับไป ข้าจะไปหาดาบนั่นอีกครั้งและนำมันกลับมา” ไนท์วินด์พูดกับคุณหญิงมิร์เรอร์
“ไปได้ แต่ระวังตัวให้ดี” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด เสียงของเธอดูใจลอยและห่างเหิน
“ทราบแล้ว ข้าจะไปเอามันมาเดี๋ยวนี้” ไนท์วินด์โค้งคำนับและหันหลังเพื่อเดินจากไป
หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ไนท์วินด์ก็หยุดมองไปที่คนงานระดับดยุก เขาคิดอยู่ชั่วครู่ หลังจากนั้นเขาก็หันมาพูดกับคุณหญิงมิร์เรอร์
“ท่านหญิง เจ้านี่ดูเหมือนจะทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ทำไมไม่ให้ข้าช่วยดับความทุกข์ทรมานของเขาซะตอนนี้?”
หานเซิ่นรู้ว่าเขาหมายความว่าอะไร ไนท์วินด์ยังคงกลัวว่าคำทำนายจะเป็นความจริงขึ้นมา แต่ถ้าเขากำจัดคนงานระดับดยุกไปซะตอนนี้ มันก็จะมีบุคคลไร้ใบหน้าน้อยลงไปคนหนึ่ง นั่นหมายความว่ารูปภาพบนฉากกั้นทำนายผิด และมันก็ไม่ได้มากอะไรไปกว่าภาพลวงตา
คุณหญิงมิร์เรอร์พยักหน้า ไนท์วินด์อุ้มคนงานระดับดยุกขึ้นมาและเดินจากไป
“ดีแล้วหรอที่ปล่อยให้เขาไปแบบนั้น?” หานเซิ่นหันไปถามคุณหญิงมิร์เรอร์
หานเซิ่นคิดว่าทั้งคุณหญิงมิร์เรอร์และไนท์วินด์รู้มากกว่าที่ตัวเองพูดออกมา แต่คุณหญิงมิร์เรอร์ไม่ได้พยายามจะหยุดไนท์วินด์เอาไว้ นั่นทำให้หานเซิ่นสับสน
คุณหญิงมิร์เรอร์พูดขึ้นมา “เจ้าคิดว่าเขาจะเชื่อฟังข้า ถ้าข้าห้ามไม่ให้เขาไปอย่างนั้นหรอ?”
“ท่านหมายความว่าไนท์วินด์จะทรยศพวกเราเพื่อไข่ต้นเรเควี่ยมอย่างนั้นหรอ?”
ตอนนี้หานเซิ่นเข้าใจแล้วว่าคุณหญิงมิร์เรอร์กำลังคิดอะไรอยู่ ถ้าเธอหยุดไนท์วินด์จากการไปเอาดาบนั่น และไนท์วินด์เกิดต้องการไข่ต้นเรเควี่ยมมากพอล่ะก็ สิ่งที่ภาพวาดทำนายเอาไว้ก็อาจจะกลายเป็นจริงขึ้นมา
“ข้าไม่รู้ว่าไนท์วินด์จะทรยศพวกเราหรือไม่ แต่ในตอนที่มีบางสิ่งที่มีค่าอย่างไข่ต้นเรเควี่ยมเข้ามามีส่วนด้วยแล้ว ความภักดีก็จะถูกทดสอบ ไข่ต้นเรเควี่ยมเป็นสมบัติที่ยั่วยวนเกินไป ข้าจึงต้องระวังตัวเอาไว้” คุณหญิงมิร์เรอร์ถอนหายใจออกมา
“จากที่ท่านรู้เกี่ยวกับไนท์วินด์ ถ้าเขานำดาบกลับมาและนำไข่ต้นเรเควี่ยมออกมาได้จริงๆ ท่านคิดว่าเพื่อจะปกปิดความลับ เขาจะทำ…อะไรอย่างอื่นไหม?” หานเซิ่นถาม
“ข้าไม่รู้” คุณหญิงมิร์เรอร์ส่ายหัวและเธอก็พูดต่อ
“พวกเราได้แต่เตรียมตัวเอาไว้ ข้าหวังว่าไนท์วินด์จะไม่ทรยศพวกเรา แต่ถ้าเขาทำแบบนั้น พวกเราก็จำเป็นต้องมีมาตรการฉุกเฉินที่จะช่วยให้พวกเรามีลมหายใจต่อไป จำได้ใช่ไหมว่าข้าไม่ได้เป็นคนเดิมอีกต่อไปแล้ว ข้าเป็นแค่ระดับราชันเท่านั้น ถ้าพวกเราต้องต่อสู้ ข้าก็ไม่มีทางจะเอาชนะไนท์วินด์ได้ โอกาสรอดเดียวของพวกเราก็คือพวกเราทั้งคู่ต้องร่วมมือกัน”
“ถึงแม้ท่านกับข้าจะร่วมมือกัน แต่การต่อสู้กับยอดฝีมือระดับเทพเจ้าก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่ดี” หานเซิ่นส่ายหัวของเขา
คุณหญิงมิร์เรอร์ใช้นิ้วมือปัดบนหน้าผากและยิ้ม
“ถึงแม้ยอดฝีมือระดับราชันธรรมดาสิบคนร่วมมือกัน พวกเขาก็ไม่อาจจะเอาชนะไนท์วินด์ได้ แต่เจ้ากับข้านั้นต่างออกไป ถ้าพวกเราร่วมมือกัน ถึงแม้พวกเราจะเอาชนะเขาไม่ได้ แต่พวกเราก็ควรจะรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ได้”
“แน่นอนว่าข้าเห็นด้วยกับท่าน” หานเซิ่นยิ้ม
“ถึงแม้ข้าจะกลายเป็นระดับราชัน แต่ข้ายังมีจิตใจของเทพเจ้า และข้าก็เข้าใจพลังของไนท์วินด์เป็นอย่างดี ข้ารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา ข้าแค่จำเป็นต้องให้เจ้าทำตามที่ข้าบอก ถ้าเขาทรยศพวกเราจริงๆ พวกเราก็ต้องต้านเขาเอาไว้ให้ได้” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด
“ข้าจะฟังที่ท่านบอก” หานเซิ่นตอบ แต่ในใจเขามีแผนการที่ต่างออกไป
สถานการณ์กลายเป็นอะไรที่ซับซ้อน ทั้ง 3 คนต่างก็มีแผนการของตัวเอง ถึงแม้พวกเขาทุกคนจะมีเป้าหมายของตัวเอง แต่พวกเราต่างก็รู้ดีว่าการมีชีวิตรอดไปจากที่แห่งนี่นั้นเป็นเรื่องยาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครที่สามารถทนต่อความยั่วยวนของไข่ต้นเรเควี่ยมได้
ถึงแม้คุณหญิงมิร์เรอร์จะไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับมัน แต่มันก็เห็นได้ชัดว่าเธอมีแผนการของตัวเองที่จะชิงไข่ต้นเรเควี่ยมมา เพียงแค่แผนการของเธอไม่ได้โจ่งแจ้งเหมือนอย่างของไนท์วินด์
พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เงียบไป หานเซิ่นคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องดีที่จะปล่อยให้ความเงียบดำเนินต่อไป ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นมา
“ท่านคิดว่าไนท์วินด์จะนำดาบใหญ่นั้นกลับมาได้อย่างปลอดภัยไหม?”
“ข้าไม่รู้” คุณหญิงมิร์เรอร์หยุดไปชั่วครู่ “ดูเหมือนจะมีบางสิ่งที่คอยบ่งการสถานการณ์นี้อยู่เบื้องหลัง มันพยายามจะผลักดันให้พวกเราต่อสู้กันเพื่อไข่ต้นเรเควี่ยม แต่การทำแบบนั้นจำเป็นต้องใช้ดาบใหญ่นั่น สามัญสำนึกควรจะบอกว่าดาบนั่นเป็นอันตราย แต่ถึงอย่างนั้นไนท์วินด์ก็ยังคิดจะไปเอามันมา เขาไม่ใช่คนโง่ ดังนั้นถ้าเขายืนกรานที่จะไป นั่นก็หมายความว่าเขามีจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝงอยู่ บางที…”
คุณหญิงมิร์เรอร์ไม่ได้พูดจนจบ แต่สีหน้าของเธอบ่งบอกว่าเธอกำลังกังวล
หานเซิ่นพูดต่อ “บางทีเขาจะไม่ได้กังวลเกี่ยวกับอนาคตที่ฉากกั้นนั้นทำนายเอาไว้?”
