หานเซิ่น อี๋ซาและกิเลนโลหิตถูกครอบด้วยระฆังทองแดงขนาดใหญ่ โซ่สสารสีม่วงของอี๋ซากลายเป็นมีดลมปราณ เธอสะบัดมือเพื่อฟันใส่ผิวของระฆัง แต่มันก็แค่ทำให้มีเสียงดังขึ้นมาเท่านั้น
“ระฆังนี่คืออะไรกัน? ทำไมมันถึงมาอยู่ในท้องของวาฬขาวได้? นี่ซีโน่เจเนอิคใช้งานสมบัติซีโน่เจเนอิคได้ด้วยอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นแปลกใจ
เคร๊ง!
ระฆังร่วงลงไปบนอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นมันก็หยุดเคลื่อนไหว อี๋ซายังคงฟันใส่ระฆังด้วยมีดลมปราณ แต่ทันใดนั้นระฆังก็ยกตัวเองขึ้นจากพวกเขา มันบินไปด้านข้างและปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระ
อี๋ซาใช้พลังของเธอห่อหุ้มหานเซิ่นและกิเลนโลหิตเพื่อปกป้องพวกเขา
เมื่อดูจากทิศทางของระฆัง พวกเขาควรจะกำลังยืนอยู่ในกระเพาะของวาฬขาว ระบบย่อยของซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าไม่ใช่บางสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทั่วไปจะทนได้ แม้แต่ยอดฝีมือระดับราชันก็จะถูกย่อยสลายอย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อหานเซิ่นและอี๋ซามองไปรอบๆ พวกเขาก็อึ้งไป
ที่นี่ไม่ใช่กระเพาะ แต่มันเป็นห้องควบคุมที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง เทคโนโลยีที่อยู่รอบๆพวกเขาเทียบได้กับสิ่งอยู่ในห้องควบคุมของยานรบระดับสูง
สิ่งที่ไม่น่าเชื่อที่สุดก็คือทุกอย่างในห้องควบคุมนั้นโปร่งใส พวกเขามองเห็นภายนอกห้องได้ และความรู้สึกจากภาพที่เห็นเป็นอะไรที่ยากจะอธิบาย
ถึงแม้ภายนอกของมันจะดูเหมือนกับวาฬ แต่จริงๆแล้วมันถูกควบคุมด้วยเครื่องจักร ทุกชิ้นส่วนภายในตัววาฬทำมาจากคริสตัลหลากสีสัน
ทั้งเครื่องปั่น ลูกสูบและการหมุนของเครื่องจักรนาๆชนิดสามารถเห็นได้จากที่ที่พวกเขายืนอยู่
“เจ้าตัวนี้มันคืออะไรกัน?” ครั้งนี้หานเซิ่นแปลกใจจริงๆ
วาฬขาวดูเหมือนกับสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าจากด้านนอก แต่จริงๆแล้วมันเป็นเทคโนโลยีที่น่าพิศวง มันยากที่จะเชื่อได้ว่าเครื่องจักรอันน่าอัศจรรย์แบบนี้จะมีอยู่จริงๆ
อี๋ซามองไปรอบๆด้วยความแปลกใจ ไม่นานดวงตาของพวกเขาก็ไปหยุดอยู่ที่แผงควบคุมของห้องควบคุมหลัก
มีคนๆหนึ่งนั่งอยู่ด้านหลังแผงควบคุม แต่ในตอนนี้มันเหลือเพียงแค่โครงกระดูกที่ยังคงสวมใส่เสื้อผ้าอยู่เท่านั้น
ชุดของคนๆนั้นเป็นสิ่งที่ผลิตขึ้นมาจากเทคโนโลยีชั้นสูง มันไม่ใช่แค่สมบัติชุดเกราะ เมื่อดูจากสไตล์ของชุดแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่จะตัดสินว่าโครงกระดูกนั้นเป็นของผู้ชายหรือผู้หญิง
หลังจากการที่หานเซิ่นและคนอื่นเข้ามาในห้อง ระฆังทองแดงก็ขนาดลดลงอย่างมาก ตอนนี้มันมีขนาดพอๆกับกำปั้นของมนุษย์ และมันก็พักอยู่ตรงนั้นภายในห้องควบคุมหลัก
“เทคโนโลยีแบบนี้มีอยู่ที่อื่นภายในจักรวาลจีโนไหม?”
หานเซิ่นมองไปที่อี๋ซา เขาไม่รู้เลยว่าเผ่าพันธุ์ไหนที่ก่อสร้างเทคโนโลยีที่น่าพิศวงนี้ขึ้นมา
อี๋ซาส่ายหัว “มันมีเทคโนโลยีมากมายที่มีพลังทำลายล้างระดับเทพเจ้า แต่มีน้อยเทคโนโลยีนักที่จะใช้ในการต่อสู้จริงได้ พวกมันใช้เวลานานเกินไปกว่าจะเล็งและยิงออกไป ดังนั้นพวกมันจึงใช้ในการต่อสู้กับยอดฝีมือระดับเทพเจ้าจริงๆไม่ได้ โดยส่วนใหญ่แล้วพวกมันจะถูกใช้ในการโจมตีดวงดาวเท่านั้น เพราะดวงดวงเคลื่อนไหวไม่ได้ ชุดเกราะชีวภาพของมีก้าเองก็เป็นเทคโนโลยีอย่างหนึ่ง พวกมันเป็นอาวุธที่ทรงพลังอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นพวกมันก็แตกต่างไปจากสิ่งที่พวกเรากำลังเห็นอยู่ในตอนนี้”
เห็นได้ชัดว่าอี๋ซาเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเช่นเดียวกัน
‘นี่จะต้องเป็นอีกสิ่งประดิษฐ์หนึ่งของผู้นำของเซเคร็ด เซเคร็ดก้าวหน้าอย่างมากในเรื่องเทคโนโลยี” หานเซิ่นครุ่นคิดขณะที่เขามองไปรอบๆ
เนื่องจากผู้ควบคุมวาฬขาวดูเหมือนจะตายไปแล้ว แล้วอย่างนั้นวาฬขาวยังคงเคลื่อนไหวต่อไปได้ยังไง และอะไรที่ทำให้มันตัดสินใจที่กินกลืนพวกเขาเข้ามาข้างใน?
อี๋ซาเดินเข้าไปหาโครงกระดูก เธอสะบัดมือและหนึ่งในโซ่สสารของเธอก็สลายกลายเป็นหมอกควันสีม่วง หมอกควันลอยออกไปหาโครงกระดูกเพื่อทำการค้นร่าง เธอกำลังมองหาข้อมูลหรือเบาะแสบางอย่าง
แต่ก่อนที่ที่ลมปราณสีม่วงจะสัมผัสกับโครงกระดูกได้ ระฆังทองแดงก็ลอยขึ้นมาจากแท่นที่มันอยู่และครอบลมปราณสีม่วงของอี๋ซาอย่างรวดเร็ว
“ระฆังทองแดงนี้ป้องกันเจ้านายของมันโดยอัตโนมัติ นี่มันเองก็เป็นเทคโนโลยีเหมือนกันหรอเนี่ย?” หานเซิ่นมองไปที่ระฆังทองแดงเก่าๆ
ทันใดนั้นหานเซิ่นและอี๋ซาก็ได้ยินเสียงของเด็กผู้ชาย
“เจ้าน่ะสิเป็นเทคโนโลยี ทั้งครอบครัวของเจ้าเป็นเทคโนโลยี”
“นั่นใครกัน?” หานเซิ่นและอี๋ซาตกใจ พวกเขามองไปรอบๆ แต่พวกเขาสัมผัสถึงตัวตนของใครคนอื่นไม่ได้
มันมีเพียงแค่โครงกระดูกที่นั่งอยู่ในห้องควบคุมหลักเท่านั้น มันทำให้หานเซิ่นและอี๋ซารู้สึกไม่ค่อยสบายใจขึ้นมา
“ไม่มีทาง! นี่พวกเราเจอผีอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นพึมพำออกมาขณะที่มองไปที่โครงกระดูก เขาใช้ออร่าศาสตร์ตงเสวียนเพื่อสแกนโครงกระดูกหลายครั้ง แต่มันก็ไม่มีวี่แววของพลังชีวิต ดังนั้นมันไม่มีทางที่เสียงจะออกมาจากมัน หานเซิ่นจึงคิดได้แค่ว่าพวกเขากำลังพูดคุยอยู่กับผี
“เจ้าน่ะสิเป็นผี ทั้งครอบครัวเจ้าเป็นผี” เสียงของเด็กผู้ชายดังขึ้นมาอีกครั้ง และเสียงนั้นก็ดูโมโห
ครั้งนี้หานเซิ่นและอี๋ซาระบุแหล่งที่มาของเสียงได้ เสียงนั้นดังมาจากระฆังทองแดง
ระฆังทองแดงสั่นไหว สัญลักษณ์ประหลาดเรืองแสงขึ้นมาจากมันและมันก็เปิดดวงตาสีเงินอร่าม
ใต้ดวงตาของมันมีช่องว่างอยู่ มันดูเหมือนกับปากที่เปิดๆปิดๆ
หานเซิ่นจ้องมองไปที่ระฆังทองแดง ตัวระฆังนั้นดูเหมือนจะกำลังสั่นไหวด้วยความโกรธ
“สิ่งของนี้มันคืออะไรกัน?” หานเซิ่นไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองยังไงดี มันไม่มีพลังชีวิต ดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันคงจะเป็นสมบัติซีโน่เจเนอิค แต่ตอนนี้มันกำลังพูดออกมาและก็ดูเหมือนว่ามันจะมีบุคลิกภาพทั้งหมดของสิ่งมีชีวิต
“เจ้าน่ะสิเป็นสิ่งของ ทั้งครอบครัวของเจ้าเป็นสิ่งของ” ระฆังทองแดงดูโกรธยิ่งกว่าเดิม มันกระโดดขึ้นลงขณะที่ตะโกนออกมา
“เจ้าปัญญาประดิษฐ์อย่างนั้นหรอ ดูเหมือนเจ้าจะเป็นแค่ปัญญาประดิษฐ์ถูกๆสินะ เจ้าถึงพูดได้แต่คำพูดเดิมๆ” หานเซิ่นพูดขณะที่มองไปที่ระฆังทองแดงอย่างอยากรู้อยากเห็น
ระฆังทองแดงเริ่มที่จะตะโกน “เจ้าน่ะสิเป็น…”
เสียงของมันตัดขาดไปซะก่อน ถ้ามันยังพูดต่อไป ผู้คนก็จะเชื่อว่ามันเป็นแค่ปัญญาประดิษฐ์จริงๆ
หลังจากที่ตะโกนไปได้ครึ่งหนึ่ง ระฆังทองแดงก็หยุดพูดและสงบสติลงเล็กน้อย หลังจากนั้นมันก็พูดด้วยท่าทางที่ดูอวดดี
“สิ่งมีชีวิตปัญญาต่ำทั้งหลาย ฟังข้าให้ดี! ชื่อเจ้านายของพวกเจ้าคือบิ๊กคิงเบลล์”
หลังจากนั้นบิ๊กคิงเบลล์ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ มันมองไปที่หานเซิ่นและพูด
“เจ้านายของเจ้าไม่ใช่ปัญญาประดิษฐ์”