หานเซิ่นคิดว่าจะมีเวลาว่างหลังจากที่ทำการบรรยายเสร็จแล้ว แต่เขาถูกเรียกตัวไปเข้าพบโดยเหล่าผู้อาวุโส ที่นั่นเขาได้รับมอบหมายให้นำทีมไปออกสำรวจซีโน่เจเนอิคสเปชที่เพิ่งถูกค้นพบใหม่ เขาได้รับคำสั่งให้สำรวจที่นั่นและหาทรัพยากรกลับมาถ้าเป็นไปได้
เนื่องจากซีโน่เจเนอิคสเปชเมทัลเวิลด์มีแค่คนที่อยู่ในระดับมาร์ควิสหรือต่ำกว่าเท่านั้นที่จะเข้าไปได้ ด้วยเหตุนั้นไผ่เดียวดายจึงเป็นคนที่ถูกเลือกให้นำทีมไปที่นั่น แต่เนื่องจากตอนนี้ไผ่เดียวดายกำลังฝึกอยู่ภายในถ้ำวิถีทางที่ถูกซ่อน ทำให้ผู้อาวุโสเลือกหานเซิ่นแทน ข้อมูลเกี่ยวกับซีโน่เจเนอิคสเปชที่หานเซิ่นได้รับมีเพียงแค่ข้อมูลผิวเผิน และชื่อเมทัลเวิลด์ก็เป็นแค่ชื่อชั่วคราวเท่านั้น หานเซิ่นยังได้รู้อีกว่ามันไม่ได้แค่เผ่านภาที่ค้นพบถึงการมีอยู่ของมัน ดังนั้นทีมจากเผ่าพันธุ์อื่นจึงถูกส่งไปสำรวจที่นั่นล่วงหน้าแล้ว
จากข้อมูลที่เขาได้รับ มันมีทีมของทั้งดราก้อน เดม่อน เดสทรอยเยอร์หรือแม้แต่บุดด้า พวกเขาทั้งหมดอยู่ในเมทัลเวิลด์ และตอนนี้ทางปราสาทนภาก็ส่งทีมสำรวจไปร่วมด้วยเช่นกัน มันจึงเป็นไปได้สูงที่มันจะกลายเป็นสถานการณ์ที่ซับซ้อน
หานเซิ่นไม่มีเวลาเตรียมตัวมากนัก ก่อนที่ผู้อาวุโสของปราสาทนภาจะพาพวกเขาเดินทางไป มันมีศิษย์ของปราสาทนภาระดับมาร์ควิสหนึ่งร้อยคนติดตามไปด้วยเช่นกัน
การเดินทางไปที่เมทัลเวิลด์ถูกควบคุมโดยผู้อาวุโส แต่หลังจากที่พวกเขาเข้าไปในเมทัลเวิลด์ มาร์ควิสทุกคนจะรับคำสั่งจากหานเซิ่น
และถึงหานเซิ่นจะเป็นแค่เอิร์ลคนหนึ่ง แต่เขาก็เป็นที่นับถือโดยผู้คนในปราสาทนภา ด้วยเหตุนั้นมันจึงไม่มีใครคัดค้านที่หานเซิ่นได้รับตำแหน่งเป็นหัวหน้า
ก่อนที่จะเข้าไปในเมทัลเวิลด์ ผู้อาวุโสได้มอบข้อมูลเกี่ยวกับมาร์ควิสใต้บังคับบัญชาให้กับหานเซิ่น หลายคนในหมู่พวกเขาถูกทำเครื่องหมายเอาไว้เพื่อบอกว่าพวกเขามีพลังพิเศษอะไร
หานเซิ่นนำมาร์ควิสหนึ่งร้อยคนเข้าไปในเมทัลเวิลด์ ซีโน่เจเนอิคสเปชนี้เป็นดวงดาวที่มีพลังประหลาดแผ่รังสีออกมา พลังนั้นป้องกันไม่ให้สิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าระดับมาร์ควิสเข้าไปข้างใน
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดเกี่ยวกับเมทัลเวิลด์คือมันเป็นดวงดาวที่มีคุณสมบัติแม่เหล็กพิเศษอยู่ วัตถุโลหะจะถูกดูดเข้ามาที่ดวงดาวแห่งนี้ ด้วยเหตุนั้นเครื่องมือที่ทำจากโลหะจึงไม่สามารถใช้งานได้