คุณหญิงมิร์เรอร์ไม่ได้ตอบอะไร แต่ความเงียบก็เหมือนการเห็นด้วย
หานเซิ่นพูดต่อ “ถ้าคำทำนายไม่เป็นความจริง อย่างนั้นไนท์วินด์ก็จะไม่เป็นอะไร และถ้าเกิดคำทำนายเป็นความจริง อย่างนั้นคนที่ถือดาบก็ควรจะไม่เป็นอะไรอยู่ดี เพราะยังไงซะคนที่ถือดาบก็คือคนที่ฉากกั้นทำนายว่าเป็นคนที่รอดชีวิตและได้รับไข่ไป โอกาสในการรอดชีวิตนั้นเข้าข้างไนท์วินด์ที่อาสาเป็นคนไปเอาดาบใหญ่นั่นมา”
คุณหญิงมิร์เรอร์พยักหน้า เธอเห็นด้วยกับสิ่งที่เขาพูด
“แต่มันมีอย่างหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจ ไนท์วินด์แน่ใจได้ยังไงว่าจะไม่มีอะไรเกิดในตอนที่เขาไปเอาดาบใหญ่นั่นมา?” หานเซิ่นถามคุณหญิงมิร์เรอร์
หานเซิ่นไม่คุ้นเคยกับไนท์วินด์ ดังนั้นเขาไม่สามารถคาดเดาคำตอบได้อย่างมั่นใจ
“อย่าได้ประมาทสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้า ไนท์วินด์อาจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ความจริงที่ว่าเขาไปถึงระดับเทพเจ้าได้ก็บอกถึงความสามารถของเขา อย่าได้ถูกหลอกโดยความภักดีที่เขามีต่อข้า มันจะทำให้เจ้าพลาดและมีจุดจบที่น่าเจ็บปวด” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด
หานเซิ่นยักไหล่ เขาไม่ได้พูดอะไรอีก เขามองกลับไปในเส้นทางด้านหลังโดยหวังที่จะเห็นอะไรบางสิ่ง
ไนท์วินด์ควรจะกลับมาแล้วในตอนนี้ และถ้าเกิดมันมีกับดับอะไรวางเอาไว้กับดาบใหญ่เล่มนั้น เขาก็ควรจะติดกับดักเรียบร้อยแล้ว
แต่เมืองที่พังทลายแห่งนี้ยังคงเงียบสนิท มันไม่มีเสียงอะไรให้ได้ยิน พวกเขาไม่มีทางรู้ได้เลยว่าไนท์วินด์เอาดาบออกมาจากพื้นได้แล้วหรือยัง
ในขณะที่หานเซิ่นกำลังคิด เงาของคนๆหนึ่งก็ปรากฏให้เห็นในเส้นทางด้านหลัง มันดูเหมือนกับเงาของไนท์วินด์
เมื่อเงานั้นเข้ามาใกล้ หานเซิ่นก็เห็นว่านั่นเป็นไนท์วินด์จริงๆ เขาถือดาบใหญ่ที่หานเซิ่นเคยเห็นก่อนหน้านี้ฟาดไหล่ของตัวเอง
แต่ผิดจากที่พวกเขาคิดเอาไว้ ดาบมีความยาวแค่หนึ่งเมตรเท่านั้น ปลายของมันแบนราบราวกับถูกตัดขาดไป ดาบใหญ่นั้นดูเหมือนจะหักครึ่ง
นั่นทำให้ทั้งคุณหญิงมิร์เรอร์และหานเซิ่นประหลาดใจ พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตาซึ่งกันและกัน