Super God Gene – ตอนที่ 2073

ความเป็นไปได้ของมีดขนนกโลหิต

หลังจากกลับไปที่เกาะ หานเซิ่นก็คิดหาวิธีที่จะจับคลาวด์บีสต์สีแดงตัวนั้นอยู่เป็นเวลานาน มันมีความเป็นไปได้ที่พลังในการทำให้ศัตรูกลายเป็นหินอาจจะได้ผลกับคลาวด์บีสต์ตัวนั้น

 

แต่คลื่นกระแทกของเขาคงจะไล่ตามความเร็วของเจ้าคลาวด์บีสต์สีแดงไม่ทัน และถึงหานเซิ่นจะเทเลพอร์ตไปอยู่ข้างๆมัน เจ้าคลาวด์บีสต์ก็ตอบสนองได้เร็วพอที่จะหลีกเลี่ยงคลื่นกระแทกของเขาได้

 

แถมพลังก็เป็นสิ่งที่เขาได้รับจากการดูดซับยีนซีโน่เจเนอิคกลายพันธุ์เข้าไป ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาจำเป็นต้องทำตามหลักการของมันอย่างเข้มงวด เขาไม่สามารถใช้มันร่วมกับมีดเส้นไหมได้

 

หานเซิ่นหมกมุ่นกับการคิดหาหนทางที่จะจับคลาวด์บีสต์จอมอวดดีตัวนั้น

 

พลังเต่าเองก็ไม่ได้ผลเช่นกัน หานเซิ่นเคยลองใช้ดูแล้ว แต่เมื่อรูปเต่าปรากฏขึ้นบนร่างก้อนเมฆของมัน มันก็แค่ต้องปล่อยเมฆส่วนนั้นออกไป ซึ่งพลังเต่าก็จะหลุดออกไปด้วย

 

‘ถ้ากายหยกของเรามีพลังในการแช่แข็ง และเราใส่พลังเข้าไปในมีดเส้นไหม เราก็อาจจะจับตัวของมันขณะเป็นก้อนน้ำแข็งได้ แต่ถึงแสงเทพของกายหยกจะมีพลังธาตุน้ำแข็งอยู่ มันกลับไม่มีพลังในการแช่แข็งนี่สิ’ หานเซิ่นเริ่มที่จะรู้สึกท้อแท้

 

เขายังไม่สามารถคิดหาหนทางที่จะจับตัวของคลาวด์บีสต์สีแดงตัวนั้นได้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรอจนกระทั่งคิดหาวิธีอะไรดีๆได้

 

วันต่อมา หานเซิ่นเดินทางไปเยี่ยมเยือนผู้อาวุโสสิบ หานเซิ่นไม่ได้ไปหาเขาโดยเฉพาะ แต่หานเซิ่นไปที่นั่นเพื่อพบกับยวิ๋นซู่อี

 

เขาดูดซับรอยเลือดบนใบมีดเข้าไปทั้งหมดแล้ว ทำให้มันกลับคืนสภาพเดิม ตอนนี้มันกลายเป็นสมบัติระดับครึ่งเทพ ซึ่งถ้าสกัดอีกหน่อยมันก็อาจจะกลายเป็นอาวุธระดับเทพเจ้าเต็มตัว

 

หานเซิ่นต้องการแลกเปลี่ยนมีดขนนกโลหิตกับมีดเขี้ยวผีสิง ด้วยเหตุนั้นเขาจึงต้องการไปคุยกับยวิ๋นซู่อี

 

แต่เมื่อหานเซิ่นลองคิดดูอีกที ถึงแม้ยวิ๋นซู่อีจะเป็นเจ้าของมีดเล่มนี้ แต่เขาก็ควรจะไปพูดกับยวิ๋นฉางคงพ่อของเธอด้วย เพราะถ้ายวิ๋นฉางคงไม่สามารถสกัดให้มันกลายเป็นอาวุธระดับเทพเจ้าเต็มตัว บางทีเขาอาจจะต้องขอความช่วยเหลือจากผู้นำของปราสาทนภา

 

เมื่อหานเซิ่นไปถึงเกาะของตระกูลยวิ๋น ทั้งยวิ๋นซู่อีและยวิ๋นซู่ซางก็อยู่ที่นั่นทั้งคู่ ส่วนกระเรียนพันขนออกไปล่าซีโน่เจเนอิคและยังไม่กลับมา

 

“ซู่อี ขอบคุณเจ้ามากที่ให้ข้ายืมมีดขนนกโลหิต ข้านำมันมาคืนให้กับเจ้า แต่ว่ามันมีเรื่องบางอย่างที่ข้าจำเป็นต้องบอกเจ้า”