เมื่อมองดวงดาวจากภายนอกจะเห็นแต่พายุแม่เหล็กอันบ้าคลั่งที่ปกคลุมทั้งดวงดาว แต่เมื่อหานเซิ่นและคนอื่นผ่านเข้าไปข้างในแล้ว ภาพของดวงดาวที่เต็มไปด้วยสีสันก็ปรากฏขึ้นให้เห็น
แต่เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้มากพอที่จะเห็นได้อย่างชัดเจน พวกเขาก็เข้าใจในทันทีว่าทำไมที่นี่ถึงได้ถูกเรียกว่าเมทัลเวิลด์ ทั้งภูเขาและพืชในที่แห่งนี้ต่างเป็นโลหะทั้งหมด
การได้เห็นภูมิประเทศทั้งหมดทำขึ้นมาจากโลหะเป็นอะไรที่แปลกเล็กน้อย แต่ที่แปลกยิ่งกว่านั้นคือการที่สิ่งมีชีวิตหรือพืชก็เป็นโลหะเช่นกัน
“ศิษย์พี่อวี้เอียะ พวกเราจะเริ่มสำรวจจากที่ไหนก่อนดี?” หานเซิ่นถามอย่างมีมารยาท
อวี้เอียะถูกนับถือในบรรดามาร์ควิสของปราสาทนภา และเขาก็เป็นรองแค่ไผ่เดียวดายเท่านั้น เขาถือเป็นพวกพ้องที่แข็งแกร่งที่สุดในตอนนี้ของหานเซิ่นเลยก็ว่าได้ แถมเขาก็มักจะเป็นคนนำทีมสำรวจซีโน่เจเนอิคสเปชที่ถูกค้นพบใหม่อยู่บ่อยๆเช่นกัน เขาจึงมีประสบการณ์ในเรื่องนี้
อวี้เอียะมองไปที่ผิวของดวงดาว หลังจากนั้นเขาก็หันมาพูดกับหานเซิ่น
“พวกเราไม่รู้ว่าศูนย์บัญชาการของเผ่าพันธุ์อื่นตั้งอยู่ที่ไหน แต่พวกเขาต้องเห็นพวกเราขณะที่เดินทางเข้ามา ดังนั้นการสำรวจดวงดาวจึงยังไม่ใช่เป้าหมายหลักของพวกเรา ในตอนนี้การหาเผ่าพันธุ์อื่นหรือบริเวณที่ปลอดภัยเพื่อจัดตั้งศูนย์บัญชาการถือเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า”
“ศิษย์พี่อวี้เอียะพูดถูก! ข้าไม่ได้ไตร่ตรองให้ดี พวกเราควรจะตั้งแค้มป์กันที่ไหนดี? ศิษย์พี่อวี้เอียะคิดว่าที่ไหนเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับพวกเรา?” หานเซิ่นถาม
เมื่อเห็นว่าหานเซิ่นสนใจในความเห็นของคนอื่นจริงๆ อวี้เอียะก็ชี้ไปที่มาร์ควิสคนหนึ่งและพูดกับหานเซิ่น “เจ้าอาจจะต้องไปถามศิษย์น้องยวิ๋นอี้ เขาถนัดในเรื่องแบบนี้”
“ศิษย์พี่ยวิ๋นอี้คิดยังไง?” หานเซิ่นรู้ว่าเรื่องพวกนี้ควรจะให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นคนจัดการ ทางปราสาทนภาอาจจะให้เขาเป็นคนนำทีมก็จริง แต่การเป็นผู้นำหมายถึงการใช้กองกำลังที่เขามีอย่างเต็มประสิทธิภาพ ไม่ใช่ทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว มันเป็นหน้าที่ของเขาที่จะเรียนรู้ถึงจุดเด่นของสมาชิกแต่ละคน เพื่อที่เขาจะได้จัดสรรงานให้สมาชิกทุกคนได้อย่างเหมาะสม
มันยังมีปัจจัยหลายอย่างที่เขาไม่รู้ เขาอาจจะหนีไปได้ถ้าเกิดเจอเข้ากับปัญหา แต่เขาไม่สามารถกลับไปโดยที่ทิ้งให้มาร์ควิสทั้งร้อยคนนั้นตายกันหมด แถมมันยังมีอันตรายจากเผ่าพันธุ์อื่นอีกด้วย ซึ่งฝ่ายอื่นๆมาถึงที่นี่สักพักหนึ่งแล้ว ทำให้ทีมของหานเซิ่นเสียเปรียบกว่ากลุ่มอื่นๆ
ขณะที่หานเซิ่นเริ่มจัดสรรหน้าที่ให้กับสมาชิกแต่ละคน เขาก็ได้รับรู้ว่ามันมีอัจฉริยะมากมายภายในปราสาทนภา แต่ละคนมีเรื่องที่ตัวเองถนัด พวกเขาจัดตั้งแค้มป์บนเมทัลเวิลด์และเริ่มสำรวจบริเวณรอบๆอย่างรวดเร็ว พวกเขายังจัดตั้งระบบเตือนภัยขึ้นมาเพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ
แต่ที่ทำให้หานเซิ่นประหลาดใจมากที่สุดคือการอุทิศตนของทีม พวกเขาทุกคนออกค้นหาและสำรวจทุกสิ่งทุกอย่างในระยะหนึ่งร้อยไมล์อย่างไม่ย่อท้อ แต่ทว่านอกจากสัตว์และพืชโลหะแล้ว มันไม่มีร่องรอยของซีโน่เจเนอิคอยู่เลย พวกเขาไม่เห็นมาร์ควิสที่ถูกส่งมาจากเผ่าพันธุ์อื่นเช่นกัน
มันไม่มีกลางวันกลางคืนบนดวงดาวแห่งนี้ และสภาพแวดล้อมก็ไม่เป็นมิตรต่อการใช้ชีวิตมากนัก แต่ทีมของปราสาทนภาที่ถูกส่งมานั้นเป็นมาร์ควิสทั้งหมด ดังนั้นสภาพแวดล้อมที่แย่จึงไม่ได้ส่งผลต่อพวกเขา
พายุแม่เหล็กบนท้องฟ้ายังคงบ้าคลั่งต่อไป สายฟ้าแว็บไปมาบนท้องฟ้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้บนผิวของดวงดาวสว่างไสวยิ่งไปกว่าดวงอาทิตย์ทั่วๆไป
ขณะหานเซิ่น อวี้เอียะและมาร์ควิสคนอื่นๆกำลังพูดคุยกันเกี่ยวกับการขยายพื้นที่สำรวจ ทันใดนั้นพายุแม่เหล็กเปลี่ยนสีไป พายุแม่เหล็กสีฟ้าเปลี่ยนไปเป็นเฉดสีชมพูที่สวยงาม
ทันใดนั้นก็มีเสียงกึกก้องเริ่มดังเข้ามาในหูของพวกเขา ป่าโลหะที่อยู่ใกล้เคียงเริ่มจะสั่นไหวราวกับว่ามันกำลังประสบกับแผ่นดินไหว
ไม่นานหลังจากนั้นแรดโลหะที่สูงกว่าสิบเมตรก็ปรากฏตัวออกมาจากป่าโลหะ และมันไม่ใช่แค่ตัวเดียวเท่านั้น มันยังมีอีกหลายตัวตามมาจากด้านหลัง ไม่นานมันก็มีแรดโลหะเป็นพันๆตัววิ่งออกมาจากป่าและมุ่งหน้าไปที่แม่น้ำ
หานเซิ่นดีใจที่ฟังยวิ๋นอี้และหลีกเลี่ยงการตั้งแค้มป์ใกล้แม่น้ำ เพราะในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย การต่อสู้กับพวกมันดูไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก
ยวิ๋นอี้มองไปที่แรดโลหะและพูด “พวกมันเป็นเหมือนกับก้อนโลหะที่มีชีวิต เมื่อดูจากพลังชีวิตของพวกมันแล้ว พวกมันน่าจะมีพละกำลังในระดับมาร์ควิสเป็นอย่างน้อย ข้าไม่รู้ว่าพวกมันเป็นซีโน่เจเนอิคหรือไม่ แต่พวกมันดูไม่ฉลาดเท่าไหร่”
“แปลกจริงๆ พวกเราไม่เคยเห็นพวกมันมาก่อนในการสำรวจ พวกมันมาจากที่ไหนกันแน่?” ไวท์เรียลขมวดคิ้วด้วยความสับสน