“ไป๋อู๋ฉางเป็นคนที่มีนิสัยประหลาด ด้วยเหตุนั้นท่านพ่อจึงไม่คิดจะให้เขาสืบทอดบัลลังก์ แต่ถึงอย่างนั้นท่านพ่อก็รักเขามาก ไป๋อู๋ฉางเป็นคนเดียวที่ไม่เคยรับสมัครองครักษ์ แต่ท่านพ่อก็ยังคงมอบทรัพยากรให้กับเขา” ไป๋เวยพูด
“ราชาไป๋เอ็นดูเขามากขนาดนั้นเลย? แบบนั้นองค์ชายและองค์หญิงคนอื่นไม่อิจฉาหรอกหรอ?” หานเซิ่นถาม
“พวกเขาต่างก็อิจฉา แต่พวกเขาทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้นไม่ได้ ท่านพ่อนั้นลำเอียงเข้าข้างไป๋อู๋ฉางจริงๆ และเขาก็ยังเป็นบุตรชายของอัครมเหสี มงกุฎราชกุมารคือพี่ชายจากบิดามารดาเดียวกับเขา ถึงแม้เขาจะเป็นแค่ลูกศิษย์ของราชครู แต่คนอื่นๆก็ต้องคิดไตร่ตรองอย่างดีก่อนที่จะเสี่ยงไปต่อสู้กับเขา” ไป๋เวยพูด
“ราชครูคือใครกัน?” หานเซิ่นถาม เขาไม่ได้รู้เรื่องภายในเกี่ยวกับสังคมของเอ็กซ์ตรีมคิงมากนัก
“ชื่อของเขาคือ กู่เยวียน” เมื่อไป๋เวยพูดชื่อนั้น เธอก็ลดเสียงลง ดูเหมือนกับว่าการพูดถึงเขาจะทำให้เธอไม่ค่อยสบายใจ
“เจ้าจะได้ฟังเกี่ยวกับเขาเพิ่มภายหลัง สำหรับตอนนี้เจ้าแค่อย่ารับคำท้าของไป๋อู๋ฉางไม่ว่ายังไงก็ตาม” ไป๋เวยพูด
“ข้าไม่คิดจะต่อสู้กับเขาอยู่แล้ว” หานเซิ่นยักไหล่และหัวเราะ มันไม่มีทางที่เขาจะยอมรับคำท้าแบบนั้น เพราะมันเป็นอะไรที่เสียเวลาเปล่าๆ
ไป๋เวยถอนหายใจและพูด “ดี ข้าจัดการเรื่องเอกสารทั้งหมดแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”
ขณะที่พวกเขาออกไปจากสถานีอวกาศและมุ่งหน้าไปยังสุสานทหารและกษัตริย์ ผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ภายในห้องควบคุมกำลังดูพวกเขาผ่านกล้องวงจรปิด
ผู้หญิงคนนั้นดูงดงามอย่างมาก เพียงแค่เห็นเธอนั่งอยู่ตรงก็เพียงพอที่จะทำให้คนที่ได้เห็นมีความสุข
เธออาจจะไม่ได้สวยอย่างราชินีจิ้งจอก แต่เธอดูเยือกเย็นและชาญฉลาด มันเป็นอะไรที่น่าประทับใจ มันเหมือนกับว่าทุกสิ่งในโลกสะท้อนอยู่ในดวงตาที่เหมือนกับทะเลสาบของเธอ
กัปตันของสถานีอวกาศยืนอยู่ข้างๆผู้หญิงคนนั้น เขาเอนตัวลงมาหาเธอและพูด
“มิสเตอร์มิร์เรอร์จะขออะไรข้าก็ได้ ข้าจะทำทุกสิ่งที่มิสเตอร์มิร์เรอร์ต้องการ”
“ข้าแค่อยากจะอยู่ที่นี่เงียบๆ ข้าทำแบบนั้นได้ใช่ไหม กัปตัน” ผู้หญิงคนนั้นตอบด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอนอยู่แล้ว พวกเจ้ายังรออะไรกันอยู่อีก? ออกไปให้หมด! เร็วเข้า! รีบออกไปให้หมด!” กัปตันรีบไล่คนงานทั้งหมดที่อยู่ในห้องควบคุมออกไป
“มิสเตอร์มิร์เรอร์ยังต้องการอะไรอย่างอื่นอีกไหม?”
หลังจากที่กัปตันไล่ทุกคนออกไปแล้ว เขาก็ยืนยิ้มอย่างประจบอยู่ตรงหน้าผู้หญิงคนนั้น
ผู้หญิงคนนั้นเพียงแค่มองรอยยิ้มของกัปตัน เธอไม่ได้พูดอะไร
สีหน้าของกัปตันเปลี่ยนไปเมื่อรู้ว่าเธอหมายความว่ายังไง เขารีบเดินไปที่ประตูหลังและหันกลับมาโค้งคำนับด้วยรอยยิ้ม
“เชิญมิสเตอร์มิร์เรอร์ตามสบาย ข้าจะไม่ให้ใครเข้ามารบกวนเด็ดขาด”
หลังจากที่ออกไปแล้ว กัปตันก็ปิดประตูอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดัง เขาไม่ต้องการจะรบกวนผู้หญิงคนนั้น
ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนเดียวที่ยังอยู่ภายในห้องควบคุม แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสง่างาม
“ไป๋เวยนะ ไป๋เวย ทำไมเจ้าถึงได้ทำแบบนี้?” ผู้หญิงคนนั้นมองไป๋เวยที่ตรงเข้าไปที่สุสานทหารและกษัตริย์ เธอถอนหายใจและส่ายหัว
ไม่นานหลังจากนั้นเธอก็หันไปสนใจหานเซิ่นที่กำลังเดินทางไปกับไป๋เวย
หลังจากผ่านไปสักพัก เธอก็พูดกับตัวเอง “ในที่สุดราชินีแห่งมีดก็รับลูกศิษย์มาคนหนึ่ง เขาฝึกฝนอยู่ในปราสาทนภาหลายปีและกลับมาที่แนร์โรว์มูนเมื่อถึงระดับมาร์ควิส หลังจากนั้นเขาก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นอัศวินสำรองของหน่วยอัศวินไอซ์บลู เขาได้รับขนนกเทพเจ้ามาจากข่งเฟย สภาพแวดล้อมนั้นเป็นใจต่อเขามากๆ แต่เขามีศักยภาพที่แย่ คริสตัลไลเซอร์เป็นเผ่าพันธุ์ชั้นต่ำที่พึ่งพาพลังของเทคโนโลยี พลังของพวกเขาอ่อนแอและยีนของพวกเขาก็ไม่ดี มันเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะกลายเป็นระดับเทพเจ้าได้ มันอาจจะเป็นเรื่องดีที่ไป๋เวยมีใครสักคนเคียงข้าง แต่การให้เขาเป็นราชองครักษ์จะเป็นการใช้ความพยามมากเกินไปแลกกับค่าตอบแทนเพียงน้อยนิด”
หานเซิ่นตามไป๋เวยเข้าไปในสุสานทหารและกษัตริย์ ทั้งดวงดาวนั้นคือสุสาน และมันก็มีป้ายหลุมศพผุดขึ้นมาจากพื้นดินทุกหนทุกแห่งที่พวกเขามองออกไป
แต่สิ่งที่ถูกฝังอยู่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต พวกมันเป็นอาวุธซีโน่เจเนอิค
หานเซิ่นไม่ได้สนใจอาวุธซีโน่เจเนอิคนัก เนื่องจากเขามีธันเดอร์ก็อตสไปค์และมีดเขี้ยวผีสิงอยู่แล้ว
เขาอยากได้วิญญาณอสูรระดับเทพเจ้ามากกว่า
อาวุธซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าอย่างธันเดอร์ก็อตสไปค์ไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากสำหรับหานเซิ่น เพราะแทนที่จะสร้างความเสียหายให้กับอีกฝ่าย มันกลับทำได้แค่ทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในสภาพเป็นอัมพาตเท่านั้น
แถมอาวุธซีโน่เจเนอิคอย่างธันเดอร์ก็อตสไปค์นั้นถ้าไม่ถูกใช้โดยยอดฝีมือระดับราชันหรือเทพเจ้าแล้วล่ะก็ ประสิทธิภาพของมันก็จะลดลงไปอย่างมาก
หานเซิ่นและไป๋เวยลงมาถึงลานกว้างของสุสานทหารและกษัตริย์ ทั้ง 2 ด้านของลานกว้างมีอสูรทองแดงอยู่ด้านละ 9 ตัว ในจังหวะที่หานเซิ่นเหยียบลงบนลานกว้าง อสูรทองแดงทั้ง 18 ตัวก็มีชีวิตขึ้นมา
แต่ดูไม่เหมือนว่าพวกมันจะจู่โจมหานเซิ่นและไป๋เวย พวกมันเปิดปากและพ่นอาวุธอย่างหนึ่งออกมาที่ลานกว้าง
อาวุธทั้ง 18 อันแตกต่างกันออกไป และพวกมันทั้งหมดก็วางอยู่ตรงหน้าอสูรเฝ้าสุสานแต่ละตัว
ไป๋เวยตั้งท่าเตรียมต่อสู้เรียบร้อยแล้ว เธอพูดกับหานเซิ่น
“อาวุธแต่ละอันจะโจมตีพวกเราครั้งหนึ่ง พวกเราต้องใช้พลังของตัวเองเพื่อปัดป้องการโจมตีนั้น ถ้าพวกเราทำได้ พวกเราก็จะได้รับสิทธิ์ให้เข้าไปในสุสานทหารและกษัตริย์เพื่อเก็บอาวุธหนึ่งอย่างมา แต่พวกเราจะใช้สมบัติซีโน่เจเนอิคอะไรไม่ได้ ถ้าพวกเราใช้ มันจะถือว่าพวกเราไม่ผ่านการทดสอบ”
ขณะที่ไป๋เวยพูด หอกเล่มหนึ่งก็เริ่มรวบรวมพลัง เปลวไฟสีดำอาบอาวุธนั้นราวกับว่าปีศาจที่ลุกเป็นไฟกำลังถือหอกนั่นอยู่ มันแทงเข้ามาหาหานเซิ่นและไป๋เวย
“ข้าจะป้องกันการโจมตี 9 ครั้งแรก ส่วนเจ้าป้องกันการโจมตี 9 ครั้งหลัง” ไป๋เวยพูดขณะที่เตรียมตัวรับการโจมตีของหอก
แต่หานเซิ่นก้าวมาข้างหน้าไป๋เวย เขายิ้มและพูด
“ให้ข้าเริ่มก่อน และเมื่อข้ารับการโจมตีไม่ได้อีกแล้ว เจ้าค่อยรับการโจมตีต่อจากข้า”
ขณะที่หอกพุ่งเข้ามาราวกับมังกรปีศาจ หานเซิ่นก็ใช้ร่ายกายหยกชกหมัดออกไปใส่ปลายหอก
ผู้หญิงในห้องควบคุมขมวดคิ้ว ขณะที่เธอเห็นหานเซิ่นชกหมัดเข้าหาหอก
“อาวุธทั้ง 18 ไม่ได้แค่ทดสอบพลังของคนในราชวงศ์เพียงอย่างเดียว มันยังจะช่วยสอนพวกเขาว่าพลังที่แตกต่างจำเป็นต้องใช้การตอบโต้เฉพาะทาง นั่นคือหนทางที่จะผ่านการทดสอบ หานเซิ่นคิดจะใช้ไฟสู้กับไฟ ถึงแม้เขาจะป้องกันการโจมตีของหอกได้ แต่ตัวเขาเองก็จะได้รับความเสียหายไปด้วย เมื่อเขาพยายามจะรับการโจมตีของอาวุธอื่น มันก็จะเป็นภาระที่หนักหนาขึ้นเรื่อยๆ หานเซิ่นเป็นคนที่แข็งแกร่ง แต่เขาขาดสมอง ผู้ชายที่บุ่มบ่ามแบบนี้ ข้าไม่รู้เลยว่าเขาได้รับสมญานามแบบเดียวกับไผ่เดียวดายได้ยังไง”
เมื่อผู้หญิงคนนั้นกลับไปมองที่หน้าจอ หมัดของหานเซิ่นก็ปะทะกับปลายของหอกมังกรปีศาจ
ตูม!
ภายใต้แรงของหมัด ร่างของมังกรปีศาจทุกบดขยี้จนกลายเป็นผุยผง