หลังจากกลับไปที่แนร์โรว์มูน มันทำให้หานเซิ่นไม่มีเวลาว่างไปอีกหลายวัน และเมื่อทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินทางกลับไปที่ดาวอุปราคา
ในช่วงที่เขาไม่อยู่นั้น ซีโร่ หานเมิ่งเอ๋อร์ นางฟ้าและอี๋ซาช่วยดูแลฐานทัพแทนเขา ด้วยเหตุนั้นดาวอุปราคาจึงสงบสุขดี
นอกจากนั้นซีโร่ นางฟ้าและหานเมิ่งเอ๋อร์ยังเพิ่มระดับขึ้นเป็นมาร์ควิสเรียบร้อยแล้ว ซึ่งนั่นเป็นเพราะทรัพยากรจำนวนมากที่อยู่บนดาวอุปราคา
มันมีซีโน่เจเนอิคจำนวนมากอยู่บนดาวอุปราคา แต่ระดับสูงสุดมีแค่ระดับดยุกเท่านั้นและพวกมันก็มีอยู่จำนวนไม่มากเท่าไร ด้วยเหตุนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะวิวัฒนาการเป็นดยุกได้
‘เรามีแค่ดาวอุปราคา ซึ่งมันมีประโยชน์แค่ในการพัฒนาช่วงต้นเท่านั้น ถ้าเราต้องการจะก้าวหน้าต่อไป ดวงดาวนี้ยังไม่เพียงพอ’
หานเซิ่นรู้สึกลำบากใจขึ้นมาเมื่อคิดถึงทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดบนดาวอุปราคา
และไม่ใช่แค่หานเซิ่นคนเดียวที่ต้องการทรัพยากร คนอื่นๆก็ต้องการเช่นกัน ซึ่งถ้ามันมีทรัพยากรไม่เพียงพอล่ะก็ เขาก็จะไม่พาคนอื่นออกมาจากก็อตแซงชัวรี่อีก
ดวงดาวส่วนใหญ่ในจักรวาลจีโนถูกครอบครองหมดแล้ว และความสัมพันธ์ระหว่างแต่ละฝ่ายก็เป็นอะไรที่ซับซ้อนมากๆ เมื่อใครบางคนได้ครอบครองดินแดนแห่งหนึ่ง มันก็จะดึงดูดความสนใจของหลายๆฝ่าย
การไปที่ระบบที่รกร้างก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน เพราะที่นั่นมีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวอาศัยอยู่มากมาย
และถึงเขาจะยึดครองดาวดวงหนึ่งมาได้สำเร็จ มันก็อาจจะถูกแย่งชิงไป ถ้าเขาไม่ได้รับการปกป้องจากเผ่าพันธุ์ที่ใหญ่โต
ตอนนี้หานเซิ่นจึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาไม่สามารถหาทรัพยากรเพิ่มได้ และทรัพยากรที่มีอยู่บนดาวอุปราคาก็ไม่เพียงพอสำหรับเขา
หานเซิ่นครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พักใหญ่ แต่เขาก็ไม่สามารถคิดหาทางออกได้
หานเซิ่นเอนหลังและกุมขมับของตัวเอง แต่เมื่อหันไปเห็นแมลงหินมหาสมุทรที่เป่าเอ๋อกำลังเล่นอยู่ เขาก็จำได้ว่าต้องการจะทดลองอะไรบางอย่างกับมัน
หลังจากนั้นหานเซิ่น เป่าเอ๋อและแมลงหินก็เดินทางไปยังภูเขาไฟที่อยู่ใกล้ๆ
แมลงหินมหาสมุทรนั้นแทบไม่มีพลังโจมตีเลยก็ว่าได้ การเก็บมันเอาไว้กับตัวเองจึงเป็นอะไรที่ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นเมื่อหานเซิ่นเข้าไปในเขตแดนของภูเขาไฟ เขาก็วางแมลงลงใกล้ๆกับลาวา
เมื่อแมลงหินสังเกตเห็นลาวา ดวงตาของมันก็เป็นประกายขึ้นมา ขณะที่พยายามกลิ้งไปข้างหน้า
