หานเซิ่นมองไปรอบๆและพยายามจะดูว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนในคอร์แอเรีย เขายังไม่คิดจะออกล่าคอร์ซีโน่เจเนอิคในตอนนี้ ดังนั้นหลังจากที่ยืนยันตำแหน่งของตัวเองได้แล้ว เขาก็ตัดสินใจกลับออกมา
หานเซิ่นเดินออกมาจากห้องส่วนตัวของเขา และเขาก็หยุดชะงักไปกับสิ่งที่เห็น ฟอลลิ่งลีฟและเป่าเอ๋อกำลังจ้องหน้ากัน แต่ใบหน้าของฟอลลิ่งลีฟนั้นถูกแปะด้วยสติ๊กเกอร์ ซึ่งบ่งบอกว่าเธอเป็นฝ่ายแพ้ ตอนนี้เธอกำลังถือไพ่ 2 ใบอยู่ในมือและเธอดูจริงจังมากๆ
ส่วนทางด้านเป่าเอ๋อกำลังถือไพ่อยู่หนึ่งใบ เธองมองไปที่ไพ่ 2 ใบของฟอลลิ่งลีฟอย่างครุ่นคิด
“ข้าควรจะเลือกใบไหนดีนะ?” เป่าเอ๋อสงสัยและทำการตัดสินใจอย่างระมัดระวัง เธอชี้นิ้วออกไปข้างหน้าและส่ายไปมาระหว่างไพ่ทั้ง 2 ของฟอลลิ่งลีฟ มันดูเหมือนว่าเธอกำลังจะเลือกไพ่ใบใดใบหนึ่ง
เมื่อหานเซิ่นเห็นแบบนั้น เขาก็รู้ในทันทีว่าเป่าเอ๋อและฟอลลิ่งลีฟกำลังเล่นอีแก่กินน้ำ
นี่เป็นเกมส์ที่หานเซิ่นเล่นกับเป่าเอ๋ออยู่บ่อยๆ และเนื่องจากหานเซิ่นถนัดเกมส์ที่ใช้การคาดเดาแบบนี้ ในตอนแรกเป่าเอ๋อจึงไม่เคยเอาชนะเขาได้เลย แต่หลังจากเล่นไม่นานเขาก็เริ่มชนะน้อยครั้งลงเรื่อยๆ และไม่นานหานเซิ่นก็รู้สึกว่าเขาแทบจะเอาชนะเป่าเอ๋อไม่ได้อีก เขาต้องใช้สมาธิอย่างเต็มที่เพื่อเล่นเกมส์นี้กับเป่าเอ๋อโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาต้องการจะหลีกเลี่ยงการพ่ายแพ้
ที่สุดแล้วหานเซิ่นก็หยุดเล่มเกมส์นี้กับเป่าเอ๋อ ซึ่งหมายความว่าเป่าเอ๋อไม่สามารถแก้แค้นจำนวนตาทั้งหมดที่หานเซิ่นเอาชนะเธอไปได้ เป่าเอ๋อนั้นโกรธในเรื่องนั้นอยู่พักใหญ่
แต่หานเซิ่นก็ยังยืนกรานที่จะไม่เล่นเกมส์นี้กับเธอ เขาไม่ต้องการมอบโอกาสล้างแค้นให้กับเธอ
มันเป็นเกมส์ที่พึ่งพาโชค การตัดสินใจ การสังเกตและจิตวิทยา ครอบครัวของหานเซิ่นภาคภูมิใจในด้านการเล่มเกมส์ แต่หานเซิ่นไม่มั่นใจอีกต่อไปว่าจะสามารถเอาชนะเป่าเอ๋อได้
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของฟอลลิ่งลีฟเต็มไปด้วยสติ๊กเกอร์ เขาก็สามารถบอกได้ทันทีว่าเธอนั้นพ่ายแพ้อย่างราบคาบ ส่วนใบหน้าของเป่าเอ๋อนั้นยังสะอาดหมดจด และมันไม่มีสติ๊กเกอร์อยู่บนหน้าของเธอเลยแม้แต่แผ่นเดียว
ขณะที่มือของเป่าเอ๋อค่อยๆส่ายไปมาระหว่างไพ่ทั้ง 2 ใบ ใบหน้าของฟอลลิ่งลีฟนั้นไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมา แต่หัวใจของเธอนั้นเต้นรัวในทุกการเคลื่อนมือของเป่าเอ๋อ
เธอรู้สึกแย่อย่างแท้จริง ในตอนแรกเธอแค่ตกลงจะเล่นเกมส์กับเป่าเอ๋อก็เพื่อทำให้เด็กสาวคนหนึ่งมีความสุข เกมส์แบบนี้เป็นอะไรที่ง่ายเกินไปสำหรับนักฆ่าอย่างเธอ เธอถนัดเรื่องการอ่านผู้คนและความสามารถในการคาดเดาของเธอก็ยอดเยี่ยม
แต่ตลอดเวลาที่เล่นกันมา เธอไม่เคยชนะเลยแม้แต่ครั้งเดียว ฟอลลิ่งลีฟเริ่มจะรู้สึกเข้าตาจนขึ้นเรื่อยๆ และเธอก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อจะชนะให้ได้สักครั้งหนึ่ง
ดวงตาของฟอลลิ่งลีฟจ้องไปที่ไพ่ทั้ง 2 ในมือ เมื่อไหร่ก็ตามที่เป่าเอ๋อชี้ไปที่ไพ่โจ๊กเกอร์ เธอก็จะรู้สึกดี แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เป่าเอ๋อชี้ไปที่ไพ่เจ็ดโพแดง เธอก็รู้สึกกังวลอย่างมาก
“บางทีข้าควรจะเลือกใบนี้?” เป่าเอ๋อพูดขณะที่เอื่อมมือไปหาไพ่โจ๊กเกอร์ ชีพจรของฟอลลิ่งลีฟเต้นรัวเมื่อนิ้วมือของเป่าเอ๋อสัมผัสกับไพ่โจ๊กเกอร์
“เอามันไป! เอามันไป!” ฟอลลิ่งลีฟตะโกนในหัวใจ แต่เธอไม่ปล่อยให้อารมณ์แสดงออกมาบนใบหน้า
แต่ทันใดนั้นเป่าเอ๋อก็หยุดชะงักไป เธอหันมาหยิบไพ่เจ็ดโพแดงแทนด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าข้าเอาไพ่ใบนี้ดีกว่า”
กล้ามเนื้อแก้มของฟอลลิ่งลีฟกระตุก นิ้วมือของเธอจับไพ่ทั้ง 2 ใบเอาไว้แน่น ขณะที่เป่าเอ๋อพยายามจะดึงไพ่เจ็ดโพแดงไป แต่ฟอลลิ่งลีฟไม่ยอมปล่อยมันไป
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยไพ่ในมือ เป่าเอ๋อก็ไม่รู้จะทำยังไง เธอปล่อยมือจากไพ่เจ็ดโพแดงและหันไปหยิบไพ่โจ๊กเกอร์แทน
“ถ้าอย่างนั้นข้าเอาใบนี้”
ฟอลลิ่งลีฟรู้สึกดีใจ เธอรีบปล่อยไพ่โจ๊กเกอร์ในมือให้เป่าเอ๋อและพูด
“มันถึงตาของพี่แล้ว”
ฟอลลิ่งลีฟกัดฟันและจ้องไปที่ไพ่ 2 ใบในมือของเป่าเอ๋อ เธอจ้องมองอย่างขะมักเขม้นราวกับว่าเธอกำลังอ่านบางสิ่งจากด้านหลังของไพ่
ในฐานะนักฆ่าชั้นเลิศของสปริงเรน ความสามารถในการสังเกตและตัดสินใจของฟอลลิ่งลีฟนั้นถือเป็นที่สุด เธอจับข้อแตกต่างที่เล็กน้อยที่สุดได้อย่างง่ายดาย
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอไม่สามารถสัมผัสร่องรอยอะไรที่จะช่วยเธอระบุไพ่บนมือของเป่าเอ๋อได้เลย ฟอลลิ่งลีฟจ้องมือของเป่าเอ๋ออย่างขะมักเขม้นจนดวงตาของเธอดูเหมือนจะหลุดออกมาจากเบ้า เธอไม่สามารถบอกได้ว่าไพ่ใบไหนคือไพ่โจ๊กเกอร์กันแน่
“พี่สาวจะเลือกหรือยัง?” เป่าเอ๋อพูดพร้อมกับหาวออกมา
“ไม่เห็นต้องรีบร้อนเลย” ฟอลลิ่งลีฟยื่นมือออกไปจับไพ่ที่อยู่ด้านซ้าย เธอมองไปที่เป่าเอ๋อโดยหวังว่าจะเห็นเบาะแสบางอย่างในดวงตาของอีกฝ่าย
“ถ้านั่นคือไพ่ที่พี่สาวต้องการ พี่ก็รีบหยิบมันไป” เป่าเอ๋อพูดด้วยใบหน้าที่ดูเบื่อ
