ก่อนที่หานเซิ่นจะกลับไปที่แนร์โรว์มูน เขายังมีบางสิ่งที่ต้องทำภายในปราสาทนภา ครึ่งเดือนหลังจากที่กลับออกจากเมทัลเวิลด์ หานเซิ่นก็เสร็จสิ้นธุระทั้งหมดและไปพบกับผู้นำของปราสาทนภา
“ไปทิ้งชื่อของเจ้าไว้บนอนุสาวรีย์มหาสมุทร ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ไหนจงจำเอาไว้ว่าเจ้ามีปราสาทนภาเป็นบ้าน” ผู้นำของปราสาทนภาพูด
อนุสาวรีย์มหาสมุทรนั้นกว้างใหญ่มากๆ ดังนั้นมันมีที่ว่างสำหรับสลักชื่อมากมาย
ที่นั่นมีชื่อสมาชิกของปราสาทนภาที่มีชื่อเสียงถูกบันทึกเอาไว้มากมาย เมื่อการฝึกฝนภายในปราสาทนภาของพวกเขาสิ้นสุดลง พวกเขาจะได้รับอนุญาตให้ทิ้งชื่อไว้บนอนุสาวรีย์มหาสมุทร แบบนั้นผู้คนก็จะรับรู้ไปตลอดการว่าพวกเขาเป็นสมาชิกของปราสาทนภา
อี๋ซาเองก็ได้ทิ้งชื่อของเธอเอาไว้บนอนุสาวรีย์มหาสมุทรเช่นกัน และตอนนี้มันก็ถึงเวลาที่หานเซิ่นต้องทิ้งชื่อของเขาเอาไว้ นี่ถือเป็นสิ่งสุดท้ายที่ศิษย์ของปราสาทนภาจะต้องทำ
เมื่อหานเซิ่นไปที่อนุสาวรีย์มหาสมุทร ชาวนภาหลายคนก็มาดู ผู้คนภายในปราสาทนภามีอารมณ์ที่หลากหลาย เมื่อได้เห็นหานเซิ่นเดินทางไปที่อนุสาวรีย์มหาสมุทรเพื่อทิ้งชื่อของตัวเองเอาไว้
ปราสาทนภาเป็นที่อยู่อาศัยของอัจฉริยะมากมาย แต่มีเพียงแค่หานเซิ่นคนเดียวเท่านั้นที่เทียบชั้นได้กับไผ่เดียวดาย ซึ่งมันไม่ใช่ทุกคนที่จะมีพรสวรรค์ระดับนั้น
ผู้คนมากมายคิดว่ามันเป็นอะไรที่น่าเสียดาย เพราะหานเซิ่นเป็นคนที่มีพรสวรรค์ แต่เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้ว มันเป็นเรื่องยากลำบากที่เขาจะเพิ่มระดับขึ้น ทุกคนสามารถมองเห็นในเรื่องนั้นได้
ด้วยความยากลำบากที่จะเพิ่มระดับขึ้น มันจึงยากที่จะบอกได้ว่าในชั่วชีวิตนี้เขาจะไปถึงระดับราชันหรือเปล่า ซึ่งมันจะเป็นอะไรที่น่าเสียดายอย่างมากถ้าเขาไปไม่ถึงขั้นนั้น
แต่ทว่ามันมีบางคนที่คิดว่าเรื่องนั้นเป็นอะไรที่เจริญหูเจริญตา พวกเขามีความสุขที่เห็นว่ามันเป็นเรื่องยากลำบากที่หานเซิ่นจะเพิ่มระดับขึ้นไป พวกเขาหวังว่าตัวเองจะกลายเป็นดยุกได้ก่อนหน้าหานเซิ่นถ้าเป็นไปได้
อนุสาวรีย์มหาสมุทรเป็นเกาะลอยฟ้าที่อยู่ถามกลางก้อนเมฆของปราสาทนภา ทั้งเกาะคือภูเขาลูกหนึ่งที่สูงกว่าหนึ่งหมื่นเมตร ภูเขาสีดำที่สูงใหญ่เป็นภาพที่น่าเกรงขาม มันห้อยอยู่ในอากาศราวกับดาบที่แทงทะลุท้องฟ้า บนพื้นผิวของภูเขานั้นประดับไปด้วยชื่อของผู้คน รอยดาบหรือแม้แต่ภาพวาด
ปราสาทนภาไม่ได้จำกัดว่าให้ทิ้งอะไรเอาไว้บนอนุสาวรีย์มหาสมุทร ก่อนที่พวกเขาจะจากไปนั้น พวกเขาสามารถวาดรูปหรือทิ้งอะไรก็ได้ที่ต้องการ ซึ่งมันจะเป็นสิ่งที่ผู้คนจำจดพวกเขา
แต่การจะทิ้งชื่อเอาไว้บนอนุสาวรีย์มหาสมุทรนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
ชื่อของภูเขานั้นมาจากหินมหาสมุทรซึ่งเป็นวัตถุ เหมือนกับมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ที่ซ่อนสิ่งเล็กน้อยทุกอย่างเอาไว้ภายใต้ความลึกของมัน หินมหาสมุทรสามารถดูดซับคุณสมบัติของธาตุต่างๆเอาไว้ได้ การใช้พลังลงบนหินมหาสมุทรจะไม่มีผลอะไรมาก เนื่องจากหินจะสร้างความต้านทานต่อพลังอะไรก็ตามที่ถูกใช้ใส่ การจะทิ้งชื่อของตัวเองเอาไว้จึงเป็นอะไรที่ปวดหัวสำหรับมาร์ควิสธรรมดาคนหนึ่ง
ด้วยเหตุนั้นหลายคนจึงเลือกจะทิ้งรอยดาบเอาไว้แทน เพราะพวกเขาขาดพลังที่จะทิ้งชื่อของตัวเองเอาไว้
แน่นอนว่ามันมียอดฝีมือมากมายที่สามารถทิ้งชื่อของพวกเขาเอาไว้บนหินมหาสมุทร บางคนเก่งกาจถึงขนาดสลักกลอนเอาไว้บนก้อนหิน
มันมีข้อยกเว้นอยู่ด้วยเช่นกัน ครั้งหนึ่งยอดของภูเขาเคยแหลมคมเหมือนกับเข็ม แต่ยอดแหลม 4 เมตรของมันถูกตัดขาดออกไป ซึ่งคนที่ทำอย่างนั้นก็คืออี๋ซา ในตอนที่เธอต้องจากไปจากที่นี่ มันเป็นหลักฐานว่าครั้งหนึ่งเธอเคยเป็นศิษย์ของปราสาทนภา
ภายหลังหินส่วนนั้นได้ถูกนำกลับไปที่แนร์โรว์มูนโดยอี๋ซา เธอวางยอดของภูเขาเอาไว้บนดาวเบลดอย่างระมัดระวัง เธอเรียกมันว่าภูเขามหาสมุทรน้อยของข้า
หานเซิ่นสังเกตอนุสาวรีย์มหาสมุทรตรงหน้าและคิดว่าควรนำของที่ระลึกติดตัวกลับไปด้วยเช่นเดียวกัน
“ข้าควรจะเอายอดของมันติดตัวกลับไปดีไหมนะ?” หานเซิ่นครุ่นคิดขณะที่มองไปที่ยอดของภูเขา
อี๋ซาได้ตัดส่วนที่แหลมที่สุดของยอดเขาไปแล้ว ตอนนี้ฐานของส่วนที่เธอตัดไปเป็นพื้นที่ราบกว้างประมาท 8 เมตร ซึ่งด้วยความทนทานของหินมหาสมุทร การจะตัดมันอีกครั้งจึงเป็นเรื่องยาก
ในตอนที่อี๋ซาไปจากปราสาทนภา เธอจากไปในฐานะดยุก แต่ตอนนี้หานเซิ่นเป็นแค่มาร์ควิสคนหนึ่ง ด้วยเหตุนั้นถึงแม้หานเซิ่นจะใช้วิชาเบรกซิกซ์สกาย เขาก็ตัดมันออกมาได้เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
แต่เมื่อมาคิดดูอีกที หานเซิ่นก็คิดว่าแบบนั้นจะทำให้เขาดูแย่ เขามาที่นี่เพื่อมอบสิ่งที่น่าจดจำ ไม่ใช่เพื่อขโมยบางสิ่งราวกับหัวขโมย หานเซิ่นคิดว่าตัวเองเป็นคนที่มีอารยธรรม ดังนั้นเขาไม่คิดจะทำอะไรแบบนั้น
แต่เขาก็รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ผิด ถ้าจากไปโดยไม่ได้แสดงพรสวรรค์ที่แท้จริง
ถึงแม้เขาจะไม่สามารถตัดยอดของภูเขาออกมาได้เหมือนกับอี๋ซา แต่เขาก็คิดว่าอย่างน้อยๆควรจะกลับไปพร้อมกับหินก้อนน้อยๆ หินมหาสมุทรเป็นอะไรที่แพงอย่างมาก และมันก็เป็นหนึ่งในวัตถุที่มีความทนทานมากที่สุด
ห้องที่ถูกสร้างจากหินมหาสมุทรจะไม่ถูกเจาะทะลวงง่ายๆ แม้แต่หัวขโมยระดับราชันก็จำเป็นต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อเปิดมันออก หานเซิ่นคิดว่าห้องฝึกและกระสอบทรายที่ทำจากหินมหาสมุทรเป็นอะไรที่สมบูรณ์ที่สุดสำหรับเขา แบบนั้นเมื่อเขาฝึกวิชาจีโนหรือฝึกต่อสู้กับเพื่อน เขาก็ไม่ต้องกลัวจะทำลายฐานทัพของตัวเอง
‘น่าเสียดายที่เราเป็นแค่มาร์ควิสคนหนึ่ง ถ้าเราเป็นราชันคนหนึ่งล่ะก็ เราคงจะตัดครึ่งหนึ่งของภูเขาและเอาติดตัวกลับไปด้วย ปราสาทนภามีทรัพยากรจำนวนมาก แม้แต่ภูเขานี้ก็เป็นเพียงแค่อนุสาวรีย์เท่านั้น ดังนั้นพวกเขาคงจะไม่ว่าอะไร ถ้าเราเอาครึ่งหนึ่งของมันไป แต่มันน่าเสียดายที่เรายังอ่อนแอเกินไปที่จะทำแบบนั้น เราคงจะทำได้แค่ตัดมันออกมาบางส่วนเท่านั้น’ หานเซิ่นคิด
‘ช่างเถอะ อย่างน้อยๆมันก็ดีกว่าไม่ได้อะไรกลับไปเลย’
หานเซิ่นคิดต่อไป “และถึงเราจะได้มันกลับไปแค่ชิ้นเดียว แต่อย่างน้อยๆเราก็ควรเอามันกลับไปให้มากที่สุด เพราะยังไงซะนี่ก็เป็นโอกาสเดียวของเรา”
เมื่อคิดได้อย่างนั้นม่านตาสีดำของหานเซิ่นก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงก่อนที่แยกออกเป็น 4 กลีบในดวงตาของเขา
หานเซิ่นมองไปที่ภูเขามหาสมุทรเพื่อหาจุดไหนที่เป็นจุดที่ดีที่สุดที่เขาจะโจมตี
ผู้นำของปราสาทนภามองดูหานเซิ่นด้วยความรู้สึกกังวล ในตอนที่อี๋ซากำลังจะจากไปนั้น เธอก็จ้องมองภูเขาอย่างเอาจริงเอาจังเหมือนกับที่หานเซิ่นกำลังทำอยู่ในตอนนี้
“โชคดีที่เขาเป็นแค่มาร์ควิสเท่านั้น ถ้าเขาจากไปในฐานะดยุกเหมือนกับอี๋ซาล่ะก็ ข้ากลัวว่าหินมหาสมุทรก้อนใหญ่คงจะหายไปจากภูเขามหาสมุทร แต่นี่คงจะไม่เป็นอะไร” ผู้นำของปราสาทนภาพูดกับตัวเอง