Super God Gene – ตอนที่ 1995

เจ้าทำแบบนั้นได้ไหม?

หานเซิ่นถอนหายใจ ขณะที่พยายามคิดหาวิชาที่จะเอาชนะไผ่เดียวดาย เขาเชี่ยวชาญหลายวิชา แต่เมื่อเทียบกับไผ่เดียวดายแล้ว วิชาของเขาก็ถือว่าน้อยนิด

 

ไผ่เดียวดายสามารถใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อฝึกฝนวิชาจนเชี่ยวชาญในหนึ่งความฝัน แต่ทว่าหานเซิ่นเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา เขายังมีชีวิตอยู่ไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาไม่สามารถจะเทียบชั้นกับไผ่เดียวดายได้

 

ถ้าพวกเขายังแข่งขันกันแบบนี้ต่อไป หานเซิ่นก็จะไม่มีวิชาเหลือให้ใช้อีก ดังนั้นเขาจำเป็นต้องรีบจบการต่อสู้นี้

 

‘เราจะเอาชนะไผ่เดียวดายได้ยังไง?’ หานเซิ่นสงสัย แต่หลังจากนั้นความคิดอย่างหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวของเขา

 

หานเซิ่นกวัดแกว่งมีดเขี้ยวผีสิง แต่มันไม่ได้ตรงเข้าไปหาไผ่เดียวดาย เขาฟันใส่หินที่อยู่บนพื้นและตัดเป็นสี่เหลี่ยมมุมฉากที่ยาวสิบเมตร จากนั้นเขาก็วางมันลงบนพื้น

 

ผู้ชมรู้สึกสงสัยและไม่แน่ใจว่าหานเซิ่นกำลังทำอะไร

 

หานเซิ่นชกด้านหนึ่งของก้อนหิน หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มให้กับไผ่เดียวดาย “เจ้าทำแบบนั้นได้ไหม?”

 

ทุกคนคิดว่าที่หานเซิ่นพูดฟังดูแปลกๆ นั่นเพราะว่าเมื่อหานเซิ่นชกใส่ก้อนหิน มันไม่มีร่องรอยอะไรถูกทิ้งเอาไว้เลย พวกเขาจึงไม่รู้ว่าหานเซิ่นหมายความว่ายังไง

 

ไผ่เดียวดายใช้มือเป็นเหมือนกับมีดและฟันใส่ก้อนหินจนขาดครึ่ง

 

หลังจากนั้นผู้คนก็รู้สึกตัวว่าภายในก้อนหินมีรอยหมัดของหานเซิ่นอยู่ มันถูกเห็นได้ชัดเจนหลังจากที่ไผ่เดียวดายฝ่าก้อนหินเปิดออก ซึ่งที่ใจกลางของก้อนหินมีรูที่พอดีกับหมัดของหานเซิ่นอยู่

 

“เป็นพลังหยินที่ทรงพลงมากๆ เขาชกใส่ก้อนหินที่ยาวสิบเมตรโดยไม่ทำให้มันได้รับความเสียหาย ด้วยพลังหยินนี้ ชุดเกราะก็เป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา” บางคนในฝูงชนพูดขึ้นมาอย่างประหลาดใจ

 

ไผ่เดียวดายไม่ได้พูดอะไร เขาแค่ชกใส่ก้อนหินที่ถูกตัดครึ่ง และมันก็เป็นเหมือนกับหานเซิ่น ซึ่งก้อนหินดูจะไม่ได้รับความเสียดายใดๆ

 

หานเซิ่นใช้มีดตัดครึ่งก้อนหินและพบว่าด้านในมีรอยหมัดอยู่ แม้แต่ตำแหน่งก็ยังเหมือนกับกับของเขา

 

“ยอดเยี่ยม” หานเซิ่นพูดชม หานเซิ่นต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะฝึกคลื่นหยินหยางจนใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ แต่ไผ่เดียวดายก็ไม่ได้แย่ไปกว่าเขาเลย

 

ไผ่เดียวดายพูดอย่างไร้อารมณ์ “ในชีวิตที่ 731 ข้าเป็นผู้หญิงที่อ่อนแอ แต่ข้าเกิดในครอบครัวนักมวย ข้าถูกรังแก แต่ข้าก็สร้างวิชาหมัดที่ใช้พลังหยินขึ้นมาได้สำเร็จ มันไม่ได้ทรงพลังอะไรมาก แต่มันทำร้ายคนอื่นจากภายใน ข้าฆ่าผู้คนที่รังแกข้าและกลายเป็นตัวร้ายที่มีชื่อเสียง แต่สุดท้ายข้าก็ถูกพิษเข้า และในที่สุดข้าก็หมดลมหายใจ”

 

ไผ่เดียวดายพูดออกมาอย่างสงบราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ผู้ชมรู้สึกเศร้าใจที่ได้ยินเรื่องพวกนั้น

 

“ถึงตาของเจ้าแล้ว” หานเซิ่นพูด เขารู้สึกโศกเศร้าที่ได้ยินเกี่ยวกับความฝันของไผ่เดียวดาย

 

ไผ่เดียวดายหยิบก้อนหินก้อนหนึ่งขึ้นมาและแทงมันลงไปในพื้นเหมือนกับแผ่นศิลาจารึก ทำปล่อยให้ส่วนหนึ่งของหินตั้งสูงขึ้นมา 7-8 เมตร

 

หานเซิ่นมองดูไผ่เดียวดายอย่างไม่แน่ใจว่าเขากำลังจะทำอะไร ถ้าพวกเขาจะประลองด้านการเขียนเพื่อแข่งขันกันที่จิตใจ หานเซิ่นก็สามารถใช้จิตแห่งมีดได้ ดังนั้นเขาจะไม่แพ้

 

ซึ่งไผ่เดียวดายเองก็รู้ถึงเรื่องนี้ ดังนั้นหานเซิ่นไม่คิดว่านี่จะเป็นแค่การแข่งขันการเขียนธรรมดาๆ

 

ไผ่เดียวดายมองไปที่ก้อนหิน แต่เขาไม่ได้ชักดาบออกมา เขาถอยออกไป 10 เมตรและพูด “ดาบของข้าจะตีฝ่าทั้ง 9 ขั้น เจ้าล่ะทำได้ไหม?”

 

ผู้ชมที่มองดูอยู่รู้สึกสับสน พวกเขาไม่รู้ว่านั่นหมายความว่ายังไง นอกจากนั้นเขาเพียงแค่พูดออกมาและไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่น

 

ยวิ๋นซู่อีเองก็สับสนเช่นกัน ในจังหวะที่เธอกำลังจะถาม มันก็มีการระเบิดเกิดขึ้นมา หลังจากนั้นตัวอักษร ‘ข้าต้องการจะตีฝ่าทั้ง 9 ขั้น’ ก็ปรากฏอยู่บนแผ่นหิน ราวกับว่ามันถูกสลักด้วยอาวุธ

 

“พลังเสียงไม่ใช่พลังที่หายากอะไร แต่ไผ่เดียวดายเขียนตัวอักษรที่ทรงพลังได้ด้วยการใช้พวกมัน คงจะไม่มีใครคนอื่นทำได้เหมือนกับเขาแล้ว” ดยุกคนหนึ่งรู้สึกตกตะลึง

 

“ไผ่เดียวดายได้เก็บสะสมวิชาและประสบการณ์มาจากความฝัน คนธรรมนั้นคงจะดีใจมากแล้ว ถ้าเชี่ยวชาญในสักวิชาหนึ่งได้ หานเซิ่นฝึกวิชามีดและพลังหยินจนถึงขั้นสูงสุดตั้งแต่ที่ยังหนุ่ม ซึ่งถือว่าหาได้ยากมากๆแล้ว มันไม่มีทางที่เขาจะเชี่ยวชาญพลังเสียงเช่นเดียวกัน”

 

“ข้ากลัวว่าหานเซิ่นจะแข่งขันในเรื่องนี้กับไผ่เดียวดายไม่ได้”

 

“มันไม่มีใครจะเทียบชั้นกับไผ่เดียวดายได้ ถึงแม้หานเซิ่นจะแข็งแกร่งก็ตาม แต่การจะแข่งขันกับไผ่เดียวดายนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”

 

ขณะที่ผู้ชมกำลังตกตะลึงกับพลังเสียงของไผ่เดียวดาย หานเซิ่นก็ยิ้มออกมาและถาม “ชีวิตไหนกันที่เจ้าเรียนรู้วิชานี้?”

 

สีหน้าของไผ่เดียวดายไม่เปลี่ยนแปลง เขาพูดออกมาอย่างสงบ
“มันเป็นชีวิตที่ 3754 ในชีวิตนั้นข้าเป็นนักดนตรีที่ฆ่าผู้อื่นด้วยเสียงเพลง ข้าถูกขังอยู่ในหุบเขาและถูกฆ่าด้วยเสียงสะท้อนของพลังเสียงตัวเอง”

 

หานเซิ่นส่ายหัวและไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเดินไปที่อีกด้านของก้อนหินและทำเช่นเดียวกับที่ไผ่เดียวดายทำ เขายืนห่างจากแผ่นหินไปสิบเมตรและสูดหายใจเข้าลึกๆ

 

“หานเซิ่นจะทำได้ไหม?” ยวิ๋นซู่อีเป็นกังวล เธอรู้ว่าไม่สามารถมีความสัมพันธ์แบบรักใคร่กับหานเซิ่นได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธออยากจะเห็นหานเซิ่นล้มเหลว

 

ยวิ๋นซู่ซางยิ้มแห้งๆออกมา “พี่คงจะบอกไม่ได้ แต่มันมีคนไม่มากนักที่จะฝึกพลังเสียงโดยเฉพาะอย่างยิ่งฝึกจนถึงขั้นนี้ พวกเราไม่เคยเห็นหานเซิ่นใช้วิชาที่เกี่ยวข้องกับพลังเสียงมาก่อนเลย นี่อาจจะเป็นเรื่องแย่สำหรับเขา”

 

ตอนนี้ยวิ๋นซู่อีรู้สึกกังวลยิ่งกว่าเดิม เธอต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก่อนที่เธอจะได้พูด หานเซิ่นก็เริ่มพูดออกมาอีกครั้ง

 

“การนั่งในหมู่เมฆาจะโดดเดี่ยวและเหน็บหนาว” หานเซิ่นพูด เขาไม่ได้คิดเกี่ยวกับมันมากนัก เขาแค่ต้องการจะปลอบโยนไผ่เดียวดาย

 

ไผ่เดียวดายทุกข์ทรมานกับฝันร้ายเป็นหมื่นๆครึ่ง ถึงแม้เขาจะได้กลายเป็นอัจฉริยะในที่สุด หานเซิ่นก็รู้ว่าเขาคงจะต้องโศกเศร้าและโดดเดียว ไม่มีใครรู้ว่ามันยากขนาดไหนกว่าที่เขาจะมาถึงจุดนี้ได้

 

หลังจากที่หานเซิ่นพูดออกมา แผ่นหินก็ระเบิดออก คำเหล่านั้นปรากฏขึ้นบนแผ่นหิน ในสายตาคนนอกมันเหมือนกับแรงกดดันที่หนักอึ้ง ผู้ชมรู้สึกหดหู่และเสียใจราวกับหัวใจของพวกเขากำลังจมลงไปในอก

Super God Gene

Super God Gene

ในยุคสมัยที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมนุษย์ถูกพัฒนาจนถึงระดับสูง ในที่สุดมนุษยชาติก็ได้ค้นพบวิธีการเทเลพอร์ต แต่เมื่อพวกเขาทดลองเทเลพอร์ต กลับพบว่าพวกเขาไม่ได้ถูกส่งไปในอนาคต อดีตหรือสถานที่อื่นๆที่มนุษย์รู้จัก แต่มันคือโลกที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง สถานที่ลึกลับนี่ถูกเรียกว่า ‘ก็อด เเซงชัวรี่’ ที่นี่มีสิ่งมีชีวิตประหลาดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แต่เมื่อมนุษย์ลองกินสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้าไป ร่างกายของพวกเขาพัฒนาขึ้นและยังเพิ่มอายุขัยขึ้นด้วย มันคือก้าวที่ยิ่งใหญ่ของมนุษย์ชาติในการวิวัฒนาการเพื่อสร้างยุคสมัยที่ยิ่งใหญ่ “ด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ถูกฆ่า คุณได้รับวิญญาณอสูรด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ เมื่อกินเนื้อของด้วงทมิฬเลือดศักดิ์สิทธิ์ คุณมีโอกาสได้รับ 0 ถึง 10 Geno Point โดยการสุ่ม” The future unfolded on a magnificent scale into the Interstellar Age. Humanity finally solved the space warp technology, but when humanity transported themselves into the other end, they discovered that place neither had a past nor future, nor was there any land under the starry skies…… The mysterious sanctuary was actually a world filled with countless tyrannical unusual organisms. Humanity faced their great leap in evolution, starting the most glorious and resplendant new era under the starry skies. “Slaughtered the God Blood organism ‘Black Beetle’. Received the God Blood Black Beetle’s Beast Soul. Used the God Blood Black Beetle’s flesh. Randomly obtaining 0 to 10 points of God Gene(s).”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset