มันเหมือนกับว่าเธอได้รับของขวัญปริศนากล่องหนึ่งมา แต่เธอไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งมันมาหรือว่าข้างในนั้นมีอะไรอยู่ ซึ่งหลังจากที่เปิดกล่องออก เธอก็ได้พบกับกล่องปริศนาอีกใบ เธอเปิดมันชั้นแล้วชั้นเล่า แต่เธอก็ยังไม่ได้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน
มันไม่ได้สำคัญว่าของขวัญที่อยู่ข้างในกล่องนั้นจะดีหรือไม่ แต่การเปิดกล่องของขวัญชั้นแล้วชั้นเล่านั้นจะทำให้คนเปิดรู้สึกหงุดหงิด
โชคดีที่คุณหญิงมิร์เรอร์เป็นคนที่มีความอดทนสูง ดังนั้นเธอจึงไม่รู้สึกรำคาญง่ายๆ เธอค่อยๆลอกจิตใจของหานเซิ่นออกทีละชั้นๆ แต่หลังจากทำแบบนั้นอยู่สักพัก เธอก็ยังไม่พบสิ่งที่อยู่ภายในศูนย์กลางของมัน
‘ข้าต้องการจะเห็นว่าในจิตใจของเจ้ามีอะไรอยู่’ คุณหญิงมิร์เรอร์คิดด้วยความมุ่นมั่น เธอสงบจิตใจของตัวเองและจิตใจระดับเทพเจ้าของเธอก็ทับจิตใจของหานเซิ่นอย่างเต็มน้ำหนักเพื่อพยายามเปิดมันออก
ฝนฤดูใบไม้ผลิทำลายกลีบของดอกไม้ จิตใจของหานเซิ่นเป็นเหมือนกับศูนย์กลางของดอกไม้ที่ถูกบังคับให้เปิดออก กลีบดอกไม้ร่วงหล่นกลีบแล้วกลีบเล่า และเมื่อตำแหน่งที่กลีบดอกไม้ปกคลุมอยู่ถูกเปิดเผย เธอก็พบว่ามันว่างเปล่า
“มันเป็นแค่เปลือกที่ไม่มีอะไรอยู่ภายใน” คุณหญิงมิร์เรอร์รู้สึกค่อนข้างผิดหวัง
จิตใจบ่งบอกถึงลักษณะนิสัยของคนๆนั้นและความรู้สึกของพวกเขาที่มีต่อสิ่งต่างๆ ภายนอกจิตใจของหานเซิ่นนั้นดูแข็งแกร่งมาก แต่ภายในนั้นว่างเปล่า ด้วยเหตุนั้นเขาจึงไม่สามารถเป็นคนที่เข้มแข็งได้
คุณหญิงมิร์เรอร์ต้องการจะดึงจิตใจของเธอกลับ เนื่องจากเธอได้เห็นสิ่งที่ต้องการเห็นแล้ว แต่ไม่สามารถทำแบบนั้นได้
เธอเปิดจิตใจของหานเซิ่นด้วยใช้กำลัง จิตใจปกตินั้นจะแตกสลายด้วยการทำแบบนั้น และมันควรจะไม่มีร่องรอยของจิตใจหลงเหลืออยู่
แต่คุณหญิงมิร์เรอร์ยังคงสัมผัสได้ถึงจิตใจของหานเซิ่น นั่นเป็นอะไรที่คาดไม่ถึง
คุณหญิงมิร์เรอร์มองไปที่กลีบดอกไม้ทั้งหมดที่อยู่บนพื้น กลีบดอกไม้ทั้งหมดเป็นเหมือนกับคริสตัล พวกมันกระจัดกระจายอยู่ตามพื้น แต่พวกมันไม่ได้รับความเสียหายอะไร
ดวงตาของคุณหญิงมิร์เรอร์เบิกกว้าง เธอต้องการจะลอกกลีบทั้งหมดออกเพื่อดูสิ่งที่อยู่ข้างใน เธอไม่ได้สนใจที่จะดูตัวกลีบที่ถูกลอกออกไปเลย เมื่อเธอส่งจิตใจของตัวเองเข้าไปในกลีบหนึ่งกลีบ จิตใจของหานเซิ่นที่อยู่ภายในก็ซัดเข้ามาราวกับทะเล มันกว้างใหญ่ราวกับท้องฟ้าและลึกราวกับมหาสมุทร จิตใจนั้นลึกซึ้งซะจนทำให้คุณหญิงมิร์เรอร์ตกอยู่ภายใต้ความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนของมัน
คุณหญิงมิร์เรอร์ก้มตัวลงไปและเก็บกลีบขึ้นมาอีกกลีบ จิตใจที่อยู่ภายในเป็นเหมือนกับภูเขาที่ถล่มลงมา มันเป็นเหมือนกับเสาที่ค้ำจุนท้องฟ้าเอาไว้
ถ้าเธอเป็นนวนิยายเล่มหนึ่ง ชายคนนี้ก็เป็นนวนิยายการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ทั้งเรื่อง
ชายคนนี้สามารถนิยามตัวเองว่าเป็นชายสูงอายุที่เจ็บป่วยใกล้ถึงวันตาย หรือเป็นนักรบที่พาตัวเองเข้าไปในการต่อสู้ที่ดุเดือนในตอนที่เขายังหนุ่ม
ผู้คนนั้นสนใจแค่ผลลัพธ์ ชัยชนะและความพ่ายแพ้เป็นตัวกำหนดทุกอย่าง และผู้คนแทบจะไม่ได้สนใจอะไรเหตุการณ์ที่นำไปสู่ผลลัพธ์นั้นๆ ผู้คนมักจะมองข้ามช่วงเวลายากลำบากและสิ้นหวังที่ต้องเผชิญ
ทุกคนเคยประสบกับความล้มเหลว แต่ผู้คนที่อดทนและกล้าหาญจะลุกกลับขึ้นมาไม่ว่าพวกเขาจะล้มเหลวสักกี่ครั้ง ไม่สำคัญว่าพวกเขาจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหนหรือมีอะไรเกิดขึ้น สิ่งเดียวที่จะไม่เปลี่ยนแปลงก็คือความปรารถนาในหัวใจของพวกเขา พวกเขาต้องการชัยชนะและมุ่งมั่นที่จะเอาชนะเหนือสิ่งอื่นใด
จิตใจของหานเซิ่นไม่มีศูนย์กลางอยู่นั่นเพราะจิตใจของเขาไม่มีปลายทาง ความทะเยอทะยานของเขาขยายออกไปเรื่อยๆเหนืออวกาศและกาลเวลา มันจะขยายไปข้างหน้าจนกระทั่งถึงเวลาตาย
หานเซิ่นไม่ได้ต้องการแค่จะปีนภูเขาที่สูงที่สุด เขาต้องการไปให้สูงขึ้นเรื่อยๆ ความทะเยอทะยานของเขาไม่มีที่สิ้นสุด
คุณหญิงมิร์เรอร์ไม่เห็นศูนย์กลางของจิตใจของหานเซิ่น แต่ทุกกลีบคือประสบการณ์ของหานเซิ่น มันมีทั้งความโกรธ ความสุข ความเศร้า ความอดทน ความรู้สึกของทะเล ท้องฟ้าและผืนดิน
บางทีจิตใจเดียวของหานเซิ่นอาจจะไม่ได้เหนือกว่าของคุณหญิงมิร์เรอร์ แต่ด้วยการสังเกตกลีบของจิตใจทั้งหมดและทำความเข้าใจพวกมัน คุณหญิงมิร์เรอร์ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกยำเกรง
ทันใดนั้นคุณหญิงมิร์เรอร์ก็เงยหัวขึ้นมา เธอรู้สึกตัวว่าตัวเองถูกกักขังอยู่ในจิตใจของหานเซิ่น ความรู้สึกของเธอกำลังส่งผลต่ออารมณ์
“เราไม่อาจจะอยู่ในสถานที่ที่รบกวนหัวใจของเราได้” คุณหญิงมิร์เรอร์พูด เธอเรียกจิตใจฝนฤดูใบไม้ผลิออกมาเพื่อจะทำลายกลีบดอกไม้ที่มีจิตใจของหานเซิ่นแฝงอยู่ภายใน เธอไม่ต้องการให้จิตใจของตัวเองได้รับผลกระทบ
กลีบดอกไม้นับหมื่นถูกทำลายโดยจิตใจของเธอ แต่ไม่นานคุณหญิงมิร์เรอร์ก็พบว่าเมื่อกลีบดอกไม้ถูกทำลายไปแล้ว พวกมันก็ร่วงหล่นลงไปกับพื้นและเกิดเป็นดอกไม้ดอกใหม่ขึ้นมา
ไม่สำคัญว่าคุณหญิงมิร์เรอร์จะพยายามทำลายจิตใจของหานเซิ่นยังไง มันก็มีดอกไม้งอกขึ้นมาใหม่ เธอไม่สามารถทำลายพวกมันได้ และพวกมันก็แพร่กระจายออกไปมากขึ้น
“ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น?” คุณหญิงมิร์เรอร์ไม่สามารถสงบจิตใจได้ การจะทำลายจิตใจของหานเซิ่นอย่างสมบูรณ์นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับเธอ
เธอเป็นยอดฝีมือระดับเทพเจ้า จิตใจของเธอเป็นหนึ่งในจิตใจที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าเอ็กซ์ตรีมคิง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่สามารถทำลายจิตใจของหานเซิ่นที่เป็นแค่ระดับราชันคนหนึ่งได้ เธอไม่อยากเชื่อว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
‘นี่จิตใจของเขาแข็งแกร่งถึงขนาดนั้นจริงๆหรอ?’ คุณหญิงมิร์เรอร์คิด
คุณหญิงมิร์เรอร์ก้าวถอยหลังออกไป เธอยกแหวนมิร์เรอร์สปิริตอายทั้ง 2 ออกจากกันและมองตรงไปที่หานเซิ่น
คุณหญิงมิร์เรอร์ค้นพบว่าจิตใจของเธอละลายอย่างรวดเร็วในร่างกายของหานเซิ่น และไม่กี่วินาทีต่อมามันก็หายไปจนหมด แม้แต่คุณหญิงมิร์เรอร์ก็ไม่สามารถสัมผัสถึงมันได้อีก
“ขอบคุณ ท่านหญิงมิร์เรอร์” หานเซิ่นลืมตาขึ้นมาและโค้งคำนับคุณหญิงมิร์เรอร์
จิตฝนฤดูใบไม้ผลิของคุณหญิงมิร์เรอร์ช่วยทำให้หานเซิ่นได้เรียนรู้อะไรมากมาย
คุณหญิงมิร์เรอร์มองไปที่หานเซิ่น หลังจากนั้นเธอก็จากไปโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ
เมื่อคุณหญิงมิร์เรอร์กลับไปถึงห้อง เธอก็พยายามใช้วิธีต่างๆเพื่อจะลบอิทธิพลจากจิตใจของหานเซิ่นออกไป แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามสักแค่ไหน เธอก็ไม่สามารถทำได้ มันทำให้คุณหญิงมิร์เรอร์รำคาญใจอย่างมาก
“นี่จิตใจของเราสู้กับราชันคนหนึ่งไม่ได้อย่างนั้นหรอ?” คุณหญิงมิร์เรอร์กัดริมฝีปากและพยายามใช้จิตใจของเธอลบล้างดอกไม้ที่เป็นตัวแทนจิตใจของหานเซิ่นออกไป แต่ความพยายามของเธอนั้นล้มเหลว ดอกไม้เหล่านั้นฝังรากลึกในจิตใจของเธอและไม่ว่าเธอจะพยายามทำลายพวกมันยังไง พวกมันก็สามารถงอกออกมาใหม่ได้เรื่อยๆ
คนของคุณหญิงมิร์เรอร์ทำงานอยู่ในทุ่งหินเป็นเวลาอีก 5 วัน หลังจากนั้นก็มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นอีกครั้ง คนงานขุดก้อนหินประหลาดก้อนหนึ่งที่มีอักษรสลักอยู่ขึ้นมาได้
มาร์ควิส 2 คนที่ขุดหินขึ้นมาอ่านตัวอักษณนั้น และจู่ๆพวกเขาก็กลายเป็นระดับดยุก
คุณหญิงมิร์เรอร์ออกไปที่ทุ่งหินพร้อมกับเรดคลาวด์และนำหินกลับมาที่ค่าย หลังจากที่ตรวจสอบก้อนหินอยู่ 2 วัน เรดคราวด์ที่เป็นระดับเทพเจ้าก็ถูกลดระดับลงมาเป็นราชันในชั่วข้ามคืน