โลหิตชีพจรของรูปปั้นเฮลล์โกสต์เข้าไปในร่างกายของอี๋ซา ทันใดนั้นลมปราณสีม่วงก็ระเบิดออกมาจากร่างของอี๋ซา มันแข็งตัวกลายเป็นโซ่สสารสีม่วงและพันรอบตัวเธอ
ทุกอย่างที่เธอมีไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องประดับ ชุดเกราะและสิ่งของอื่นถูกทำลายจนไม่เหลืออะไร ขณะที่โซ่สสารพันรอบๆตัวของเธอ ร่างกายที่เหยียดยาวของอี๋ซาก็คดตัวเป็นลูกบอลเหมือนกับลูกอ่อนในครรภ์
เมื่ออี๋ซาถูกห่อหุ้มอย่างปลอดภัยภายในรังไหมสีม่วงแล้ว ทุกอย่างก็เงียบลงไป
…
ภายในปราสาทขนาดใหญ่ ราชินีจิ้งจอก กุนซือไวท์และครามเดินทางต่อไปข้างหน้า แต่จู่ๆราชินีจิ้งจอกก็หยุดเดิน เธอหันมองไปรอบๆและพูด
“กุนซือไวท์ นี่เป็นเส้นทางที่ถูกต้องแน่หรอ? พวกเราเดินทางมาตั้งนานแล้ว แต่ทำไมพวกเรายังอยู่ในปราสาทแห่งเดิม?”
กุนซือไวท์ค่อยๆพูด “นี่จะต้องเป็นด่านทดสอบที่ 4 ของที่นี่ พวกเราจำเป็นต้องผ่านที่นี่เพื่อไปถึงสถานที่เก็บสมบัติ”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะผ่านที่นี่ไปได้ยังไง?” ราชินีจิ้งจอกถามกุนซือไวท์
“ปราสาทนี้ดูเหมือนจะมีพลังธาตุอวกาศคอยป้องกันอยู่ พลังของข้าอ่อนแอเกินไปในที่แห่งนี้ และข้ากลัวว่าอาจจะทำลายการป้องกันไม่ได้ บางทีนี่เป็นบางสิ่งที่ท่านจำเป็นต้องทำ” กุนซือไวท์พูดหลังจากที่ครุ่นคิด
“และข้าจะทำได้ยังไง?” ราชินีจิ้งจอกถามพร้อมกับขมวดคิ้ว
“จากการคำนวณของข้าแล้ว พวกเราต้องเริ่มจากตรงนี้” กุนซือไวท์ชี้ไปที่เสาหินเสาหนึ่ง
ราชินีจิ้งจอกมองไปที่เสาหินและส่งเสียงโอดโอยอย่างไม่ค่อยพอใจ เธอไม่เคลื่อนไหว
…
หานเซิ่นจ้องมองอี๋ซาด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจ กระบวนการวิวัฒนาการเป็นไปได้ด้วยดีกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้
โลหิตชีพจรของรูปปั้นเฮลล์โกสต์ได้ปลุกเลือดของราชาเฮลล์ภายในร่างกายเธอให้ตื่นขึ้นมา พวกมันผสานเข้ากับอี๋ซาที่แข็งแกร่งอยู่แล้ว และเธอก็วิวัฒนาการสู่ระดับเทพเจ้าได้อย่างไม่มีปัญหาอะไรเลย
ในตอนที่ออกมาจากรังไหม อี๋ซาออกมาพร้อมกับชุดเกราะสีม่วง ตัวตนที่โอ่อ่าของเธอบดบังทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆตัว ราวกับว่าเธอเป็นราชินีของทั้งจักรวาล
“ถ้าเจ้ากล้าไปบอกใครเกี่ยวกับเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นล่ะก็ ข้าจะฆ่าเจ้า” อี๋ซาจ้องไปที่หานเซิ่นขณะที่พูด
“ราชินี ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น” หานเซิ่นกระพริบตาอย่างไร้เดียงสา แต่ลึกในใจเขากำลังคิดกับตัวเอง
‘ผู้หญิงนี่แปลกจริงๆ เมื่อครู่เธอยังขอร้องที่จะได้วิวัฒนาการเป็นเทพเจ้าอยู่เลย แต่ตอนนี้หลังจากที่เธอกลายเป็นระดับเทพเจ้าแล้ว เธอก็ยังคงไม่พอใจ! นี่เธอสนใจเรื่องเล็กน้อยอย่างการถูกเห็นร่างกายที่เปื่อยเปล่าจริงๆอย่างนั้นหรอ? ร่างกายที่เปื่อยเปล่าของเธอดูดีจะตาย ทำไมเธอต้องโมโหด้วย?’
อี๋ซาจ้องมองหานเซิ่นเพียงครู่เดียว ก่อนที่เธอจะหันไปอย่างเงียบๆและมองไปที่เครื่องเทเลพอร์ตทั้ง 13 หลังจากนั้นเธอก็พูด
“เจ้าคิดว่าพวกเราจะใช้เครื่องเทเลพอร์ตไหน?”
เห็นได้ชัดว่าอี๋ซาไม่ถนัดในเรื่องแบบนี้ ดูเหมือนเธอจะฝ่าเข้ามาถึงที่นี่ด้วยการลองผิดลองถูก
“ข้าเองก็ไม่ถนัดในการค้นหาเส้นทางที่ถูกต้องเช่นกัน แต่ถ้าให้ข้าเดา ข้าคิดว่าพวกเขาใช้เครื่องเทเลพอร์ตที่ปลายสะพานแห่งชีวิตและความตาย แต่ถึงพวกเราจะเลือกได้อย่างถูกต้องในครั้งนี้ พวกเราก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่ออยู่ดี พวกเราต้องลองดูทุกเส้นทางที่พวกเราเจอ”
หานเซิ่นหยุดคิดไปชั่วครู่ หลังจากนั้นเขาก็พูดต่อ “ราชินี ท่านมาไกลถึงที่นี่ตั้งแต่แรกได้ยังไงกัน?”
อี๋ซาคิดและพูด “ข้าเข้าร่วมกับหน่วยอัศวินไอซ์บลู ในตอนที่ข้ากำลังสำรวจดวงดาวหนึ่งร่วมกับกลุ่มของอัศวิน พวกเราได้ไปปลุกให้ซีโน่เจเนอิคระดับเทพเจ้าที่เรียกว่าอันเดอร์โอเวอร์แบริ่งโดยไม่ตั้งใจ ข้าถูกมันกลืนกินเข้าไป”
“ในตอนแรกข้าคิดว่าจะต้องตาย ข้าถูกกลืนกินเข้าไป และข้ารู้ว่ากระเพาะของมันย่อยได้ทุกอย่าง แม้แต่สิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าก็ถูกย่อยสลายภายในนั้น ในตอนที่ข้าสูญเสียความหวังทั้งหมดนั้น ข้าพบร่องแคบที่ทำให้ข้าหนีออกจากกระเพาะของมันได้ หลังจากเดินทางผ่านถ้ำมากมายและผ่านรูปปั้นที่ถูกทำลาย ข้าได้เข้ามาในปราสาทแห่งหนึ่ง มันคงจะเป็นหนึ่งในปราสาทที่อยู่บนหลังของอันเดอร์โอเวอร์แบริ่ง”
“เดี๋ยวก่อนนะ ท่านจะบอกว่าท่านไม่ได้เป็นคนที่ทำลายรูปปั้นของผู้นำเซเคร็ดอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถามอี๋ซาด้วยความตกใจ
“แน่นอนว่าไม่! พลังของข้าไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำลายอะไรในที่แห่งนี้” อี๋ซาพูด
“ถ้าท่านไม่ได้เป็นคนทำลายรูปปั้น นั่นก็หมายความว่ามีใครบางคนเข้ามาในนี้ก่อนหน้าท่าน ร่องแคบในกระเพาะของอันเดอร์โอเวอร์แบริ่งเองก็อาจจะเป็นฝีมือของเขาเช่นกัน” หานเซิ่นพูดขณะที่ครุ่นคิด
อี๋ซาพยักหน้า “มันก็เป็นไปได้ และเขาก็อาจจะอยู่ที่ไหนสักแห่งภายในนี้”
“อะไรที่ทำให้ท่านคิดแบบนั้น?” หานเซิ่นถามอย่างสงสัย
“ร่องแคบๆในกระเพาะของอันเดอร์โอเวอร์แบริ่งอยู่ได้ไม่นาน ด้วยความรวดเร็วในการพื้นตัวของมัน บาดแผลคงจะสมานตัวในเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์” อี๋ซาพูด
หานเซิ่นขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นเขาก็อาจจะยังอยู่ในนี้จริงๆ แต่ทำไมเขาถึงไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้เลย? ถ้าเขาอยู่ที่นี่ เขาก็ต้องทิ้งร่องรอยบางอย่างที่จะชี้ไปถึงตัวตนของเขาบ้าง แต่นอกจากรูปปั้นที่ถูกทำลายแล้ว ร่องรอยอื่นถูกทิ้งเอาไว้โดยท่านถูกไหม?”
อี๋ซาพยักหน้าและพูด “ใช่ ในตอนที่ข้าสำรวจที่นี่ ข้าไม่เห็นร่องรอยของใครคนอื่นเลย”
“ถ้าเขาเป็นคนที่ทำลายรูปปั้น มันก็แปลกที่เขาไม่เอาเข็มกระดูกที่อยู่ข้างในไป นี่เขาสะเพร่าถึงขนาดที่ไม่หาว่ามีอะไรซ่อนอยู่ข้างในเลยอย่างนั้นหรอ? ยอดฝีมือที่ทรงพลังจะสะเพร่าถึงขนาดนั้นได้ยังไงกัน? มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด” หานเซิ่นพูด
อี๋ซาถอนหายใจ “บางทีเขาอาจจะไม่สนใจเกี่ยวกับสิ่งของภายในสถานที่แห่งนี้?”
หานเซิ่นอึ้งกับคำพูดของอี๋ซา แต่เมื่อเขาลองคิดดูดีๆ มันก็สมเหตุสมผล
“นั่นอาจจะเป็นไปได้! เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งพอจะสร้างรูภายในกระเพาะของอันเดอร์โอเวอร์แบริ่ง บางทีเป้าหมายของเขาอาจจะมีแค่สมบัติสุดท้ายของผู้นำเซเคร็ดเท่านั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ มันก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกเรา”
หานเซิ่นเดินไปบนสะพานแห่งชีวิตและความตาย เมื่อพวกเขามาถึงประตูแห่งแสงและเดินผ่านไป เครื่องเทเลพอร์ก็ส่งพวกเขามาที่ปราสาทแห่งหนึ่งที่ดูเหมือนกับปราสาทอื่นๆ มันมีห้องโถงหลักด้านหน้า ห้องโถง 2 ข้างและห้องโถงอีกห้องด้านหลัง รวมทั้งหมดแล้วมันมีเครื่องเทเลพอร์ตที่แตกต่างกัน 4 เครื่องด้วยกัน
หานเซิ่นมองไปรอบๆและพูด “ข้าคิดว่าพวกเขาออกไปโดยใช้ห้องโถงด้านหลัง”
“เจ้ารู้เรื่องนั้นได้ยังไง?” อี๋ซาถามด้วยความประหลาดใจ
“ข้าเห็นออร่าที่ถูกทิ้งเอาไว้โดยร่างกายของพวกเขา” หานเซิ่นอธิบายอย่างง่ายๆ แต่เขาคิดว่ามันดูน่าสงสัย
ยิ่งคนๆหนึ่งแข็งแกร่งมากเท่าไหน มันก็เป็นไปได้น้อยลงที่พวกเขาจะทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้ และร่องรอยก็จะไม่อยู่ไปตลอด กุนซือไวท์และคนอื่นๆไปจากที่นี่เป็นเวลานานพอสมควรแล้ว ภายใต้สถานการณ์ปกติมันควรจะเป็นเรื่องยากที่หานเซิ่นจะสัมผัสได้ถึงร่องรอยที่พวกเขาทิ้งเอาไว้
ในความจริงแล้วหานเซิ่นไม่เห็นร่องรอยของราชินีจิ้งจอกหรือครามเลย แต่เขาเห็นโมเลกุลที่กุนซือไวท์ทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง
‘บางทีกุนซือไวท์อาจจะทิ้งร่องรอยของเขาเอาไว้อย่างจงใจ?’
หานเซิ่นคาดเดากับตัวเอง ‘แต่เขารู้ได้ยังไงว่าเราจะรอดมาได้? และทำไมเขาต้องทิ้งเบาะแสเอาไว้ให้เรา หรือว่าทั้งหมดนี่จะเป็นแค่กับดัก?’