Super God Gene – ตอนที่ 2071

คลาวด์บีสต์สีแดง

หลังจากที่ไวท์เรียลจากไปแล้ว หานเซิ่นและไผ่เดียวดายก็เริ่มออกเดินทางต่อ

 

“นี่คือจุดสูงสุดของยอดเมฆสายรุ้ง คลาวด์บีสต์ตัวนั้นหาตัวได้ยาก” ไผ่เดียวดายนั่งลง

 

หานเซิ่นนั่งลงข้างๆไผ่เดียวดายและมองลงไปที่ก้อนเมฆด้านล่าง

 

คลาวด์บีสต์สีขาวตัวหนึ่งที่ดูเหมือนกับยูนิคอร์นกำลังวิ่งไปมารอบๆก้อนเมฆด้านล่าง มันยังมีคลาวด์บีสต์อีกตัวที่ดูเหมือนกับฟินิกซ์บินไปมาบนท้องฟ้าด้วย หานเซิ่นไม่สามารถบอกได้ว่าคลาวด์บีสต์ตัวไหนกันแน่ที่ไผ่เดียวดายต้องการจับมาเป็นสัตว์ขี่

 

“เมื่อเจ้าได้เห็นมัน เจ้าจะได้รู้เอง” ไผ่เดียวดายพูด

 

“เจ้าไม่บุกเข้าไปในที่อยู่อาศัยของมันอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม

 

“คลาวด์บีสต์ตัวนี้ไม่มีบ้านและเร่ร่อนไปเรื่อยๆ แถมมันยังรวดเร็วเกินไปที่จะไล่ตามได้ทัน แม้แต่ดยุกก็ไม่อาจจะจับตัวมันได้ นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเราต้องรอ”

ไผ่เดียวดายทำตัวผ่อนคลายและวางดาบหยกลงบนตัก

 

“ดาบหยกนั่นสำคัญต่อเจ้าอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นสงสัยว่าทำไมไผ่เดียวดายถึงยังใช้ดาบหยกที่ถูกสร้างขึ้นมาสำหรับฝึกฝน ทั้งๆเขาที่สามารถใช้ดาบเล่มไหนก็ได้แม้แต่เล่มที่เป็นระดับราชัน

 

ไผ่เดียวดายไม่ตอบ เขามองไปที่ทะเลก้อนเมฆตรงหน้า

 

หานเซิ่นปล่อยให้เรื่อยนั้นตกไป แต่เมื่อเขาคิดว่าการพูดคุยจบลงไปแล้ว ไผ่เดียวดายก็พูดขึ้นมา

“เจ้าเชื่อไหมว่ามันมีเทพเจ้าที่แท้จริงคอยเฝ้าดูโลกใบนี้อยู่?”

 

“มันก็ขึ้นอยู่กับคำนิยามของเจ้าว่าเทพที่แท้จริงคืออะไร บางคนนั้นถือว่ายอดฝีมือระดับเทพเจ้าเป็นเทพเจ้าคนหนึ่ง” หานเซิ่นพูด

 

“ไม่ใช่อย่างนั้น ข้ากำลังพูดถึงเทพเจ้าที่ทำให้คำอธิษฐานของผู้คนเป็นจริง” ไผ่เดียวดายพูด

 

หานเซิ่นแปลกใจ จากที่เขารู้มา เทพเจ้าแบบนั้นไม่มีอะไรนอกจากเรื่องที่เลวร้าย ทั้งเรื่องเทพเจ้าที่ถูกพบโดยทีมเจ็ดไปจนถึงเทพนภาบนดาวอุปราคา พวกเขาต่างก็เลวร้ายในสายตาของหานเซิ่น

 

‘นี่ไผ่เดียวดายต้องการทำการอธิษฐานต่อเทพเจ้าอย่างนั้นหรอ?’

หานเซิ่นมองไปที่ไผ่เดียวดายอยู่สักครู่ ก่อนที่จะพูดขึ้นมา “บางทีอาจจะมี แต่ข้าไม่ชอบเทพเจ้าแบบนั้น”

 

“ทำไมกัน?” ไผ่เดียวดายถาม

 

“ข้าเคยมีสหายหลายคนที่ทำการอธิษฐานต่อเทพเจ้าแบบที่เจ้าพูดถึง แต่เรื่องราวของพวกเขาต่างก็จบไม่สวย”

หานเซิ่นตอบอย่างง่ายๆ เขาไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมากไปกว่านั้น

 

ไผ่เดียวดายมองหานเซิ่นอยู่สักพัก หลังจากนั้นเขาก็หันกลับไปทางเหล่าก้อนเมฆและพูดต่อ

“น้องสาวของข้าเคยอธิษฐานต่อเทพเจ้าแบบนั้น”

 

เมื่อหานเซิ่นได้ยินแบบนั้น เขาก็ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง

“อะไรนะ? น้องสาวของเจ้าทำการอธิษฐานต่อเทพเจ้าอย่างนั้นหรอ? เทพเจ้านั่นเป็นใครกัน? และมันเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น?”

 

ไผ่เดียวดายมองไปที่ก้อนเมฆและตอบอย่างสงบนิ่ง

“ในตอนที่ยังเด็กมีบางสิ่งที่เลวร้ายเกิดขึ้นกับข้า เพื่อนหักหลังข้า และข้าก็ถูกทอดทิ้งโดยคนรัก ข้ากลายเป็นคนที่ไร้ค่า น้องสาวของข้าได้อธิษฐานขอให้ข้ายืนหยัดกลับขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง ข้าไม่รู้ว่านางอธิษฐานต่อเทพเจ้าไหน แต่ข้าเห็นเขามาเอาตัวน้องสายของข้าไป หลังจากนั้นข้าก็ถูกลงโทษด้วยฝันร้าย”

 

“เจ้าเห็นเขาอย่างนั้นหรอ? เขามีหน้าตาเป็นยังไง?” หานเซิ่นถามขึ้นมาในทันที

 

“ข้าไม่เห็นใบหน้าของเขา เขาจับมือน้องสาวของข้าและดึงตัวนางเข้าไปในความมืด ข้าพยายามจะตามไป แต่ก็ล้มเหลว ในตอนที่น้องสาวของข้าถูกดึงเข้าไปในความมืด นางดูหวาดกลัวและพยายามที่จะตะโกนอะไรบางอย่างออกมา แต่ข้าไม่ได้ยินเสียงของนางได้ ข้านั้นไร้ความสามารถ ทั้งหมดที่ข้าทำได้ก็คือมองดูสิ่งเกิดขึ้น”

 

ไผ่เดียวดายหยุดชั่วขณะ และเมื่อเขาพูดอีกครั้ง เสียงของเขาก็ยังคงดูสงบนิ่งเช่นเคย

 

“ชายคนนั้นยิ้มให้กับข้า แต่ข้าไม่เห็นใบหน้าของเขา รอยยิ้มนั้นฝังลึกในจิตใจของข้า ข้าเห็นมันซ้ำๆในฝันร้าย และนั่นเป็นเป็นความทรงจำเดียวของเขาที่ข้ามี แต่ถ้าวันหนึ่งข้าได้พบกับเขา ข้าจะจดจำเขาได้จากรอยยิ้มที่เขาทิ้งเอาไว้”

 

หานเซิ่นรู้สึกเจ็บปวดขณะที่ได้ยินเรื่องราวของไผ่เดียวดาย ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมชายคนนี้ถึงสามารถทนต่อฝันร้ายนับไม่ถ้วนได้ บางทีหัวใจของเขาอาจจะเสียหายอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่สามารถถูกทำลายไปมากกว่านี้ได้อีก

 

ไผ่เดียวดายพูดต่อ “ไม่ว่าเขาจะเป็นเทพเจ้าจริงๆหรือไม่ ข้าก็ต้องตามหาน้องสาวของข้า ถึงแม้จะต้องแลกด้วยชีวิต ข้าก็ฆ่าเทพเจ้าคนนี้ให้ได้”

 

“ถ้าเป็นไปได้ ข้าก็อยากจะฆ่าเทพเจ้าคนนั้นร่วมกับเจ้า” หานเซิ่นตอบ เขาพบว่าตัวเองมีเป้าหมายที่เหมือนกันกับไผ่เดียวดาย

 

หานเซิ่นเองก็ต้องการจะตามหาเทพเจ้าคนหนึ่ง แต่เขาไม่รู้ว่ามันเป็นเทพเจ้าคนเดียวกับที่ไผ่เดียวดายกำลังตามหาอยู่หรือเปล่า

 

ไผ่เดียวดายไม่ได้ตอบอะไร เขาแค่มองออกไปยังทะเลเมฆที่ดูเงียบสงบ แต่ทันใดนั้นก็มีแสงส่องสว่างมาที่ก้อนเมฆ หลังจากนั้นก็มีเมฆสีแดงมุ่งหน้ามาทางพวกเขา มันรวดเร็วราวกับเจ็ทและทิ้งควันสีแดงเอาไว้ตามเส้นทาง

 

ตอนนี้หานเซิ่นเข้าใจแล้วว่าทำไมไผ่เดียวดายถึงบอกเขาว่าจะรู้เองเมื่อได้เห็นมัน คลาวด์บีสต์ตัวนั้นมีสีแดงที่สว่างไสวเป็นเอกลักษณ์ รูปร่างของมันเป็นเหมือนกับก้อนเมฆปกติ แต่สีของมันทำให้มันดูต่างออกไป

 

ไม่นานคลาวด์บีสต์ก็มาถึงยอด เมื่อคลาวด์บีสต์ตัวอื่นมองเห็นมัน คลาวด์บีสต์ตัวอื่นๆก็ถอยออกไป

 

คลาวด์บีสต์ตัวนั้นเดินไปรอบๆยอดเขาและทิ้งควันสีแดงเอาไว้เบื้องหลัง มันเห็นไผ่เดียวดายและหานเซิ่น แต่มันไม่ได้พยายามจะหลีกเลี่ยงพวกเขาแม้แต่น้อย

 

“ใครที่จับมันได้ก็เป็นเจ้าของมัน” ไผ่เดียวดายกำดาบหยกในมือและยืนขึ้น เขาเทเลพอร์ตไปตรงหน้าคลาวด์บีสต์และใช้ดาบหยกฟันใส่มัน

 

ไม่ว่าหานเซิ่นจะได้เห็นมันสักกี่ครั้ง การฟันของไผ่เดียวดายก็ยังคงน่าทึ่งไม่เปลี่ยนแปลง ถึงมันจะดูเรียบง่าย แต่มันก็ลึกซึ้ง แถมมันยังรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่ออีกด้วย

 

แม้แต่หานเซิ่นเองก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถฟันออกไปได้รวดเร็วแบบนั้นหรือเปล่า

 

แต่คลาวด์บีสต์ตัวนั้นปลดปล่อยลำแสงสีแดงออกมาราวกับจรวด และควันสีแดงก็ถูกทิ้งเอาไว้ด้านหลังราวกับเป็นควันจากท่อไอเสีย ทันใดนั้นมันก็หายตัวไปจากสายตาของหานเซิ่น และการโจมตีของไผ่เดียวดายก็พลาดเป้า

 

“เร็วอะไรขนาดนี้!” หานเซิ่นตกตะลึง คลาวด์บีสต์สีแดงตัวนั้นไม่ได้เทเลพอร์ต แต่มันเคลื่อนไหวได้เร็วพอที่จะดูเหมือนกับว่ามันเทเลพอร์ตได้เลย

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset