Super God Gene – ตอนที่ 2427

หานเซิ่นและคุณหญิงมิร์เรอร์มองตามสายตาของไนท์วินด์ไปและเห็นดาบใหญ่เล่มหนึ่ง

 

ด้ามจับของดาบยาวประมาน 2 ฟุต แต่พวกเขาไม่สามารถบอกได้ว่าตัวดาบนั้นยาวขนาดไหน เนื่องจากดาบเล่มนั้นฝังลึกอยู่ในพื้นของลานกว้าง ดาบนั้นโผล่ออกมาให้เห็นแค่ราวๆ 80 เซนติเมตรเท่านั้น

 

สีหน้าของหานเซิ่นดูมืดมัว ขณะที่เขามองไปที่อาวุธนั้น มันปลดปล่อยออร่าที่ดูชั่วร้ายออกมา

 

ดาบเล่มนั้นเป็นสนิม ด้ามจับของมันมีรูปร่างเหมือนกับกิ่งไผ่และมันไม่ได้มีที่ป้องกันมืออยู่ ด้ามจับนั้นเชื่อมกับใบมีดของดาบโดยตรง มันเป็นดาบ 2 คมและมันก็มีสัญลักษณ์ประหลาดสลักอยู่ที่ใจกลางของใบมีด พวกมันดูเหมือนกับงูหรือเถาวัลย์อะไรทำนองนั้น แต่เนื่องจากดาบยังฝังอยู่ในพื้น มันจึงบอกได้ว่ายากสัญลักษณ์นั่นคืออะไรกันแน่

 

ไนท์วินด์สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่อันตรายจากดาบเล่มนี้ ซึ่งทำให้เขาหยุดขุดมันขึ้นมา ทั้งหมดที่เขาทำก็คือจ้องมองไปที่มัน

 

หานเซิ่นสัมผัสได้ถึงออร่าที่ชั่วร้ายจากดาบ มันเหมือนกับว่ามีดวงวิญญาณนับพันกำลังดิ้นรนและกรีดร้องอยู่ภายในดาบเล่มนี้

 

แต่เมื่อเขาลองสังเกตดูดีๆ เขาก็ไม่เห็นอันตรายอะไรจากอาวุธนี้ นอกจากความใหญ่ของมันแล้ว มันก็ดูเป็นเหมือนอาวุธธรรมดาที่ขึ้นสนิม

 

ไนท์วินด์กำดาบแห่งความมืดเอาไว้แน่นและค่อยๆเดินเข้าไปหาดาบใหญ่อีกครั้ง เขาระมัดระวังราวกับว่ากำลังเดินเข้าไปหาบางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว

 

คุณหญิงมิร์เรอร์และหานเซิ่นถอยออกไปด้านหลัง พวกเขาเป็นระดับราชัน ดังนั้นถ้าไนท์วินด์ไม่สามารถรับมือกับภัยอันตรายนี้ได้ พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เช่นกัน

 

ไนท์วินด์จำเป็นต้องบังคับตัวเองเพื่อก้าวไปข้างหน้าแต่ละก้าว สถานที่แห่งนี้มันแปลกเกินไป และการที่ดาบมาปักอยู่ที่พื้นก็เป็นอะไรที่ดูลางไม่ดี มันมีโอกาสที่ดาบนั้นจะแฝงไว้ด้วยพลังที่ชั่วร้ายเหมือนอย่างรูปปั้นที่พวกเขาพบก่อนหน้า

 

แต่ต้องขอบคุณที่เมื่อไนท์วินด์เดินไปถึงดาบนั่นแล้ว มันไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรกับตัวตนของเขา

 

ไนท์วินด์ยังคงไม่แตะต้องดาบ เขาใช้โซ่สสารแห่งความมืดเพื่อขจัดก้อนหินรอบๆดาบออกไป เขาค่อยๆขุดเส้นทองอ้อมดาบเล่มนั้นไป ขณะที่ดาบเล่มนั้นยังคงปักอยู่กับที่

 

คุณหญิงมิร์เรอร์ขมวดคิ้วและพยายามสังเกตไปที่ดาบเล่มนั้น ดูเหมือนเธอกำลังคำนึงถึงทางเลือกอยู่

 

“ดูเหมือนว่าดาบนั้นจะไม่โจมตีพวกเรา มันอาจจะเป็นแค่อาวุธที่ถูกทิ้งเอาไว้” ไนท์วินด์มองไปที่ดาบด้วยดวงตาที่เป็นประกาย

 

ถ้านี่เป็นอาวุธที่ถูกทิ้งเอาไว้จากการต่อสู้ที่เกิดขึ้นจริงๆ บางทีมันอาจจะเป็นโบราณวัตถุที่มีพลังเหนือกว่าอาวุธระดับเทพเจ้าก็เป็นได้