เมื่อได้ยินเป่าเอ๋อพูดแบบนั้น ฟอลลิ่งลีฟก็ตัดสินใจไม่หยิบมัน พวกเขาพึ่งจะอยู่ด้วยกันได้แค่ 2 ชั่วโมง แต่ในสายตาของฟอลลิ่งลีฟนั้น เป่าเอ๋อไม่ใช่แค่เด็กตัวน้อยคนหนึ่งอีกต่อไป
‘พยายามหลอกข้าอย่างนั้นหรอ? มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก’ ฟอลลิ่งลีฟเปลี่ยนไปหยิบไพ่ที่อยู่ด้านขวา
แต่เมื่อเธอผลิกมันมาหาตัว เธอก็รู้สึกเหมือนกับถูกสายฟ้าช็อตใส่ มันเป็นไพ่โจ๊กเกอร์
“ทำไมพี่สาวไม่เชื่อคนอื่น? ผู้ใหญ่อย่างพี่สาวนี่ซับซ้อนจริงๆ ข้าไม่เข้าใจพี่สาวเลย” เป่าเอ๋อดูเศร้าโศกขณะที่ส่ายหัวของตัวเอง
ใบหน้าของฟอลลิ่งลีฟกระตุก เธอกัดฟันและพูด “ตาเจ้าแล้ว”
“ข้าเลือกใบนี้” เป่าเอ๋อยื่นมือออกไปหยิบไพ่เจ็ดโพแดงออกมาจากมือของฟอลลิ่งลีฟ
“ฮ่าๆ ข้าชนะอีกแล้ว” เป่าเอ๋อโยนคู่เจ็ดลงไปบนกองไพ่ หลังจากนั้นเธอก็หยิบสติ๊กเกอร์ขึ้นมาและแปะบนใบหน้าของฟอลลิ่งลีฟ
“พวกเราจะเล่นกันอีกตา!” ฟอลลิ่งลีฟเริ่มสับไฟ่อีกครั้ง
“ข้าไม่เล่นแล้ว พี่สาวอ่อนกว่าข้าเกินไป” เป่าเอ๋อดูเบื่อ
“อีกแค่ตาเดียว” ฟอลลิ่งลีฟพูดขึ้นมา ขณะที่ดวงตาของเธอลุกเป็นไฟ
หานเซิ่นเกือบจะหัวเราะออกมา การเล่มเกมส์นั้นกับเป่าเอ๋อนั้นเหมือนกับการรนหาที่
เป่าเอ๋อกรอกตาและพูด “พวกเราจะเล่นกันต่อ แต่การแปะสติ๊กเกอร์บนใบหน้าอีกฝ่ายมันน่าเบื่อ พวกเรามาเดิมพันอย่างอื่นกันดีกว่า”
“แน่นอน เจ้าอยากจะเดิมพันอะไร?” ฟอลลิ่งลีฟต้องการจะชนะให้ได้ เธอเป็นนักฆ่าชั้นสูงของสปริงเรน เธอไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองพ่ายแพ้เด็กคนหนึ่งได้
“ผู้แพ้จะต้องเดินออกประตูไปและตะโกนว่าข้าเป็นคนโง่” เป่าเอ๋อพูดหลังจากที่คิดอยู่ชั่วครู่
“นั่น..” ฟอลลิ่งลีฟเกิดลังเลขึ้นมา เธอไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะเป่าเอ๋อได้ และมันก็มีสมาชิกของสปริงเรนคนอื่นอยู่ในค่าย มันจะเป็นอะไรที่น่าอับอายอย่างมากถ้ามันถูกได้ยินเข้า
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถอะ นี่มันน่าเบื่อ” เป่าเอ๋อยืนขึ้นและเตรียมจะเดินจากไป
“ก็ได้! พวกเราจะทำแบบนั้น!” ฟอลลิ่งลีฟพูดขึ้นมาขณะที่ดึงแขนของเป่าเอ๋อเอาไว้ เธอดูอยากจะเอาชนะเป่าเอ๋อให้ได้จริงๆ
หานเซิ่นทนดูต่อไปไม่ไหว เกมส์นั้นรู้ผลตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มด้วยซ้ำ แม้แต่สิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าก็ไม่สามารถเอาชนะเป่าเอ๋อในการเล่มเกมส์นี้ได้ นี่เป็นสิ่งที่ครอบครัวของหานเซิ่นนั้นถนัดที่สุด