หานเซิ่นนำมีดออกมาแสดงต่อหน้ายวิ๋นซู่อี “ข้าได้ดูดซับเลือดซีโน่เจเนอิคบนมีดเข้าไป ขอโทษด้วยที่ข้าไม่ได้บอกให้เจ้ารู้เร็วกว่านี้”

 

ทั้งยวิ๋นซู่อีและยวิ๋นซู่ซางต่างก็ตกตะลึง มีดขนนกโลหิตมีชื่อเสียงก็เพราะรอยเลือดที่ขัดขวางมันจากการกลายเป็นอาวุธระดับเทพเจ้า ถ้าหานเซิ่นลบล้างรอยเลือดออกไปแล้วจริงๆ มันก็มีโอกาสที่มีดจะกลายเป็นอาวุธระดับเทพเจ้าอีกครั้ง

 

ยวิ๋นซู่อีรับมีดกลับมาและตรวจดูอย่างละเอียด รอยเลือดหายไปแล้วจริงๆ และใบมีดก็ดูสะอาดเหมือนกับขนนกที่มันเงา

 

“เจ้าทำแบบนั้นได้ยังไง?” ยวิ๋นซู่อีถามหานเซิ่นด้วยความแปลกใจ

 

เฟเธอร์ใช้ทุกวิธีเพื่อจะลบล้างรอยเลือดออกไปจากมีด แต่ความพยายามทุกครั้งของพวกเขาก็จบลงด้วยความล้มเหลว ถ้าพวกเขารู้ว่าการลบรอยเลือดออกเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ พวกเขาก็คงจะไม่มอบมีดเล่มนี้ให้คนอื่นแน่ หานเซิ่นดูเหมือนจะมีพลังแค่ระดับมาร์ควิสเท่านั้น ดังนั้นเธอไม่รู้เลยว่าเขาทำแบบนี้ได้ยังไง

 

“เลือดบนมีดเล่มนี้เข้ากันได้ดีกับวิชาจีโนของข้า ดังนั้นข้าจึงดูดซับมันเข้าไปได้” หานเซิ่นอธิบาย

 

“ถ้าพวกเฟเธอร์รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ล่ะก็ พวกเขาคงจะโกรธมาก” ยวิ๋นซู่ซางพูดและถอนหายใจออกมา

 

“ทั้งหมดขึ้นอยู่กับดวง” หานเซิ่นพูดด้วยรอยยิ้ม

 

ยวิ๋นซู่อีนำมีดเขี้ยวผีสิงออกมาจากเอวและส่งมันคืนให้กับหานเซิ่น แต่นิ้วของเธอจับมันค้างเอาไว้สักพักก่อนที่จะปล่อยมือจากมัน ดูเหมือนว่าเธอจะคิดถึงมัน

“ข้าเพิ่งใช้มันได้เพียงไม่นาน ไม่อยากเชื่อเลยว่าข้าต้องคืนมันกลับไปแล้ว”

 

“แต่ตอนนี้เจ้ามีขนนกโลหิต ซึ่งมันเหนือกว่ามีดเขี้ยวผีสิงนี่ซะอีก” หานเซิ่นพูดขณะที่รับมีดเขี้ยวผีสิงกลับมา

 

มีดขนนกโลหิตนั้นแข็งแกร่ง แต่หานเซิ่นถนัดใช้มีดเขี้ยวผีสิงมากกว่า เพราะมันเข้ากันได้ดีกับความสามารถของเขา

 

“มันแตกต่างกัน” ยวิ๋นซู่อีส่ายหัว แต่เธอไม่ได้พูดอะไรอีก เธอดูจะไม่ดีใจเกี่ยวกับศักยภาพของมีดขนนกโลหิตเท่าไร

 

เป็นอย่างที่หานเซิ่นคาดคิด ยวิ๋นฉางคงนำมีดขนนกโลหิตไปหาผู้นำของปราสาทนภา และผู้นำก็ส่งมันต่อไปให้คนในสวนวิถีนภา โดยหวังจะพัฒนามันสู่ระดับเทพเจ้าอีกครั้ง

 

ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งปราสาทนภา ซึ่งผลการทดสอบของสวนวิถีนภามีโอกาสกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ที่มันจะกลายเป็นอาวุธระดับเทพเจ้าอีกครั้ง

 

ผู้คนในปราสาทนภาต่างก็ตื่นเต้นกับข่าวนี้ อาวุธระดับเทพเจ้าถือว่าหาได้ยาก และในรอบพันปีอาจจะไม่มีอาวุธระดับราชันใหม่เกิดขึ้นมาเลยด้วยซ้ำ

 

แต่แองเกียและเฟเธอร์คนอื่นๆที่อยู่ในปราสาทนภาดูจะไม่ดีใจกับข่าวนี้เท่าไหร่นัก

 

“หานเซิ่นอีกแล้ว!” แองเกียโกรธ

 

ทุกๆเผ่าพันธุ์ต่างก็รักษาอาวุธระดับเทพเจ้าของตัวเองอย่างหวงแหน มีดเล่มนี้ควรจะเป็นสมบัติอันล้ำค่าของเผ่าเฟเธอร์ แต่ตอนนี้มันกลายเป็นสมบัติของปราสาทนภา เฟเธอร์ในโฮลี่เฮฟเว่นเองก็ได้ยินถึงข่าวนี้เช่นเดียวกัน พวกเขาต่างรู้สึกแย่

 

หานเซิ่นมีโอกาสจะกลับเข้าไปในก็อตแซงชัวรี่อีกครั้ง ที่นั่นเขารีบเข้าไปกอดภรรยาและลูกสาวที่น่ารักของเขา

 

“พ่อ กอดหนูด้วย” เป่าเอ๋อเดินเข้ามาและมองไปที่หานเซิ่น

 

หานเซิ่นอุ้มเด็ก 2 คนในมือแต่ละข้าง เขารู้สึกมีความสุข และมันจะเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบถ้าเสี่ยวฮวาอยู่ที่นี่ด้วย

 

วันต่อมา หานเซิ่นเตรียมตัวกลับไปที่ปราสาทนภา แต่ในขณะที่เขากำลังจะไป เป่าเอ๋อก็กระโดดขึ้นมาบนแขนของเขาและพูด

“พ่อ หนูอยากจะไปกับพ่อด้วย”

 

“หนูยังจำเป็นต้องไปโรงเรียน พ่อจะพาหนูไปเมื่อหนูโตแล้ว” หานเซิ่นพูด

 

“ถ้าพ่อไม่พาหนูไป อย่างนั้นหนูก็จะหาทางไปด้วยตัวเอง” เป่าเอ๋อพูดอย่างไม่มีสัมมาคารวะ ซึ่งทำให้หานเซิ่นประหลาดใจ

 

“หนูมีทางที่จะไปที่นั่นอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม เป่าเอ๋อไม่ใช่เด็กธรรมดา ดังนั้นมีโอกาสที่เธอจะพบหนทางไปที่นั่น

 

“หนูจะไม่บอกพ่อ ถ้าพ่อไม่คิดที่จะพาหนูไปด้วย หนูก็จะไปที่นั่นด้วยตัวเอง” เป่าเอ๋อพูด

 

“เป่าเอ๋อ มันไม่ใช่ว่าพ่อไม่อยากจะพาหนูไปด้วย แต่พ่อยังพาหนูไปไม่ได้จริงๆ รอพ่ออีกสักหน่อย เมื่อพ่อกลับไปที่ดาวอุปราคาแล้ว พ่อจะกลับมาพาหนูไปที่นั่น ตกลงไหม?”

หานเซิ่นพูด เขาไม่ต้องการให้เธอทำอะไรบ้าบิ่น

 

ในตอนนี้หานเซิ่นไม่สามารถพาเธอไปได้ เพราะปราสาทนภาไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไป ถ้ามีใครคนอื่นมาเห็นเธอเข้า มันก็ยากที่เขาจะอธิบายได้

 

“ก็ได้ แต่พ่อห้ามโกหกหนู ถ้าพ่อโกหกล่ะก็ หนูจะไปที่นั่นด้วยตัวเอง” เป่าเอ๋อยื่นนิ้วของเธอออกมาเพื่อทำสัญญา

 

“พ่อให้สัญญา พ่อจะกลับมาพาหนูไปในทันที เมื่อพ่อกลับไปที่ดาวอุปราคา” หานเซิ่นพูดอย่างจริงจัง

 

เป่าเอ๋อเชื่อหานเซิ่น หลังจากนั้นเธอก็กระโดดลงจากแขนของเขา

 

ทันใดนั้นหานเซิ่นก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “เป่าเอ๋อ สิ่งของที่หนูดูดเข้าไปในน้ำเต้านั่น หนูปล่อยมันออกมาได้ไหม?”

 

“ก็ได้อยู่” เป่าเอ๋อกระพริบตา

 

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset