หลังจากที่องครักษ์ทั้งสองกลับถึงจวนประมุขหญิง ก็ตรงดิ่งไปยังเรือนขององค์ชายน้อยทันที และนำถุงกระสอบเข้าไปวางในห้องตามคำสั่งขององค์ชายน้อย
คงจะเป็นบุคคลที่สำคัญมากต่อองค์ชายน้อย มิเช่นนั้นคงไม่อนุญาตให้นำไปไว้ในสถานที่สำคัญเช่นนี้หรอก
เรื่องอื่นๆ องค์ชายน้อยไม่ได้กล่าวถึง องครักษ์ก็มิได้ต่อความยาวสาวความยืด หลังจากนำถุงนั้นไปวางไว้ พวกเขาก็เข้าไปรายงานเรื่องนี้ต่อองค์ชายน้อยในห้องหนังสือ
หนานกงหลีเพิ่งจัดการราชกิจเสร็จ เขากำลังจะไปถวายพระพรราชบุตรเขยที่เรือนประมุขหญิง สุดท้ายกลับมาเจอองครักษ์เข้ามารายงาน
“กราบทูลองค์ชาย นำคนมาแล้วขอรับ” องครักษ์กล่าวอย่างพินอบพิเทา
หนานกงหลีชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไปพบศัตรูก่อน
หนานกงหลีสั่งให้บ่าวทั้งหมดถอยออกไป แล้วเดินเข้าไปในห้องโดยลำพัง แสงในห้องมืดสลัว มีเพียงแสงตะเกียงรำไร
ในอุบัติเหตุครั้งหนึ่ง เขาบังเอิญไปรู้เข้าว่าตนไม่ใช่ลูกชายคนโตของท่านพ่อ ครั้นท่านพ่ออยู่ในเมืองเยี่ยนแห่งต้าโจวยังมีลูกชายสุดที่รักอีกคนหนึ่ง ความรักที่ท่านพ่อมีให้เขาล้วนถือกำเนิดมาจากชื่อนั้น และชื่อนั้นก็เป็นชื่อของลูกชายคนโต
นั่นทำให้เขารู้สึกริษยาเหลือเกิน เขาจึงตัดสินใจลอบเข้าไปในต้าโจว เพื่อดูว่าลูกคนที่ทำให้ท่านพ่อลืมไม่ลงนั้นจะวิเศษวิโสปานใด
การเดินทางเข้าไปยังต้าโจวนั้นราบรื่นกว่าที่คิด การสืบข้อมูลของเจ้าลูกชายคนโตนั่นก็ง่ายกว่าที่คิด ก่อนหน้านี้เขายังคิดเสียอีกว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่เก่งกาจหาผู้ใดเปรียบ ทว่าอีกฝ่ายกลับเป็นเพียงคนสติฟั่นเฟือนที่ไม่รู้วรยุทธ์และทำแต่เรื่องฉาวโฉ่
เขาร่ำเรียนตำรามหาศาล อาจหาญและเปี่ยมกลยุทธ์ เขานี่สิจึงจะนับว่าเป็นความภาคภูมิใจที่แท้จริงของท่านพ่อ
เขาคิดว่าเมื่อตนเปรียบเทียบเช่นนี้แล้ว ย่อมไม่มีเหตุอันใดให้ต้องรู้สึกอิจฉาอีก กระนั้นเมื่อเขาได้เห็นใบหน้าที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากท่านพ่อโดยไม่มีผิดเพี้ยน เปลวเพลิงแห่งความริษยาก็ลุกโหมขึ้นมาอีกครั้ง!
เจ้านั่นหน้าตาเหมือนท่านพ่อเกินไปแล้ว หากพวกเขายืนอยู่ด้วยกัน ย่อมรู้ได้ทันทีว่าเป็นพ่อลูกกัน!
เขาได้ยินเรื่องคนผู้นั้นจากปากของสวี่ส้าวมาไม่น้อย แม้ว่าจะเป็นเพียงคนสติวิปลาสที่ผู้คนต่างรังเกียจเดียดฉันท์ แต่กลับได้รับความรักความเอ็นดูจากฮ่องเต้ เขาเป็นลูกชายของท่านพ่อ ฮ่องเต้คือลุงของเขา ความรักนี้ย่อมต้องมีส่วนหนึ่งที่เป็นของเขาไม่ใช่หรือ? แม้แต่เมืองเยี่ยนทั้งเมืองก็ควรจะเป็นของเขาเช่นกัน
หลังจากนั้น เยี่ยนจิ่วเฉาก็ไปเมืองสวี่
เขาหมดโอกาสจัดการเยี่ยนจิ่วเฉา น่าเสียดาย เยี่ยนจิ่วเฉาไม่ได้แตะต้องคนที่เขาเตรียมเอาไว้ แต่กลับไปแตะต้องเจ้าคนอัปลักษณ์
ภายหลัง สวี่ส้าวก็จับคนอัปลักษณ์นั่นไปขัง
เขาได้พบกับคนผู้นั้นโดยบังเอิญ
เขายังจำได้ว่านางพุ่งออกมาขวางหน้ารถม้าของเขา พร้อมกับพูดด้วยอาการตื่นตระหนกว่า “มีคนจะฆ่าข้า คุณชายได้โปรดช่วยข้าด้วย!”
เขา…ช่วยนาง?
สตรีคนนี้ โง่จนดูไร้เดียงสาหรืออย่างไร?
สายฝนกระหน่ำ ชำระรอยปานแดงบนใบหน้าของนาง เมื่อนั้นเขาจึงได้เห็นใบหน้างดงามหาผู้ใดเปรียบ
ที่แท้ก็แต่งหน้าให้ดูอัปลักษณ์?
เช่นนี้ก็นับว่าเอาคืนคนผู้นั้นแล้ว
เขามองไปยังหน้าท้องนูนๆ ของนาง แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน “ดี”
ตึง!
ถุงกระสอบขยับ เขาตวัดสายตาไปมองต้นเสียง
ความคิดของหนานกงหลีหยุดลงกะทันหัน และพบว่าตนยืนอยู่นานแล้ว นานจนตะเกียงกำลังจะมอดลง
นางนิ่งเงียบอยู่ในถุงกระสอบมานานแล้วเช่นกัน
นี่คือบทลงโทษที่นางหนีเขามา
หนานกงหลีเดินเข้าไป มองลงไปยังถุงกระสอบ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หนีไปตั้งไกล สุดท้ายเจ้าก็กลับมาหาข้าอยู่ดี?”
ถุงกระสอบ “?! ”
หนานกงหลีเดินไปหน้าโต๊ะ เพิ่มแสงตะเกียงให้สว่าง จากนั้นหันหลัง และนั่งยองลงมองถุงกระสอบซึ่งยังคงแน่นิ่งไม่ไหวติง “ข้าเคยบอกแล้ว ว่าสิ่งที่ข้าถูกใจ ข้าไม่มีทางไม่ได้มันมา มีเพียงข้าต้องการหรือไม่ต้องการก็เท่านั้น”
ถุงกระสอบยังคง “?!”
เมื่อนึกเรื่องหนึ่งออก หนานกงหลีก็หัวเราะเย้ยหยัน “เมื่อก่อนเจ้าบอกกับข้าว่าอย่างไร เจ้าไม่ต้องการลาภยศสรรเสริญหรือทรัพย์ศฤงคาร ไม่ได้ต้องการมีกินมีใช้อย่างสุขสบาย เจ้าเพียงขอร้องให้ข้าปล่อยเจ้าไป แต่ดูที่เจ้าทำ เจ้ากลับไปหาผู้ใด? หรือว่าสำหรับเจ้าแล้ว ข้าไม่อาจเทียบกับเจ้าคนบ้านั่นได้?”
ถุงกระสอบยังคง “…”
หนานกงหลีนั่งยองลงอีกครั้ง ฝ่ามือเย็นเยียบลูบไล้ไปบนมุมโค้งมนของถุงกระสอบ “ครานี้เจ้าตกอยู่ในกำมือของข้าอีกครั้ง เจ้าเดาสิว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปไหม”
ถุงกระสอบซึ่งคิดว่าตนได้พบกับคนวิปริต “!!!”
หนานกงหลียิ้มน้อยๆ “เช่นนี้ดีกว่า เจ้ามีลูกชายให้ข้าสามคน ข้าจะปล่อยเจ้าไป”
ถุงกระสอบแข็งทื่อในทันใด
หนานกงหลีลูบถุงกระสอบเบาๆ ราวกับกำลังลูบไล้อัญมณีล้ำค่า “เจ้าอย่ากังวลไป ข้าจะนุ่มนวลที่สุด”
พูดจบ เขาก็เปิดถุงกระสอบ เผยให้เห็นผู้เฒ่าผมสีดอกเลา
“หา!” ด้วยปฏิกิริยาตอบสนองอันรุนแรง หนานกงหลีตกใจจนล้มก้นจ้ำเบ้า!
อาม่าเหลือบมองเขาด้วยสีหน้าราบเรียบระคนความตื่นเต้น “ตอนเด็กทำตัวไม่รู้ความ แม้แต่คนเฒ่าคนแก่ก็ยังไม่เว้น”
ข้าก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว!
นักบวชอันดับหนึ่งของเผ่า และยังเคยเป็นบุรุษรูปงาม(อัปลักษณ์)ของเผ่าด้วย!
หนานกงหลีกดลงบนหน้าอกซึ่งรู้สึกราวกับจะระเบิด สีหน้าของเขาแลดูประหนึ่งกำลังกระเดือกแมลงวันนับร้อยตัวลงคอไป ก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้จับฮูหยินน้อย? ไฉนดันจับเจ้าแก่นี่มาได้เล่า?
เมื่อนึกถึงเรื่องชวนสยิวที่ตนพูดกับเจ้าแก่นี่ไป ทั้งยังลูบไล้เขาอีก หนานกงหลีก็ขนลุกซู่!
“อ่า เป็นเจ้ารึ?” อาม่าจดจำหนานกงหลีได้
เมื่อได้ยินคำพูดของอาม่า หนานกงหลีซึ่งกำลังอาเจียนจนเกือบหมดท้องก็ชะงักไป แล้วมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
เมื่อครู่มัวแต่คลื่นไส้อาเจียน มิทันได้สังเกตหน้าตาของอีกฝ่าย เมื่อมองดูแล้ว หนานกงหลีก็จดจำอาม่าได้เช่นกัน “นักบวชแห่งเผ่าปีศาจ?”
หนานกงหลีรู้มาจากบ่าวว่ามีสัญลักษณ์แปลกๆ อยู่บนตัวของอวี๋หวั่น เขาจึงเคยนึกสงสัยว่าอวี๋หวั่นเป็นคนของเผ่าปีศาจ
เพื่อที่จะสืบเรื่องนี้ หนานกงหลีจึงเดินทางไปยังเผ่าปีศาจ
และเป็นเพราะการไปเยือนเผ่าปีศาจในครั้งนั้น ทำให้เขารู้ว่าเจ้าสาวที่หนีไปนั้น แท้จริงแล้วเป็นป้าของตน
เขาจงใจแสร้งทำเป็นบาดเจ็บระหว่างทาง เพื่อให้เด็กจากเผ่าปีศาจช่วยเขากลับไป เขาใช้เวลาหนึ่งปีเต็มๆ กว่าจะได้รับความไว้วางใจจากครอบครัวนั้น และพาเขากลับเผ่าไปด้วย
บุคคลแรกในเผ่าปีศาจที่เขาต้องเข้าไปคำนับก็คือนักบวช
ในตอนที่อาม่านอนอยู่บนพื้น เขาได้ยินบ่าวคุยกันและรู้ว่าที่นี่คือจวนประมุขหญิง และผู้ที่จับตนมาก็คือองค์ชายน้อยหนึ่งเดียวของจวน
ชายชราบริภาษเขาว่า “ครั้งแรกที่พบเจ้า ข้ายังคิดเสียอีกว่าเจ้ามันไม่เอาไหน เห็นทีจะไม่ใช่ เจ้าคงเป็นคนพาซิวหลัวออกมากระมัง?”
“มิผิด ข้าเอง” เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอีก ยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อถูกจับมาจากจวนสกุลเห้อเหลียน ต่อให้เป็นความผิดของลูกน้องซึ่งทำงานไม่รอบคอบ แต่อย่างน้อยก็สามารถยืนยันได้ว่าเจ้าแก่นี่เป็นพวกเดียวกับเยี่ยนจิ่วเฉาและอวี๋หวั่น
หนานกงหลีเอ่ยถามว่า “ต้องขออภัยที่ข้าโง่เขลา เหตุใดนักบวชแห่งเผ่าปีศาจจึงมาคลุกคลีกับคนต้าโจวและจวนเทพสงครามแห่งหนานจ้าวได้? ราชาเผ่าปีศาจไม่ได้ส่งพวกท่านไปตามหาตี้จีองค์โตหรือ? ทำไม? พวกท่านกลับมาสร้างความดีความชอบกับลูกสาว…ลูกสะใภ้นาง?”
อาม่าไม่สนใจเขา
เมื่อเห็นว่าอาม่าไม่ตอบ หนานกงหลีหรี่ตาเล็กน้อย “พวกท่านคง…ไม่ได้บุกเข้าไปในสำนักราชครูหรอกกระมัง? พวกท่านกำลังช่วยเยี่ยนจิ่วเฉาตามหาตัวยาอยู่? ถ้าให้ข้าเดา พวกท่านได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากเยี่ยนจิ่วเฉาและฮูหยินน้อย หลังจากนั้นก็จะลักพาตัวพวกเขากลับไปเผ่าปีศาจ และบีบบังคับให้ตี้จีองค์โตเข้ามาติดแหด้วยตนเอง…หากเป็นเช่นนั้น พวกเราก็กำลังร่วมมือกันอยู่”
อาม่าตอบว่า “ข้าไม่ร่วมมือกับเจ้า ล้มเลิกความคิดนี้ไปได้เลย”
หนานกงหลียกยิ้มมุมปาก “ท่านจะไม่ฟังเงื่อนไขของข้าหน่อยหรือ?”
อาม่าหลับตานั่งสมาธิ
หนานกงหลียิ้ม “ก็ได้ ต่างคนต่างความคิด เดิมทีข้าคิดจะตอบแทนบุญคุณคนเผ่าปีศาจ น่าเสียดายที่ท่านนักบวชไม่ให้โอกาสข้า เช่นนั้นข้าก็คงต้องล่วงเกินท่านแล้ว ในเมื่อท่านนักบวกมาที่นี่เพื่อช่วยพวกเขาตามหาตัวยา ในใจของพวกเขาย่อมเคารพท่านมาก หากรู้ว่าท่านอยู่ในเงื้อมมือของข้า พวกเขาจะมาช่วยท่านไหมนะ?”
อาม่ามิได้เป็นเดือดเป็นร้อน
“แสร้งทำเป็นนั่งสมาธิไปก็ไร้ประโยชน์” หนานกงหลียิ้มเยาะ “เรียกคนมา!”
องครักษ์คนหนึ่งผลักประตูเข้ามา “องค์ชาย”
หนานกงหลีสั่ง “เจ้านำความไปแจ้งแก่จวนสกุลเห้อเหลียน บอกคนเผ่าปีศาจเหล่านั้นว่านักบวชของพวกเขาอยู่ในมือข้า ให้พวกเขานำฮูหยินน้อยมาแลก”
“ขอรับ!” องครักษ์รับคำสั่ง
อาม่ากล่าวว่า “พวกเขาไม่มีทางนำคนมาแลก เจ้าล้มเลิกความคิดเสียเถอะ”
หนานกงหลีหัวเราะ “ข้ารู้ แต่พวกเขาต้องมาช่วยท่าน ท่านคิดว่าข้าจะจัดการพวกเขาอย่างไร”
อาม่า “…”
เจ้าคนใจไม้ไส้ระกำ!
หนานกงหลียิ้มอย่างพออกพอใจ แล้วออกคำสั่งว่า “จับเขาไปมัดไว้ในห้องเก็บฟืน!”
องครักษ์อีกคนหนึ่งเข้ามาจับเขาไป หนานกงหลีรู้สึกโล่งใจขึ้นมาก แม้ว่าจะจับฮูหยินน้อยมาไม่ได้ แต่เมื่อผู้เฒ่ามาอยู่ในกำมือของเขา ไม่ช้าก็เร็วนางจักต้องมาเยือนถึงหน้าประตู
หนานกงหลีเรียกองครักษ์และหน่วยกล้าตายมาสั่งการอย่างละเอียด ในตอนนั้นเอง ซิวหลัวซึ่งเพิ่งกินจนอิ่มแปล้ก็กลับจวนมาพอดี
ซิวหลัวดูเหมือนจะอารมณ์ดี
หนานกงหลียิ้มและเรียกเขา “เหตุใดจึงกลับมาช้าเอาป่านนี้เล่า? หิวหรือไม่? ข้าจะให้คนไปเตรียมอาหารค่ำ”
ซิวหลัวเรอออกมาเบาๆ
หนานกงหลี “…”
กินแล้วก็ดี หนานกงหลีไม่ได้ซักไซ้ว่าเขาไปกินที่ไหนมา ซิวหลัวไม่ชอบคุุยกับใคร และไม่ชอบให้ใครมาตอแย ปกติแล้วหากทนไม่ไหวก็จะออกไปเดินเล่นนอกจวน ขอเพียงไม่ทำเรื่องวุ่นวาย หนานกงหลีก็มิได้ยุ่งเรื่องของเขามากนัก
หนานกงหลีบอกว่า “ใช่สิ วันนี้อาจมีคนบุกเข้ามาในจวนประมุขหญิง เจ้าดูแลจวนด้วย อย่าให้ผู้ใดเข้ามา”
ซิวหลัวพยักหน้าตอบรับอย่างมีความสุข
เขาคือซิวหลัวที่พึ่งพาได้ วันนี้ต่อให้เพื่อนๆ ทั้งสามมา เขาก็จะไม่ยอมให้เข้าเป็นอันขาด!
เมื่อซิวหลัวรับปากแล้ว หนานกงหลีจึงวางใจ
หนานกงหลีไปยังเรือนของประมุขหญิง
ส่วนซิวหลัวมุ่งหน้ากลับเรือนของตน
ขณะที่เดินผ่านห้องเก็บฟืน ซิวหลัวก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นแปลกๆ
เขาปราดเข้าไปดู!
ทันทีที่เปิดประตู ก็เห็นเจ้าแก่หน้าตาบูดเบี้ยว
ไอ้หยาาา!
เจ้าแก่อัปลักษณ์มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกันน!!!
เขาขยะแขยงจะตายอยู่แล้ว!
ซิวหลัวจับอาม่าขึ้นมาด้วยความรังเกียจ แล้วโยนออกไปนอกจวนประมุขหญิง
ก็บอกแค่ว่าห้ามให้คนเข้ามา แต่ไม่ได้บอกว่าไม่ให้โยนใครออกไปนี่นา ใช่ไหม?
ในจวนไม่มีเจ้าแก่อัปลักษณ์นั่นแล้ว ซิวหลัวก็พลันรู้สึกว่าอากาศในจวนค่อยสดชื่นขึ้นหน่อย เขาจับขวดนมใบเล็ก แล้วเดินกลับเรือนไปอย่างลำพองใจ!
…………………………………….
หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม [เล่ม2] – บทที่ 266 เรื่องจริงของซิวหลัว
Posted by ? Views, Released on October 15, 2021
, หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม
หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม
Status: Ongoing
เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร
เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน
ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว
ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน…
ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?!
สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย
บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป…
วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย?
ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้…
“ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง
“เรียกแม่สิ”
เธอล่ะอยากจะเป็นลม…