ชั้นที่ 4
ยวิ๋นซู่อีหยุดฝึกและลืมตาขึ้นมา ลมปราณหยกไม่ได้ปะทุออกมาอีกแล้ว ดังนั้นเธอจึงมองไปรอบๆเพื่อดูว่าหานเซิ่นอยู่หรือเปล่า แต่เขาไม่ได้อยู่
“ทำไมพี่กระเรียนถึงไม่พาหานเซิ่นลงมา? หรือว่าบางทีพวกเขาจะอยู่บนชั้นที่ 4?” ยวิ๋นซู่อีสงสัยขณะที่เดินขึ้นไปยังชั้นต่อไป
แต่มันไม่มีวี่แววของหานเซิ่นบนชั้นที่สี่ ยวิ๋นซู่อีขมวดคิ้วและตั้งใจจะเดินขึ้นไปยังชั้นต่อไป แต่หานเซิ่น กระเรียนพันขน ยวิ๋นซู่ซางและเฟิร์สเดย์เดินกลับลงมาซะก่อน
ยวิ๋นซู่อีรีบเข้าไปหาพวกเขาและสังเกตหานเซิ่นตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ข้าบอกให้เจ้าตามลงมาพร้อมกับข้า แต่เจ้ากลับดื้อรั้น ศิษย์พี่กระเรียนและเฟิร์สเดย์เลยต้องเสียเวลาพาเจ้ากลับลงมา ลมปราณหยกจะถูกปลดปล่อยออกมาแค่อาทิตย์ละครั้งเท่านั้น ตอนนี้พวกเขาก็ต้องรอไปอีก 7 วัน”
ยวิ๋นซู่ซางดึงเสื้อของยวิ๋นซู่อีและพูด “มันไม่ใช่อย่างนั้น”
“มันไม่ใช่อะไร?” ยวิ๋นซู่อีถามอย่างสบสัน
เฟิร์สเดย์พูด “มิสเตอร์หานวิวัฒนาการเป็นเอิร์ลบนชั้นที่ 7 พวกเราจึงลงมาพร้อมกันในตอนที่ลมปราณหยกสิ้นสุดลงแล้ว”
เมื่อยวิ๋นซู่ซางได้ยินอย่างนั้น ดวงตาของเธอก็เบิกกว้าง เธอมองไปที่หานเซิ่นด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ “เจ้าอยู่บนชั้นที่ 7 และกลายเป็นเอิร์ลจริงๆอย่างนั้นหรอ?”
หานเซิ่นพยักหน้า เขาไม่ได้คิดจะปกปิดพลังของตัวเอง
ยวิ๋นซู่อีทำอะไรไม่ถูก เธอยังคงอ้าปากค้างและไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
มันไม่เคยมีไวเคานต์คนไหนทนต่อลมปราณหยกของชั้นที่ 7 และกลายเป็นเอิร์ลได้สำเร็จมาก่อน ดังนั้นมันจึงยากที่จะเชื่อได้
“ไปกันเถอะ พวกเราค่อยพูดคุยกันต่อทีหลัง” กระเรียนพันขนนำทางออกจากสถานหยกขาวไป
สถานหยกขาวนั้นจะปล่อยลมปราณหยกออกมาแค่ 2 ครั้งในหนึ่งวัน หลังจากนั้นมันก็จะสงบเงียบไปเป็นเวลา 6 วัน หานเซิ่นสามารถพัฒนาเรื่องราวของยีนไปสู่ขั้นต่อไปได้สำเร็จตั้งแต่วันแรก ดังนั้นตอนนี้เขาจึงไม่สนใจอะไรอย่างอื่นอีก เขายังไม่ได้ค้นพบความลับของสถานหยกขาว แต่เขาก็ไม่ได้รังเกลียดอะไรที่จะรอคอยจนถึงอาทิตย์หน้า
หานเซิ่นดีใจมากแล้วที่สามารถทำให้มนตราวิวัฒนาการเป็นระดับเอิร์ลได้สำเร็จ
ในตอนที่พวกเขาบอกลากัน ยวิ๋นซู่ซางก็หยุดหานเซิ่นเอาไว้และพูด
“หานเซิ่น ในอีก 2 วัน กระเรียนพันขนและข้าจะไปที่ถ้ำเสวียนเยวี๋ยน ถ้าเจ้ามีเวลา เจ้าควรไปกับพวกเรา”
“ถ้าเจ้าไม่ปฏิเสธการเข้าร่วมของข้า ข้าก็ยินดีจะไปด้วย” หานเซิ่นพูด
พวกเขากำหนดเวลานัดพบกัน หลังจากนั้นกระเรียนพันขนก็พาหานเซิ่นกลับไปส่งที่เกาะลอยฟ้าของเขา
“ในปราสาทนภา เจ้าควรจะมีสัตว์ขี่ที่บินได้สักตัว มันจะเป็นอะไรที่สะดวกสบาย ถ้าเจ้าบินไปไหนมาไหนด้วยตัวเองไม่ได้’ กระเรียนพันขนพูดขณะที่พาหานเซิ่นกลับไป
“ข้าจะหาสัตว์ขี่ได้จากที่ไหน? และข้าจะหาซื้อจากภายนอกปราสาทนภาได้ไหม?” หานเซิ่นคิดว่าถ้าพวกเขาอนุญาตให้ใช้งานซีโน่เจเนอิค หานเซิ่นก็คิดที่จะพาดาวน้อยมา
กระเรียนพันขนส่ายหัว “สิ่งมีชีวิตจากภายนอกเข้ามาในนี้ไม่ได้ แต่พวกเรามีเกาะที่ใช้สำหรับเลี้ยงดูเหล่าซีโน่เจเนอิค เจ้าจะหาซื้อสัตว์ขี่ที่บินได้จากที่นั่น ถ้าเพียงแค่ใช้เพื่อการเดินทางล่ะก็ แม้แต่ระดับบารอนก็ใช้งานได้ และมันก็ไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายอะไรมาก แต่มันจะดีกว่า ถ้าเจ้าเลือกลงทุนกับตัวที่เป็นระดับไวเคานต์”
หานเซิ่นถามตำแหน่งของที่นั่น หลังจากนั้นกระเรียนพันขนก็จากไป
หานเซิ่นกลับเข้าไปในห้องและอัญเชิญมนตราที่เพิ่งจะเพิ่มระดับออกมา เขาต้องการเห็นว่าเธอเปลี่ยนแปลงไปยังไง
มนตราปรากฏตรงหน้าเขาในร่างของหญิงสาว หลังจากนั้นเธอก็บินเข้ามาในมือของหานเซิ่นและกลายเป็นปืนไรเฟิล
เมื่อหานเซิ่นใช้จิตใจ ปืนไรเฟิลก็เปลี่ยนไปเป็นอาวุธที่ดูเหมือนกับอาร์พีจี
“ว้าว! มันมีร่างที่ 4 และแต่ละร่างก็ดีกว่าร่างก่อนหน้า” หานเซิ่นรู้สึกดีใจ
แต่หานเซิ่นไม่สามารถทดสอบพลังของมันในบ้านได้ ดังนั้นเขาจึงเก็บมันกลับไป
‘เราต้องหาสถานที่เพื่อลองเครื่องยิงจรวดนี้ทีหลัง มันจะมีพลังแบบไหนกันแน่นะ?’ หานเซิ่นคิด
หลังจากที่พักผ่อนแล้ว หานเซิ่นก็มีแผนจะไปดูกฎระเบียบของปราสาทนภา เขาไม่ต้องการจะฝ่าฝืนกฎโดยไม่รู้ตัว
หานเซิ่นไม่มีสัตว์ขี่อยู่ ดังนั้นเขาจึงต้องใช้พลังของตัวเองเพื่อบินออกไป โชคดีที่ตอนนี้เขาวิวัฒนาการเป็นเอิร์ลแล้ว ทำให้เขาสามารถบินไปยังเกาะหลักได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร
หานเซิ่นอ่านกฎระเบียบและพยายามจดจำพวกมันเอาไว้
ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน การรู้กฎระเบียบก็เป็นเรื่องสำคัญเสมอ และเมื่อเขาพบเจอกับคนอื่น เขาก็จะได้ไม่ถูกมองว่าเป็นศัตรูคนหนึ่ง ในบางครั้งการรู้กฎระเบียบหมายความว่าเขาจะได้รับความช่วยเหลือที่คาดไม่ถึงด้วย
มันมีกฎอยู่หลายข้อภายในปราสาทนภา หานเซิ่นจึงต้องใช้เวลาในการจดจำพวกมันแต่ละข้อให้ขึ้นใจ
แต่ทันใดนั้นก็มีซีโน่เจเนอิคที่ดูเหมือนกับเสือกระโดดลงมาใกล้ๆกับหานเซิ่น ยวิ๋นซู่อีอยู่บนหลังของมัน เธอลงมาอยู่ตรงหน้าของหานเซิ่น
“ซู่อี เจ้าเองก็มาที่นี่เพื่ออ่านกฎระเบียบอย่างนั้นหรอ?” หานเซิ่นถาม
ยวิ๋นซู่อียิ้มและพูด “ข้าเกิดในปราสาทนภา ข้าจึงได้อ่านกฎระเบียบหลายต่อหลายครั้งแล้ว ถึงข้าจะถูกลงโทษอยู่บ่อยๆ แต่ข้าก็หลับตาท่องกฎทุกข้อได้อย่างสบายๆ ดังนั้นมันไม่มีความจำเป็นที่ข้าต้องอ่านมันอีก”
“นั่นหมายความว่าเจ้ามีธุระกับข้าสินะ?” หานเซิ่นมองไปรอบๆ แต่มันไม่มีใครคนอื่นนอกจากเขาอยู่ที่นี่
ยวิ๋นซู่อีพยักหน้าและพูด “พี่สาวของข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่มีสัตว์ขี่เป็นของตัวเอง ดังนั้นข้าจะพาเจ้าไปซื้อมัน ตระกูลยวิ๋นนั้นเชี่ยวชาญเรื่องการเลี้ยงดูซีโน่เจเนอิค ดังนั้นพวกเราจึงมีร้านขายซีโน่เจเนอิคอยู่ ข้าจะลดราคาให้กับเจ้า”
“แบบนั้นก็ขอขอบคุณมากๆ” หานเซิ่นตอบ
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปกันเถอะ” ยวิ๋นซู่อีดูค่อนข้างตื่นเต้น
“ได้โปรดรออีกสักหน่อย ข้ายังจดจำกฎระเบียบได้ไม่หมด” หานเซิ่นหันกลับไปอ่านกฎระเบียบบนแผ่นหิน
ยวิ๋นซู่อีรอและสังเกตเห็นว่าหานเซิ่นตั้งใจอ่านพวกมันอย่างมาก
‘นี่เขาเอาจริงอย่างนั้นหรอ? ให้ข้ายืนรออยู่ตรงนี้ แต่เขายังคงตั้งใจอ่านกฎระเบียบให้เสร็จเนี่ยนะ’ ยวิ๋นซู่อีรออยู่สักพัก ขณะที่หานเซิ่นยังคงตั้งใจอ่านพวกมันต่อไป
เธอเป็นลูกสาวของผู้อาวุโสสิบ ชายหลายคนต่างก็ต้องการเข้ามาใกล้ชิดกับเธอ แต่หานเซิ่นกลับเมินเฉยใส่เธอเพื่ออ่านกฎระเบียบแทน เขาใช้สมาธิราวกับว่าเขากำลังอ่านวิชาจีโนที่สุดยอดอยู่
ถ้ายวิ๋นซู่ซางไม่ได้กำชับให้เธอปฏิบัติกับเขาดีๆ ป่านนี้ยวิ๋นซู่อีก็คงจะจากไปเรียบร้อยแล้ว
ไม่นานหานเซิ่นก็อ่านมันจนเสร็จ หลังจากนั้นยวิ๋นซู่อีก็กระโดดขึ้นหลังเสือบินได้ของเธอ เธอยิ้มให้กับหานเซิ่นและพูด “ตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปที่เกาะนั่น เจ้ารีบตามข้ามา”
หลังจากนั้นยวิ๋นซู่อีก็ลูบหัวเสือของเธอ ก่อนที่มันจะกางปีกและเริ่มบินออกไปอย่างรวดเร็ว
‘ข้ารอเป็นเวลานานเพื่อเจ้า ดังนั้นคราวนี้เจ้าก็ควรจะลำบากสักหน่อย’
ยวิ๋นซู่อีคิดพร้อมกับยิ้มออกมา เธอจงใจออกมาก่อนที่หานเซิ่นจะได้ขึ้นมาบนหลังสัตว์ขี่ของเธอ