 

“ท่านหญิง พวกเราควรจะขุดมันขึ้นมาไหม?” ไนท์วินด์ถามขณะที่มองไปที่คุณหญิงมิร์เรอร์ ถึงแม้ตอนนี้คุณหญิงมิร์เรอร์จะเป็นแค่ระดับราชัน แต่ไนท์วินด์ก็ยังคงเคารพเธอ เขาไม่คิดที่จะเสียมารยาทกับเธอเพียงเพราะเธอมีระดับที่ต่ำกว่า

 

“ไม่ว่าพลังอะไรที่ดึงดูดให้พวกเรามาที่นี่ มันไม่ใช่ดาบเล่มนี้ พวกเราไม่ควรไปแตะต้องมัน ขุดทางไปข้างหน้าต่อไป” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด

 

นิสัยโลภมากของหานเซิ่นมักจะผลักดันให้เขาเก็บสมบัติทุกชิ้นที่หาพบ แต่ในที่แห่งนี้แม้แต่เขาก็ไม่กล้าทำอะไรเสี่ยงๆ เขาเห็นด้วยกับสิ่งที่คุณหญิงมิร์เรอร์พูด สำหรับตอนนี้พวกเขาไม่ควรไปแตะต้องมัน ที่แห่งนี้นั้นต้องคำสาป มันยากที่จะรู้ได้ว่าจะมีเรื่องร้ายอะไรเกิดขึ้นอีกถ้าพวกเขาไปแตะต้องมัน

 

แต่ไนท์วินด์ไม่เห็นด้วย เขาคิดอยู่ชั่วครู่และพูด ‘ถ้านี่เป็นอาวุธที่ถูกทิ้งเอาไว้จากการต่อสู้ระหว่างเทพสปิริตจริงๆ บางทีมันอาจจะช่วยพวกเราในการสำรวจเมืองแห่งนี้”

 

คำพูดของไนท์วินด์นั้นฟังดูมีเหตุผลอยู่ ถ้าพวกเขาขุดดาบนี้ขึ้นมาได้ บางทีพวกเขาอาจจะสามารถใช้มันเป็นอาวุธได้

 

ในสมัยก่อนดาบเล่มนี้คงจะต้องเป็นอะไรที่ทรงพลังมาก ถ้าพวกเขาสามารถควบคุมมันได้ บางทีมันอาจจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาในการแก้ปัญหาหลายๆอย่างที่ต้องเผชิญ

 

ยกตัวอย่างเช่นดาบเล่มนี้อาจจะสามารถใช้เพื่อทำลายรูปปั้นนั่นได้ ถ้าพวกเขาสามารถทำลายมันได้ล่ะก็ บางทีดวงตาของพวกเขาอาจจะกลับมาเป็นปกติ

 

ซึ่งถ้าพวกเขาสามารถใช้ดาบเล่มนี้ลบล้างอาการที่เป็นอยู่ได้ มันก็ไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาต้องสำรวจเมืองนี้ต่อ พวกเขาสามารถรอให้กำลังเสริมมาถึงได้อย่างปลอดภัย

 

คุณหญิงมิร์เรอร์ยังคงดูลังเล ทั้ง 2 ตัวเลือกมีทั้งข้อดีข้อเสีย ถ้าพวกเขาเสี่ยงเดิมพันกับดาบเล่มนี้และชนะเดิมพัน มันก็ถือเป็นอะไรที่ดี แต่ถ้าพวกเขาแพ้การเดิมพัน มันก็อาจจะทำให้สถานการณ์ของพวกเขาเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม

 

“พวกเราจะเดินหน้ากันต่อ” คุณหญิงมิร์เรอร์ไม่อนุญาตให้ไนท์วินด์ไปแตะต้องดาบนั่น ถ้าพวกเขาทำการเดิมพันกับดาบเล่มนี้ พวกเขาก็อาจจะสูญเสียได้ แต่ถ้าพวกเขาไม่ทำการเดิมพัน พวกเขาก็จะยังไม่แพ้หรือชนะ

 

ถ้าหานเซิ่นเป็นคนที่ต้องเลือกเอง แม้แต่เขาก็ไม่คิดจะเสี่ยงดวงกับดาบเล่มนี้ เขาคิดว่ามันเป็นอะไรที่เสี่ยงเกินไป

 

แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุด เขาไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวอะไรกับดาบ นั่นเป็นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับหนิงเยวี่ยและดาบเขียวน้อย ดาบเขียวนั้นเล็กกว่ามากและมันก็เปลี่ยนหนิงเยวี่ยเป็นคนที่ไม่ใช่ทั้งผู้ชายและผู้หญิง

 

ถ้าหานเซิ่นแตะต้องดาบใหญ่แล้วนั้น ใครจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น บางทีเขาอาจจะกลายเป็นขันที และนั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากจะคิด

 

ถึงแม้หนิงเยวี่ยจะดูเหมือนผู้หญิง แต่อย่างน้อยๆเขาก็ยังมีสัญลักษณ์ลูกผู้ชายอยู่

 

ไนท์วินด์ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น ดูเหมือนว่าเขายังคงยอมรับฟังคำพูดของคุณหญิงมิร์เรอร์ ถึงแม้เขาจะมีความคิดเห็นที่ต่างออกไป แต่เขาก็ไม่คิดจะขัดใจคุณหญิงมิร์เรอร์

 

พวกเขาทั้ง 3 เดินอ้อมดาบไปขณะที่ไนท์วินด์คอยกำจัดเศษหินที่ขวางทาง พวกเขาเดินหน้าต่อไปและได้เห็นร่องรอยมากมายอยู่ตามพื้นของลานกว้าง

 

รอยดาบนั้นฝังลึกเข้าไปในพื้นที่แข็งแรงของตัวเมือง พื้นของเมืองดูก็อตนั้นแข็งมากๆ แต่มันถูกตัดราวกับเต้าหู้ ชิ้นส่วนของหินที่ถูกทำลายกระจัดกระจายไปทั่ว มันยากที่จะจินตนาการถึงความแข็งแกร่งของคนที่สร้างรอยดาบพวกนั้น

 

‘รอยดาบนี้คงจะไม่ได้ถูกทิ้งเอาไว้โดยเจ้าของดาบใหญ่ที่ปักอยู่เล่มนั้นหรอกใช่ไหม?’ ขณะที่หานเซิ่นสังเกตรอยดาบที่ถูกทิ้งเอาไว้ เขาก็ไม่สามารถหยุดคิดเกี่ยวกับดาบที่ปักอยู่ที่พื้นเล่มนั้นได้

 

ผู้หญิงที่ถูกขุดขึ้นมาโดยเผ่าเฮลล์เป็นระดับเทพเจ้าเหมือนกับไนท์วินด์

 

แต่เมื่อพลังของไนท์วินด์ฟันใส่หินของตัวเมืองนั้น มันก็แทบจะไม่ทิ้งรอยขีดข่วนเอาไว้ ซึ่งเมื่อเทียบกับรอยแหว่งลึกนี้แล้ว พวกมันแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว พวกมันอยู่คนละระดับกัน

 

คุณหญิงมิร์เรอร์และไนท์วินด์เองก็คิดเหมือนๆกัน แต่พวกเขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปแตะต้องดาบเล่มนั้น

 

ไนท์วินด์นำทางพวกเขาต่อไปเรื่อยๆ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงของอะไรบางอย่างดังขึ้นมา ดาบโซ่สสารของไนท์วินด์ดูเหมือนจะฟันไปถูกอะไรบางอย่างเข้าและแตกสลายไป

 

“พวกเราเจออะไรอีกล่ะทีนี้?” หานเซิ่นถามขณะที่ขยับตัวเข้าไปมองชัดๆ ดาบโซ่สสารนั้นแตกสลายเมื่อปะทะกับกำแพงหิน ถึงแม้จะถูกฟันอย่างรุนแรง กำแพงก็ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ

 

กำแพงนั้นปกคลุมด้วยภาพวาด แต่เนื่องจากพวกเขาเห็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆของกำแพง พวกเขาจึงไม่สามารถบอกได้ว่ามันเป็นภาพวาดอะไร

 

ไนท์วินด์เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อกำจัดเศษหินรอบๆกำแพงออกไป ไม่นานกำแพงหินทั้งอันก็เผยออกมาให้เห็น

 

กำแพงนั้นดูเหมือนกับฉากกั้นลายดอกไม้ แต่มันใหญ่กว่าฉากกั้นทั่วๆไป มันมีความยาวกว่าหนึ่งร้อยเมตรและสูง 3 เมตร

 

หานเซิ่นมองไปที่ภาพวาดบนฉากกั้นและสิ่งที่เห็นก็ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป

 

ดวงตาของพวกเขามองไปที่ศูนย์กลางของฉากกั้น ในตอนแรกพวกเขาคิดว่ามันไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่เมื่อมองจากด้านซ้ายสุดของกำแพง ภาพที่เขาเห็นก็เป็นบางสิ่งที่ดูประหลาดมากๆ

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset