Super God Gene – ตอนที่ 2015

ใต้นภาแนวใหม่

กระเรียนพันขนและยวิ๋นซู่ซางรู้สึกตกตะลึง แต่มันสายเกินไปที่พวกเขาจะหยุดเธอเอาไว้

 

แองเกียเป็นเอิร์ลระดับสูงสุดที่แม้แต่พวกเขาเองก็ไม่คิดว่าจะเอาชนะได้ ส่วนยวิ๋นซู่อีเพิ่งจะวิวัฒนาการมาเป็นเอิร์ลได้ไม่นาน ดังนั้นมันแทบเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะเป็นฝ่ายชนะ

 

โชคดีที่ที่นี่คือปราสาทนภา ดังนั้นถึงเธอจะพ่ายแพ้ ชีวิตของเธอก็จะไม่ตกอยู่ในอันตรายอะไร

 

ยวิ๋นซู่ซางรู้สึกแย่ เธอรู้ว่ายวิ๋นซู่อีไม่สามารถทนฟังแองเกียพูดเหยียดหยามหานเซิ่นได้ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่เธอก้าวออกไป

 

แองเกียมองไปยังหญิงสาวที่เดินเข้ามา เขาดูประหลาดใจ เขายิ้มออกมาและพูด “ศิษย์พี่ยวิ๋นเพิ่งจะวิวัฒนาการมาเป็นเอิร์ลได้ไม่นาน และถ้าข้าจำไม่ผิด ตระกูลยวิ๋นนั้นเชี่ยวชาญเรื่องการใช้ดาบ ข้าจะรู้สึกแย่ถ้าข้าต้องเอาชนะศิษย์พี่ยวิ๋น”

 

“วิชาดาบของตระกูลยวิ๋นนั้นยอดเยี่ยม ดังนั้นมันจะไม่ใช่เรื่องน่าประทับใจอะไร ถ้าข้าใช้ดาบเพื่อเอาชนะเจ้า แต่ทว่าข้าได้เรียนรู้วิชามีดวิชาหนึ่งมาจากหานเซิ่น ข้าเดิมพันว่ามันมากพอที่จะจัดการกับเจ้าแล้ว” ยวิ๋นซู่อีพูดพร้อมกับดึงมีดน้ำแข็งของเธอออกมา

 

แองเกียขมวดคิ้ว เขารู้ว่ายวิ๋นซู่อีเป็นลูกสาวของยวิ๋นฉางคง และมันจะเป็นเรื่องแย่ ถ้าเกิดเขาไปละเมิดเธอเข้า แต่ทางเฟเธอร์เตรียมมีดขนนกโลหิตเพื่อผู้อาวุโสสาม ดังนั้นเขาไม่สามารถมอบมันให้กับยวิ๋นซู่อีได้ อีกอย่างยวิ๋นซู่อีก็เพิ่งจะวิวัฒนาการเป็นเอิร์ล ดังนั้นถ้าเขาแพ้ให้กับเธอ มันก็จะทำลายเชื่อเสียงของเขา

 

แองเกียพยายามคิดหาทางออก แต่ยวิ๋นซู่อีชักมีดของเธอออกมาแล้ว ดังนั้นแองเกียจึงต้องคิดแผนการใหม่ขึ้นมาซะเดี๋ยวนั้น

 

“ถ้านี่คือสิ่งที่ศิษย์พี่ยวิ๋นต้องการ ข้าก็จะตอบรับความต้องการของศิษย์พี่ เชิญชี้แนะด้วย” แองเกียชักมีดหยกออกมาพร้อมกับยิ้มให้กับเธอ

 

แองเกียมีแผนที่จะป้องกันการโจมตีไปเรื่อยๆ และทำให้เธอรู้สึกถึงความต่างชั้นกัน แต่ถ้าเธอยังปฏิเสธที่จะเลิกรา เขาก็จะขอยอมแพ้ แบบนั้นผู้คนก็จะคิดว่าเขาเป็นลูกผู้ชายที่ไม่ต้องการทำลายผู้หญิง

 

ยวิ๋นซู่อีโค้งคำนับ หลังจากนั้นเธอก็ฟันออกไปด้วยมีดน้ำแข็ง ซึ่งวิชาที่เธอใช้ก็คือวิชาใต้นภา

 

ยวิ๋นซู่อีไม่สามารถทนเห็นแองเกียเย้ยหยันหานเซิ่นได้ แต่เธอรู้ดีว่าตัวเธอเองยังไม่ได้ฝึกวิชาใต้นภาจนเชี่ยวชาญ

 

เพราะยังไงซะนอกจากหานเซิ่นแล้ว มันก็ไม่มีใครที่ใช้วิชาใต้นภาในการต่อสู้ ดังนั้นประสบการณ์ทั้งหมดของเธอจึงมาจากหานเซิ่นเพียงคนเดียว หานเซิ่นบอกกับเธอว่าเธอฝึกมันจนสำเร็จแล้ว และทั้งหมดที่เธอต้องทำก็คือหมั่นฝึกฝนเป็นประจำ เธอจึงยังไม่รู้ว่าจะสามารถใช้มันได้ดีแค่ไหนถ้าเกิดต้องใช้มันในการต่อสู้จริงๆ

 

เมื่อยวิ๋นซู่อีจู่โจม สีหน้าของแองเกียก็เปลี่ยนไป แผนการที่เขาคิดขึ้นมาหายไปราวกับควัน เมื่อเขาเห็นหญิงสาวที่ดูเหมือนกับหมาป่ากระหายเลือด เขาดูตรึงเครียดขึ้นมาในทันที

 

มันเป็นเพียงแค่การฟันเพียงครั้งเดียว แต่แองเกียก็สามารถสัมผัสได้ถึงความอันตรายในทันที

 

แองเกียเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง เขาเริ่มใช้มีดพิพากษาเพื่อตอบโต้ ซึ่งเขาดูจริงจังต่างจากตอนที่ต่อสู้กับสตรองคาว

 

หลังจากการฟันออกไปในครั้งแรก ยวิ๋นซู่อีก็ยังคงเคลื่อนไหวต่อ ก่อนที่มีดแสงจะไปถึงตัวศัตรู เธอก็ฟันออกไปอีก 2 ครั้ง

 

แองเกียใช้วิชามีดของเขาเพื่อตอบโต้พร้อมกับถอยหลังออกไป

 

กระเรียนพันขนและยวิ๋นซู่ซางตกตะลึง พวกเขาเคยเห็นวิชาใต้นภามาก่อน เพราะมันเป็นวิชาที่ตระกูลยวิ๋นคิดค้นขึ้นมา แต่พวกเขารู้ว่ามันมีข้อบกพร่องร้ายแรงอยู่ และถ้าคู่ต่อสู้อ่านข้อบกพร่องของวิชานี้ออก มันก็จะนำไปสู่ช่องโหว่และความตายของผู้ใช้

 

แต่วิชาใต้นภาของยวิ๋นซู่อีดูเหมือนจะแตกต่างออกไป ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่ามันเปลี่ยนไปยังไง แต่มันเห็นได้ชัดว่าข้อบกพร่องร้ายแรงของวิชาได้หายไปแล้วภายใต้การใช้ของยวิ๋นซู่อี

 

“วิชาใต้นภามันทรงพลังขนาดไหนกัน?”

 

ในตอนแรกยวิ๋นซู่อีรู้สึกกังวล และการเคลื่อนไหวของเธอก็ไม่เป็นธรรมชาติ แต่ไม่นานเธอก็สังเกตเห็นว่าหลังจากที่ใช้วิชาออกไป แองเกียก็เคลื่อนไหวตามการชักจูงของเธอ มันเหมือนกับตอนที่เธอฝึกฝน และตอนนี้เธอก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมา

 

ยวิ๋นซู่อีจำได้ว่าหานเซิ่นเคยพูดกับเธอว่านอกจากคู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งกว่าเธอมากแล้ว ตราบใดที่เธอเป็นฝ่ายได้โจมตีก่อน มันก็ไม่มีใครสามารถเอาชนะเธอได้ การฟันในครั้งแรกไม่ใช่การฟันออกไปสุ่มๆ มันตรงไปที่จุดอ่อนของคู่ต่อสู้ และนั่นก็คือการเริ่มต้นของวิชาใต้นภา

 

หลังจากที่คู่ต่อสู้ป้องกันการฟันในครั้งแรก การฟันครั้งต่อไปของวิชาใต้นภาก็จะเข้ามาอย่างต่อเนื่อง มันเป็นเหมือนกับการล็อคเป้าไปยังคู่ต่อสู้ที่ถูกกักขังอยู่

 

นอกซะจากคู่ต่อสู้จะมองเห็นโชคชะตา ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ไม่มีทางหนีออกไปจากการชักนำของวิชาใต้นภาได้ พวกเขาจะกลายเป็นเหมือนกับหุ่นเชิดที่เคลื่อนไหวไปตามกระแสของวิชาใต้นภา จนกระทั่งพวกเขาจนมุมในที่สุด

 

ยวิ๋นซู่อียังไม่เคยใช้มันต่อสู้กับใครคนอื่นนอกจากหานเซิ่น และเธอก็รู้ดีว่าจิตแห่งมีดของหานเซิ่นอยู่ห่างจากระดับเทพเจ้าออกไปเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น

 

ความกดดันในตอนที่เธอต่อสู้กับหานเซิ่นนั้นมันคนละเรื่องกับตอนที่ต่อสู้กับแองเกีย เธอเคยชินกับความแข็งแกร่งของหานเซิ่น ซึ่งมันทำให้การรับมือกับแองเกียเป็นอะไรที่ง่ายเมื่อเทียบกันแล้ว

 

กระเรียนพันคนและผู้ชมคนอื่นๆมองดูยวิ๋นซู่อีอย่างตกตะลึง ขณะที่เธอกวัดแกว่งมีดน้ำแข็งของเธอ สีหน้าของเธอไร้ซึ่งความกังวล ซึ่งต่างจากแองเกียที่ตอนนี้ดูย่ำแย่อย่างมาก หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลลงมา ขณะที่เขาพยายามหลบหลีกการโจมตีของเธอที่โหมกระหน่ำเข้ามา

 

ตอนนี้แองเกียเป็นเหมือนกับหุ่นเชิด เขาไม่ได้ใช้วิชามีดอะไรออกมาอีกแล้ว ทุกครั้งที่เขาพยายามจะใช้มัน ยวิ๋นซู่อีก็จะขัดขวางเขาเอาไว้ด้วยการโจมตีที่ตรงเข้าไปยังจุดอ่อนของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ

 

แองเกียเตรียมใจที่จะใช้วิชาเพื่อทำให้พวกเขาทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บ แต่หลังจากนั้นเขาก็สังเกตว่าไม่สามารถทำได้ ยวิ๋นซู่อีจะฟันเข้ามาก่อนที่เขาจะมีโอกาสได้ใช้อะไรเพื่อตอบโต้ เขาเริ่มรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังถูกชักนำด้วยใยที่มองไม่เห็น และมันก็กำลังรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนเขาเริ่มอยากที่จะกระอักเลือดออกมา

 

ถ้าแองเกียเป็นคนอย่างไผ่เดียวดายที่สามารถลดมีดลงต่อหน้าโชคชะตาได้ แองเกียก็อาจจะหนีจากวิชาใต้นภาได้ แต่เขาไม่ได้แข็งแกร่งถึงขนาดนั้น

 

ผู้ชมทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่ายวิ๋นซู่อีจะแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ แม้แต่กระเรียนพันขนกับยวิ๋นซู่ซางก็ยังไม่อยากจะเชื่อ

 

“นั่นเป็นไปได้ยังไงกัน? วิชาใต้นภาของนางไม่มีข้อบกพร่อง!” กระเรียนพันขนพึมพำกับตัวเอง

 

มันเป็นอะไรที่น่าตกใจ เมื่อได้เห็นวิชาใต้นภาฉบับปรับปรุงถูกใช้อย่างสมบูรณ์แบบ นี่เป็นสิ่งที่จะทำให้แม้แต่ผู้อาวุโสหรือผู้นำของปราสาทนภาต่างก็ตกตะลึง

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset