การต่อสู้ระหว่างมีดและดาบ
เสียงการปะทะกันของมีดและดาบดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เทคนิคที่หานเซิ่นและไผ่เดียวดายใช้เป็นอะไรที่เรียบง่าย แต่พวกมันก็เป็นอะไรที่ร้ายแรงเช่นกัน
การต่อสู้ก่อนหน้านี้เป็นอะไรที่น่าทึ่งก็จริง แต่มันไม่ใช่การต่อสู้จริงๆ พวกเขาเพียงแค่ประลองวิชากันเท่านั้น แต่ตอนนี้พวกเขากำลังต่อสู้กันจริงๆ การเคลื่อนไหวของพวกเขาเรียบง่ายและชัดเจน มันไม่ได้มีท่วงท่าอะไรที่พิเศษ แต่ทุกการโจมตีเป็นอะไรที่น่ากลัวอย่างมาก การพลาดเพียงแค่นิดเดียวนั้นหมายถึงความเป็นความตาย
เคร๊ง! เคร๊ง! เคร๊ง!
มีดและดาบยังคงปะทะกันอย่างต่อเนื่อง จิตแห่งดาบและจิตแห่งมีดของนักสู้ทั้ง 2 ปกคลุมทั่วสนามประลอง
จิตใจของพวกเขาทั้งคู่กำลังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป และทันใดนั้นพวกมันก็พัฒนาสู่การต่อสู้ระดับราชัน พวกเขาเป็นเหมือนกับม้าคลั่งที่ไม่สามารถหยุดวิ่งได้
“จิตใจของพวกเขากำลังแข็งแกร่งขึ้น นี่มันขี้โกงชัดๆ นี่พวกเขากำลังจะพัฒนาสู่ระดับเทพเจ้า ขณะที่พวกเขายังเป็นแค่ระดับเอิร์ลอย่างนั้นหรอ?”
“ที่จิตใจของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น มันเป็นเพราะความโศกเศร้าผลักดันพวกเขาไปข้างหน้า พวกเขาไม่อาจจะหนีผลกระทบของมันที่มีตัวพวกเขาได้”
“ถ้าพวกเขาเป็นแค่เอิร์ล แล้วทำไมการต่อสู้ของพวกเขาถึงได้เหนือกว่าระดับของพวกเขามากนัก?”
“น่าเสียดาย ถ้าพวกเขายังต่อสู้ต่อไป มันจะไม่มีผู้ชนะ แต่มันจะเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายที่เหลือรอด”
“แต่ถ้าพวกเขาไม่ต่อสู้ มันก็จะเกิดโศกนาฏกรรมอยู่ดี สำหรับตอนนี้ไผ่เดียวดายยังมีศรัทธาอยู่ แต่ถ้าพวกเขาหยุดต่อสู้กัน ไผ่เดียวดายก็จะถูกความโศกเศร้ากลืนกิน”
“หลังจากที่การต่อสู้ครั้งนี้จบลง มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะดำเนินการสอบต่อไป มันไม่มีใครในระดับเอิร์ลอีกแล้วที่จะต่อกรกับพวกเขาได้”
ยวิ๋นซู่อีรู้สึกหวาดกลัว เธอจับไหล่ของยวิ๋นซู่ซาง หัวใจของเธอเต้นรัวเช่นเดียวกับเสียงปะทะกันของมีดและดาบ สีหน้าของเธอดูซีดเซียว
ยวิ๋นซู่ซางช่วยพยุงเธอเอาไว้
“ท่าอาจารย์ ถ้าพวกเขายังต่อสู้กันต่อไป ความโศกเศร้าก็จะส่งผลต่อพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ พวกเราควรจะหยุดพวกเขาไหม?”
กระเรียนพันขนเห็นว่าสถานการณ์ของพวกเขาทั้ง 2 เป็นอะไรที่ย่ำแย่
ยวิ๋นฉางคงส่ายหัว “มันสายเกินไปแล้วที่พวกเขาจะถอย ถ้าพวกเราทำอย่างนั้นพวกเขาจะต้องตาย สำหรับตอนนี้พวกเขาทำได้แต่เดินหน้าต่อไปเท่านั้น พวกเขากำลังเดินหน้าสู่ขุมนรก แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังต้องเดินหน้าต่อไป พวกเขาจำเป็นต้องรอดจากการปลดปล่อย แบบนั้นพวกเขาก็ยังมีโอกาสอยู่”
“รอดจากการปลดปล่อย?” ยวิ๋นซู่อีรีบถามขึ้นมา
ยวิ๋นฉางคงถอนหายใจและพูด “ความโศกเศร้าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่พวกเขาต่อสู้กัน แต่มันก็เป็นการปลดปล่อยพลังงานด้านลบออกมาด้วยเช่นกัน ไผ่เดียวดายเก็บกดมาเป็นเวลายาวนาน ตอนนี้ถ้าเขาปลดปล่อยพวกมันทั้งหมดออกมาได้ มันก็มีหวังที่เขาจะรอด ถึงมันจะเป็นเรื่องยาก แต่มันไม่มีอะไรอย่างอื่นที่เขาจะทำได้อีกแล้ว”
“แล้วหานเซิ่นล่ะ? เขาจำเป็นต้องปลดปล่อยพลังงานด้านลบออกมาไหม?” ยวิ๋นซู่อีถาม
ยวิ๋นฉางคงส่ายหัว “สำหรับเขามันกลับกัน เขาไม่จำเป็นต้องปลดปล่อยอะไร ตอนนี้เขาถูกความโศกเศร้าของไผ่เดียวดายเข้าครอบงำ ดังนั้นหานเซิ่นต้องต่อสู้เพื่อป้องกันไม่ให้ความรู้สึกของไผ่เดียวดายทำลายจิตใจของเขา ตอนนี้เขากำลังต่อสู้เพื่อชีวิตของตัวเอง”
“สถานการณ์นี้จะจบยังไงมันก็ขึ้นอยู่ที่ตัวหานเซิ่น ถ้าเขาพ่ายแพ้ให้กับปีศาจในหัวใจของไผ่เดียวดาย ไผ่เดียวดายก็จะสูญเสียจุดประสงค์ของตัวเองและพ่ายแพ้ให้กับปีศาจเช่นเดียวกัน และถึงแม้หานเซิ่นจะต่อต้านปีศาจนั้นได้ ถ้าหานเซิ่นเกิดพ่ายแพ้ต่อไผ่เดียวดาย ผลลัทธ์ก็จะออกมาเหมือนเดิม ดังนั้นหานเซิ่นจะพ่ายแพ้ต่อตัวเองหรือไผ่เดียวดายไม่ได้เด็ดขาด”
เมื่อได้ยินยวิ๋นฉางคงพูดอย่างนั้น ยวิ๋นซู่อีก็กังวลมากขึ้นกว่าเดิม
จิตใจของทั้ง 2 นั้นแข็งแกร่งมาก และถึงจะมีม่านพลังระดับราชันครอบเอาไว้ มันก็ยังคงรั่วไหลออกมาอยู่ดี ศิษย์ของปราสาทนภาหลายคนได้รับผลกระทบ พวกเขาต้องการที่จะตายหรือทำลายอะไรสักอย่าง
มันมีก้อนเมฆก้อนหนึ่งลอยอยู่เหนือสนามประลอง ภายในก้อนเมฆสีขาวนั้นมีอสูรตัวหนึ่งอาศัยอยู่ ก้อนเมฆนั่นเริ่มแพร่ขยายออกราวกับน้ำและเข้าปกคลุมทั้งสนามประลอง เพื่อที่ผู้ชมจะไม่ได้รับผลกระทบอะไร
อสูรตัวนั้นคือดรีมบีสต์ เมื่อเห็นความรู้สึกของหานเซิ่นและไผ่เดียวดายกำลังพัฒนาเหนือกว่าระดับของราชัน และเหล่าราชันไม่สามารถจะต้านความรู้สึกที่ออกมาจากพวกเขาทั้ง 2 ได้อีก ดรีมบีสต์จึงออกมาช่วยกักเก็บอารมณ์ความรู้สึกของพวกเขาทั้งคู่ มันทำให้แน่ใจว่าความโศกเศร้าของไผ่เดียวดายจะไม่รั่วไหลออกไปส่งผลกระทบต่อศิษย์ของปราสาทนภาที่อยู่รอบๆ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเก็บความเศร้าโศกแบบนั้นและเดินหน้าต่อไปได้
มีดของหานเซิ่นเคลื่อนไหวอย่างบ้าระห่ำ และจิตแห่งมีดของเขากำลังออกมาอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายของเขาเป็นเหมือนกับอสูรที่สามารถฉีกมิติจนขาดสะบั้น
หานเซิ่นได้รับจิตแห่งมีดระดับเทพเจ้ามาจากฝักมีดที่เจอในสุสานปีศาจ แต่มันไม่ได้เป็นของของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถจะใช้พลังของมันได้จนถึงขีดสุด
แต่ตอนนี้ภายใต้การถูกกลืนกินจากความโศกเศร้าของไผ่เดียวดาย หานเซิ่นก็ปลดปล่อยพลังทั้งหมดออกมาต่อกรกับคู่ต่อสู้ตรงหน้า มันทำให้เขาเข้าใจจิตแห่งมีดของวิชามีดเขี้ยวดาบมากขึ้นกว่าเดิม มันกำลังปรับตัวเข้ากับหานเซิ่น แต่ก่อนจิตแห่งมีดก็เป็นเพียงแค่เครื่องมือชิ้นหนึ่ง แต่ตอนนี้มันกำลังกลายเป็นหนึ่งเดียวกับสัญชาตญาณของเขา
จิตแห่งมีดของวิชามีดเขี้ยวดาบนั้นจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง แต่การทำลายล้างอันบ้าคลั่งของมันก็เป็นสิ่งที่กระตุ้นความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปภายใต้ความเศร้าโศกของไผ่เดียวดาย
เมื่อหานเซิ่นผสานเข้ากับจิตแห่งมีดของวิชามีดเขี้ยวดาบ มีดเขี้ยวผีสิงของเขาก็แข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก
ที่มีดเขี้ยวผีสิงติดตามหานเซิ่นนั่นเป็นเพราะจิตแห่งมีดระดับเทพเจ้าที่เขามีอยู่ มันไม่ใช่เพราะตัวหานเซิ่นเอง และด้วยความสามารถในการใช้จิตแห่งมีดระดับเทพเจ้าที่ถูกจำกัด เขาจึงไม่สามารถจะปลดล็อคพลังที่แท้จริงของมีดเขี้ยวผีสิงได้
แต่เมื่อหานเซิ่นรวมเป็นหนึ่งกับจิตแห่งมีดระดับเทพเจ้า พลังที่แท้จริงของมีดเขี้ยวผีสิงก็ตื่นขึ้นมา
ตูม!
หานเซิ่นรู้สึกได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่หลั่งไหลออกมาจากมีดเขี้ยวผีสิง แต่ในขณะเดียวกันรอยบนหน้าผากของไผ่เดียวดายก็เริ่มเปิดออก ดวงตัวอีกดวงเปิดขึ้นบนหน้าผากของไผ่เดียวดายและเริ่มมีเลือดไหลออกมาจากดวงตานั้น
หานเซิ่นเคยเห็นดวงตาดวงที่ 3 ของกระเรียนพันขนมาก่อน ซึ่งมันกระจ่างใส แต่ของไผ่เดียวดายนั้นต่างออกไป
ดวงตาดวงที่ 3 ของไผ่เดียวดายเต็มไปด้วยจิตสังหาร เพียงแค่มองมันก็มากพอที่จะทำให้วิญญาณของคนๆนั้นสั่นกลัว
เมื่อดวงตาดวงที่ 3 ของไผ่เดียวดายเปิดออก พลังของเขาก็เพิ่มขึ้น และด้วยความเร็วกับพละกำลังที่น่าเหลือเชื่อ เขาก็เทเลพอร์ตมาตรงหน้าหานเซิ่น