เจ้าทำแบบนั้นได้ไหม?
หานเซิ่นถอนหายใจ ขณะที่พยายามคิดหาวิชาที่จะเอาชนะไผ่เดียวดาย เขาเชี่ยวชาญหลายวิชา แต่เมื่อเทียบกับไผ่เดียวดายแล้ว วิชาของเขาก็ถือว่าน้อยนิด
ไผ่เดียวดายสามารถใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อฝึกฝนวิชาจนเชี่ยวชาญในหนึ่งความฝัน แต่ทว่าหานเซิ่นเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา เขายังมีชีวิตอยู่ไม่ถึงร้อยปีด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาไม่สามารถจะเทียบชั้นกับไผ่เดียวดายได้
ถ้าพวกเขายังแข่งขันกันแบบนี้ต่อไป หานเซิ่นก็จะไม่มีวิชาเหลือให้ใช้อีก ดังนั้นเขาจำเป็นต้องรีบจบการต่อสู้นี้
‘เราจะเอาชนะไผ่เดียวดายได้ยังไง?’ หานเซิ่นสงสัย แต่หลังจากนั้นความคิดอย่างหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวของเขา
หานเซิ่นกวัดแกว่งมีดเขี้ยวผีสิง แต่มันไม่ได้ตรงเข้าไปหาไผ่เดียวดาย เขาฟันใส่หินที่อยู่บนพื้นและตัดเป็นสี่เหลี่ยมมุมฉากที่ยาวสิบเมตร จากนั้นเขาก็วางมันลงบนพื้น
ผู้ชมรู้สึกสงสัยและไม่แน่ใจว่าหานเซิ่นกำลังทำอะไร
หานเซิ่นชกด้านหนึ่งของก้อนหิน หลังจากนั้นเขาก็ยิ้มให้กับไผ่เดียวดาย “เจ้าทำแบบนั้นได้ไหม?”
ทุกคนคิดว่าที่หานเซิ่นพูดฟังดูแปลกๆ นั่นเพราะว่าเมื่อหานเซิ่นชกใส่ก้อนหิน มันไม่มีร่องรอยอะไรถูกทิ้งเอาไว้เลย พวกเขาจึงไม่รู้ว่าหานเซิ่นหมายความว่ายังไง
ไผ่เดียวดายใช้มือเป็นเหมือนกับมีดและฟันใส่ก้อนหินจนขาดครึ่ง
หลังจากนั้นผู้คนก็รู้สึกตัวว่าภายในก้อนหินมีรอยหมัดของหานเซิ่นอยู่ มันถูกเห็นได้ชัดเจนหลังจากที่ไผ่เดียวดายฝ่าก้อนหินเปิดออก ซึ่งที่ใจกลางของก้อนหินมีรูที่พอดีกับหมัดของหานเซิ่นอยู่
“เป็นพลังหยินที่ทรงพลงมากๆ เขาชกใส่ก้อนหินที่ยาวสิบเมตรโดยไม่ทำให้มันได้รับความเสียหาย ด้วยพลังหยินนี้ ชุดเกราะก็เป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา” บางคนในฝูงชนพูดขึ้นมาอย่างประหลาดใจ
ไผ่เดียวดายไม่ได้พูดอะไร เขาแค่ชกใส่ก้อนหินที่ถูกตัดครึ่ง และมันก็เป็นเหมือนกับหานเซิ่น ซึ่งก้อนหินดูจะไม่ได้รับความเสียดายใดๆ
หานเซิ่นใช้มีดตัดครึ่งก้อนหินและพบว่าด้านในมีรอยหมัดอยู่ แม้แต่ตำแหน่งก็ยังเหมือนกับกับของเขา
“ยอดเยี่ยม” หานเซิ่นพูดชม หานเซิ่นต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะฝึกคลื่นหยินหยางจนใช้ได้อย่างเชี่ยวชาญ แต่ไผ่เดียวดายก็ไม่ได้แย่ไปกว่าเขาเลย
ไผ่เดียวดายพูดอย่างไร้อารมณ์ “ในชีวิตที่ 731 ข้าเป็นผู้หญิงที่อ่อนแอ แต่ข้าเกิดในครอบครัวนักมวย ข้าถูกรังแก แต่ข้าก็สร้างวิชาหมัดที่ใช้พลังหยินขึ้นมาได้สำเร็จ มันไม่ได้ทรงพลังอะไรมาก แต่มันทำร้ายคนอื่นจากภายใน ข้าฆ่าผู้คนที่รังแกข้าและกลายเป็นตัวร้ายที่มีชื่อเสียง แต่สุดท้ายข้าก็ถูกพิษเข้า และในที่สุดข้าก็หมดลมหายใจ”
ไผ่เดียวดายพูดออกมาอย่างสงบราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ผู้ชมรู้สึกเศร้าใจที่ได้ยินเรื่องพวกนั้น
“ถึงตาของเจ้าแล้ว” หานเซิ่นพูด เขารู้สึกโศกเศร้าที่ได้ยินเกี่ยวกับความฝันของไผ่เดียวดาย
ไผ่เดียวดายหยิบก้อนหินก้อนหนึ่งขึ้นมาและแทงมันลงไปในพื้นเหมือนกับแผ่นศิลาจารึก ทำปล่อยให้ส่วนหนึ่งของหินตั้งสูงขึ้นมา 7-8 เมตร
หานเซิ่นมองดูไผ่เดียวดายอย่างไม่แน่ใจว่าเขากำลังจะทำอะไร ถ้าพวกเขาจะประลองด้านการเขียนเพื่อแข่งขันกันที่จิตใจ หานเซิ่นก็สามารถใช้จิตแห่งมีดได้ ดังนั้นเขาจะไม่แพ้
ซึ่งไผ่เดียวดายเองก็รู้ถึงเรื่องนี้ ดังนั้นหานเซิ่นไม่คิดว่านี่จะเป็นแค่การแข่งขันการเขียนธรรมดาๆ
ไผ่เดียวดายมองไปที่ก้อนหิน แต่เขาไม่ได้ชักดาบออกมา เขาถอยออกไป 10 เมตรและพูด “ดาบของข้าจะตีฝ่าทั้ง 9 ขั้น เจ้าล่ะทำได้ไหม?”
ผู้ชมที่มองดูอยู่รู้สึกสับสน พวกเขาไม่รู้ว่านั่นหมายความว่ายังไง นอกจากนั้นเขาเพียงแค่พูดออกมาและไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่น
ยวิ๋นซู่อีเองก็สับสนเช่นกัน ในจังหวะที่เธอกำลังจะถาม มันก็มีการระเบิดเกิดขึ้นมา หลังจากนั้นตัวอักษร ‘ข้าต้องการจะตีฝ่าทั้ง 9 ขั้น’ ก็ปรากฏอยู่บนแผ่นหิน ราวกับว่ามันถูกสลักด้วยอาวุธ
“พลังเสียงไม่ใช่พลังที่หายากอะไร แต่ไผ่เดียวดายเขียนตัวอักษรที่ทรงพลังได้ด้วยการใช้พวกมัน คงจะไม่มีใครคนอื่นทำได้เหมือนกับเขาแล้ว” ดยุกคนหนึ่งรู้สึกตกตะลึง
“ไผ่เดียวดายได้เก็บสะสมวิชาและประสบการณ์มาจากความฝัน คนธรรมนั้นคงจะดีใจมากแล้ว ถ้าเชี่ยวชาญในสักวิชาหนึ่งได้ หานเซิ่นฝึกวิชามีดและพลังหยินจนถึงขั้นสูงสุดตั้งแต่ที่ยังหนุ่ม ซึ่งถือว่าหาได้ยากมากๆแล้ว มันไม่มีทางที่เขาจะเชี่ยวชาญพลังเสียงเช่นเดียวกัน”
“ข้ากลัวว่าหานเซิ่นจะแข่งขันในเรื่องนี้กับไผ่เดียวดายไม่ได้”
“มันไม่มีใครจะเทียบชั้นกับไผ่เดียวดายได้ ถึงแม้หานเซิ่นจะแข็งแกร่งก็ตาม แต่การจะแข่งขันกับไผ่เดียวดายนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
ขณะที่ผู้ชมกำลังตกตะลึงกับพลังเสียงของไผ่เดียวดาย หานเซิ่นก็ยิ้มออกมาและถาม “ชีวิตไหนกันที่เจ้าเรียนรู้วิชานี้?”
สีหน้าของไผ่เดียวดายไม่เปลี่ยนแปลง เขาพูดออกมาอย่างสงบ
“มันเป็นชีวิตที่ 3754 ในชีวิตนั้นข้าเป็นนักดนตรีที่ฆ่าผู้อื่นด้วยเสียงเพลง ข้าถูกขังอยู่ในหุบเขาและถูกฆ่าด้วยเสียงสะท้อนของพลังเสียงตัวเอง”
หานเซิ่นส่ายหัวและไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเดินไปที่อีกด้านของก้อนหินและทำเช่นเดียวกับที่ไผ่เดียวดายทำ เขายืนห่างจากแผ่นหินไปสิบเมตรและสูดหายใจเข้าลึกๆ
“หานเซิ่นจะทำได้ไหม?” ยวิ๋นซู่อีเป็นกังวล เธอรู้ว่าไม่สามารถมีความสัมพันธ์แบบรักใคร่กับหานเซิ่นได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธออยากจะเห็นหานเซิ่นล้มเหลว
ยวิ๋นซู่ซางยิ้มแห้งๆออกมา “พี่คงจะบอกไม่ได้ แต่มันมีคนไม่มากนักที่จะฝึกพลังเสียงโดยเฉพาะอย่างยิ่งฝึกจนถึงขั้นนี้ พวกเราไม่เคยเห็นหานเซิ่นใช้วิชาที่เกี่ยวข้องกับพลังเสียงมาก่อนเลย นี่อาจจะเป็นเรื่องแย่สำหรับเขา”
ตอนนี้ยวิ๋นซู่อีรู้สึกกังวลยิ่งกว่าเดิม เธอต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก่อนที่เธอจะได้พูด หานเซิ่นก็เริ่มพูดออกมาอีกครั้ง
“การนั่งในหมู่เมฆาจะโดดเดี่ยวและเหน็บหนาว” หานเซิ่นพูด เขาไม่ได้คิดเกี่ยวกับมันมากนัก เขาแค่ต้องการจะปลอบโยนไผ่เดียวดาย
ไผ่เดียวดายทุกข์ทรมานกับฝันร้ายเป็นหมื่นๆครึ่ง ถึงแม้เขาจะได้กลายเป็นอัจฉริยะในที่สุด หานเซิ่นก็รู้ว่าเขาคงจะต้องโศกเศร้าและโดดเดียว ไม่มีใครรู้ว่ามันยากขนาดไหนกว่าที่เขาจะมาถึงจุดนี้ได้
หลังจากที่หานเซิ่นพูดออกมา แผ่นหินก็ระเบิดออก คำเหล่านั้นปรากฏขึ้นบนแผ่นหิน ในสายตาคนนอกมันเหมือนกับแรงกดดันที่หนักอึ้ง ผู้ชมรู้สึกหดหู่และเสียใจราวกับหัวใจของพวกเขากำลังจมลงไปในอก