แมลงหินร่วงลงไปในลาวา และไม่นานหลังจากนั้นมันก็ถูกปกคลุมด้วยชั้นของลาวา หลังจากที่ผ่านไปสักพักลาวาก็ค่อยๆแข็งตัวและกลายเป็นหิน
เมื่อหินที่ห่อหุ้มตัวของเจ้าแมลงกลายเป็นสีดำ แมลงหินก็กลิ้งลงไปในลาวาอีกครั้ง มันทำแบบนี้ซ้ำๆจนกระทั่งมันกลายเป็นลูกบอลที่มีขนาดพอๆกับฝ่ามือ
แต่หานเซิ่นไม่มีอารมณ์จะมองดูมันมากไปกว่านั้น เพราะด้วยความเร็วของมันแล้ว ใครจะรู้ว่ามันต้องใช้เวลาอีกนานสักแค่ไหนก่อนที่เจ้าแมลงจะสร้างภูเขามหาสมุทรขึ้นมาอีกลูก
“รอจนกระทั่งมันใหญ่กว่านี้ซะก่อน ค่อยมาเก็บหินมหาสมุทรไป” หานเซิ่นทิ้งแมลงหินเอาไว้ที่นั่นและกลับไปที่ฐานทัพพร้อมกับเป่าเอ๋อ
เมื่อหานเซิ่นกลับไปถึงฐานทัพ เขาก็ตกใจที่เห็นว่าอี๋ซานั่งรอเขาอยู่ในลานกว้าง ทุกคนภายในฐานทัพแบ่งออกเป็น 2 ฝั่งและเว้นที่ว่างตรงกลางเอาไว้ราวกับว่ามีคนของราชวงศ์เสด็จมาเยี่ยมเยียน
“ราชินีของข้า” หานเซิ่นเข้าไปโค้งคำนับให้กับเธอ ขณะที่จิตใจของเขาพยายามคิดหาคำอธิบายว่าทำไมเธอถึงมาหาเขาที่ดาวอุปราคา
อี๋ซามองเป่าเอ๋อที่ตอนนี้อยู่ในอ้อมแขนของหานเซิ่น
“ไปเดินเล่นกับข้า ข้าอยากจะรู้ว่าตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาเจ้าเรียนรู้เกี่ยวกับที่นี่มากแค่ไหนแล้ว”
หานเซิ่นคิดกับตัวเอง ‘ฉันเพิ่งมาอยู่ที่นี่เมื่อ 2 ก่อน เธอเองน่าจะรู้เกี่ยวกับดาวอุปราคาดียิ่งกว่าที่ฉันรู้’
แต่ถึงหานเซิ่นจะคิดแบบนั้น เขาก็ไม่กล้าพูดออกมา เขารีบพาเธอไปเดินทัวร์รอบๆ
เมื่อพวกเขาเดินไปถึงทะเลสาบมิร์เรอร์ ขณะที่หานเซิ่นกำลังบรรยายเกี่ยวกับมันให้เธอฟัง จู่ๆอี๋ซาก็พูดแทรกขึ้นมา
“หานเซิ่น เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องราวของรีเบทอัลฟ่าไหม?”
“ข้าเคยได้ยินมาแค่นิดหน่อยเท่านั้น” หานเซิ่นตอบหลังจากที่คิดอยู่ชั่วครู่ เขาไม่ได้สนใจอะไรในเผ่าพันธุ์รีเบท ด้วยเหตุนั้นหานเซิ่นจึงไม่ได้ใช้เวลาศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของพวกเขา
แต่ในช่วงเวลาที่อยู่ในแนร์โรว์มูน เขาก็พอจะได้ยินเกี่ยวกับเรื่องราวของรีเบทอัลฟ่าอยู่บ้าง เพราะยังไงซะอัลฟ่าก็เป็นความภาคภูมิของทุกๆเผ่าพันธุ์
อี๋ซายังเดินต่อไปขณะที่พูดขึ้นมา “รีเบทเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นสูงก็จริง แต่เมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์อันยาวนานของจักรวาลจีโนแล้ว พวกเราเป็นแค่เผ่าพันธุ์หน้าใหม่ พวกเรายังต่อกรกับเผ่าพันธุ์ชั้นสูงที่เก่าแก่ไม่ได้ มันถือเป็นความโชคดีที่พวกเรามีอัลฟ่านำทางจนมาถึงจุดนี้ได้ เจ้าไม่รู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของนางอย่างนั้นหรอ?”
“ข้าเคยได้ยินแค่ว่านางมีสายเลือดที่ดียิ่งกว่าเผ่าพันธุ์ที่เก่าแก่” หานเซิ่นตอบ
อี๋ซาหัวเราะ “นั่นเป็นแค่เรื่องที่เผ่าพันธุ์อื่นเล่าต่อกันมา แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเราก็เริ่มเชื่อพวกมันซะเอง”
หลังจากที่หยุดไปชั่วครู่ อี๋ซาก็พูดต่อ “อัลฟ่าของพวกเราเป็นทาสคนหนึ่ง เผ่าพันธุ์เป็นแค่สังคมดั้งเดิม พวกเขาเดินทางออกไปจากดวงดาวดวงหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ วันหนึ่งมีเผ่าพันธุ์ชั้นสูงมาที่ดวงดาวของพวกเราและจับพวกเราไปเป็นทาส หลังจากนั้นอัลฟ่าของพวกเราก็เริ่มท่องเที่ยวไปทั่วกาแล็คซี่เพื่อสะสมวิชาและความแข็งแกร่ง หลังจากที่ผ่านความยากลำบากและทรมานมามากมาย พวกเราก็ได้จุดดวงไฟในจีโนฮอลล์และกลายเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ชั้นสูง แต่เจ้ารู้ไหมว่าหลังจากนั้นนางทำอะไร?”
“นางต้องมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง ไม่อย่างนั้นนางก็คงจะทำเรื่องทั้งหมดนั้นไม่ได้” หานเซิ่นคิดว่าการพูดประจบเป็นอะไรที่ควรจะทำในตอนนี้
อี๋ซายิ้มและพูดต่อ “เมื่อก่อนรีเบทก็เป็นแค่เผ่าพันธุ์ธรรมดา และอัลผ่าของพวกเราก็เป็นแค่สามัญชนคนหนึ่ง ในตอนที่นางเริ่มฝึกฝน นางมีแค่ชุดเกราะจีโนเท่านั้น หลังจากนั้นนางได้รับผลไม้ซีโน่เจเนอิคลูกหนึ่งมา ทำให้นางวิวัฒนาการกลายเป็นบารอนได้สำเร็จ พรสวรรค์แบบนั้นถือเป็นสิ่งสามัญทั่วไปในจักรวาลจีโน มันมีผู้คนเป็นล้านๆที่มีพรสวรรค์แบบนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นนางก็ต้องเป็นคนที่มีความอดทนมากๆสินะ นางต้องมีสติปัญญาและความอดทดเหนือกว่าคนอื่นๆ” หานเซิ่นพูด
อี๋ซาส่ายหัว “นางอาจจะเป็นคนที่ฉลาด แต่นางไม่ชอบความยากลำบาก นางชื่นชอบการนอนหลับและการอาบน้ำ นางคิดค้นพลังเขี้ยวขึ้นมาก็เพราะว่านางขี้เกียจจะโจมตีซ้ำครั้งที่ 2”
หานเซิ่นไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เพราะรีเบทอัลฟ่าฟังดูเหมือนกับผู้หญิงธรรมดามากๆ แต่การที่ผู้หญิงธรรมดาๆคนหนึ่งหนีจากการเป็นทาสและจุดดวงไฟในจีโนฮอลล์ได้สำเร็จเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อมากๆ
“เจ้าสงสัยว่าทำไมอัลฟ่าของพวกเราถึงแข็งแกร่งได้ด้วยนิสัยแบบนั้นใช่ไหม? เจ้าอยากรู้ว่าทำไมคนที่ขี้เกียจแบบนั้นถึงจุดดวงไฟในจีโนฮอลล์และทำให้เผ่าพันธุ์รีเบทกลายเป็นเผ่าพันธุ์ชั้นสูงได้สินะ?” อี๋ซายิ้มให้กับหานเซิ่น
“ข้าสงสัย” หานเซิ่นตอบไปตรงๆ
สีหน้าของอี๋ซาดูซับซ้อน “อัลฟ่าของพวกเราไม่ได้ประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง นางพึ่งพาเอ็กซ์ตรีมคิง”