ตอนที่128 เริ่มกลัวรึยัง
ไม่แม้แต่สนใจท่าทางการแสดงออกของเซียนเชียงเลยสักนิด จ้าวเฉียนไม่เกรงกลัวใดๆ เขารู้ดีว่าตึกไข่มุกแห่งนี้เป็นสมบัติของตระกูลจ้าว ดังนั้นจะให้คนอื่นมาสอนในบ้านตัวเองได้ยังไง? ไม่มีทาง!
จ้าวเฉียนชี้ที่พื้นแล้วกล่าวขึ้นว่า
“หยางเฉิงมันคงคิดว่าผมยากจนมั่ง เลยเซ็นเช็คให้ล้านหนึ่งนำไปพัฒนาชีวิต ซึ่งผมเองก็เห็นว่าหยางเฉิงใบหน้าแก่เกินวัย ก็เลยเซ็นเช็คห้าล้านให้เขาไปซื้อครีมบำรุงผิวหน้า จะทำไงได้เป็นถึงประธานเฟยอวี่ กรุ๊ป ออกงานสังคมบ่อย แต่หน้าดันเหี่ยวขนาดนี้ ใครเห็นก็ต้องส่ายหน้ากันทั้งนั้น”
คำกล่าวของจ้าวเฉียนทำให้เซียนเชียงหลุดขำออกมา
หลังจากหัวเราะได้พักหนึ่ง เซียนเชียงก็พาจ้าวเฉียนกับหยางหมิงออกไปยังมุมหนึ่ง
เซียนเชียงคลี่ยิ้ม ท่าทางการแสดงออกดูจริงจังขึ้นเล็กน้อยพร้อมกล่าวว่า
“อย่ามีปัญหาในวันแบบนี้เลยนะ งานราตรีจัดขึ้นโดยมีฉันเป็นเจ้าภาพ อย่างน้อยก็ให้มันจบลงด้วยดีเถอะ ถือว่าเห็นแก่หน้าฉันนะพวกคุณ มีเรื่องขับข้องใจอะไรวันหน้าค่อยสะสางว่าไหม?”
แม้ว่าน้ำเสียงของเซียนเชียงจะค่อยไปทางเคร่งขรึม แต่จะเห็นได้ว่าเขายังคงไว้ซึ่งความสุภาพไว้อยู่หลายส่วน เพราะทุกคนที่มาในงานนี้ได้ย่อมไม่ใช่บุคคลธรรมดาทั่วไป ดังนั้นเขาจึงกล่าวอ้อมๆเชิงสั่งว่าห้ามมีปัญหากันในงานจะดีกว่า
แน่นอนว่าเซียนเชียงไม่รู้ว่าจ้าวเฉียนเป็นใคร แต่ถ้ารู้เขาคงไม่กล้าพูดแบบนี้แน่นอน และอีกเหตุผลสำคัญที่เขาต้องสุภาพขนาดนี้คือ เขายังเห็นแก่หน้าหยางเฉิงกับหวานหลินอยู่ไม่น้อย
หยางเฉิงนับว่าเจนจัดดน้าแวดวงธุรกิจ เปรียบได้ดั่งทหารผ่านศึกสงครามมาแล้วนับไม่ถ้วน เมื่อรู้ว่าเขาไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านี้แล้ว จึงพยักหน้าตอบตกลงไปว่า
“ไม่มีปัญหา ผมให้หน้าลุงห้าเสมอ ถ้าอย่างนั้นวันนี้ผมจะไม่สนใจเจ้าเด็กนี่สักวัน”
เซียนเชียงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขายิ้มกล่าวขึ้นว่า
“โอเค งั้นก็ขอขอบคุณคุณหยางล่วงหน้าเลยแล้วกัน ส่วนน้องชาย…โอเคไหม?”
จ้าวเฉียนไม่รู้จักเซียนเชียงด้วยซ้ำ นับประสาอะไรจะต้องทำตามคำสั่งของอีกฝ่าย? ตึกแห่งนี้เป็นทรัพย์สินของตระกูลจ้าว ทำไมจะต้องให้หน้าใครอื่น?
“โดยปกติแล้วผมไม่คิดที่จะมีปัญหากับใครอยู่แล้วในงานสังคมแบบนี้ แต่คุณหยางใช้เงินฟาดหน้าผม นี่มันเป็นการดูถูกเกินไป แม้ผมจะอายุน้อย แต่ก็ใช่ว่ายืนให้ใครก็ตามกลั่นแกล้งได้ ผมขอความเป็นธรรมหน่อยแล้วกัน ให้เขาขอโทษผมตรงนี้ ไม่อย่างนั้นเรื่องไม่จบลงง่ายๆแน่!”
จ้าวเฉียนตอบกลับอย่างหนักแน่น
หยางเฉิงสวนกลับทันทีด้วยความไม่พอใจว่า
“ขอโทษงั้นเหรอ? ฝันไปเถอะ! นี่แกเป็นใคร ใหญ่โตมาจากไหน? คิดว่าตัวเองมีคุณสมบัติอะไรที่จะให้ฉันก้มหัวขอโทษแก? ลุงห้า เห็นรึยังว่าไอ้เด็กนี่มันหยิ่งแค่ไหน? มันไม่แม้แต่ไว้หน้าพี่เลยในบ้านของพี่เอง สงสัยที่บ้านไม่เคยสั่งสอนมันจริงๆ!”
สีหน้าของเซียนเชียงเริ่มืดทมิฬลงในทันใด เขาขู่เข่นเสียงทุ้มต่ำใส่จ้าวเฉียนไปว่า
“น้องชาย ที่ฉันสุภาพกับนายมากขนาดนี้ เพราะเห็นแก่หน้าประธานหวานนะ ถ้าไม่ได้เป็นเพื่อนกับลูกสาวเขา ปานนี้ฉันเตะส่งนายออกไปให้พ้นๆที่ของฉันแล้ว!”
หยางเฉิงแสดงท่าทียิ้มแย้มแจ่มใส เขาคิดว่าถ้าจ้าวเฉียนทำให้เจ้าบ้านอย่างเซียนเชียงต้องขุ่นเคืองเมื่อไหร่ หวานหลินคงสั่งให้หวานเจียงออกห่างจากไอ้หมอนี่แน่นอน และตอนนั้นหยางหมิงลูกชายเขาจะกลับมามีโอกาสอีกครั้ง
“ลุงห้า เด็กนี่มันหลงตัวเองเกินไป บางทีคงไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้ใครเป็นเจ้าของ!”
หยางเฉิงกล่าวเสริมเพิ่มชนวนไฟ
เซียนเชียนพนักหน้าเห็นด้วย ความน่าเกรงขามของพวกเขากลับถูกเด็กน้อยบดขยี้ในวันนี้ ถ้าข่าวหลุดออกไปจะน่าอับอายเพียงใด
เซียนเชียงหันไปขยิบตาให้บอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งที่เฝ้าติดตามเขา ในทันใดพวกนั้นก็เดินมาหาทันที
มุมปากของหยางเฉิงหลี่ยิ้มส่องเล่ห์สไน เฝ้าจินตนาการไว้ว่า หลังจากนี้จ้าวเฉียนจะตายอีท่าไหน เซียนเชียงเป็นถึงคนใหญ่คนโตในวงการบันเทิง ใครก็ตามที่ไปมีเรื่องด้วยล้วนไม่จบลงด้วยดี
หวานเจียงที่เห็นว่าทางนั้นดูท่าไม่ดีแล้ว เธอจึงรีบวิ่งไปหาโดยไว
“ลุงห้า…”
หวานเจียงกล่าวทักทายอย่างยิ้มแย้ม
เซียนเชียงหัวเราะเสียงแผ่วตอบไปว่า
“โอ้ว่าไงหลานสาว แล้วพ่อเธออยู่ไหนแล้วล่ะ?”
หวานเจียงชี้ไปยังทิศทางที่หลานหลินยืนอยู่และตอบไปว่า
“คุณพ่ออยู่ตรงนั้น น่าจะมาหาเร็วๆนี้แหละค่ะ”
“ฮ่าฮ่า….หลานสาว แฟนของเธอค่อนข้างหัวรั้นมากเลยนะ ยังไงซะลุงอาจต้องสั่งสอนเล็กๆน้อยๆ”
จากนั้นเซียนเชียงก็ตรงออกไปหาหลานหลินทันที
“ประธานหวาน ลูกเขยของคุณขี้หงุดหงิดน่าดูเลย คงไม่ว่าอะไรนะครับถ้าผมจะสั่งสอนเขาหน่อย”
โดยธรรมชาติแล้ว หวานหลินไม่คิดจะสร้างความบาดหมางกับเซียนเชียงอยู่แล้ว เขารีบตอบกลับไปทันทีว่า
“ลุงห้าเข้าใจผิดแล้ว เจ้าหนุ่มนั้นไม่ใช่ลูกเขยตระกูลผม เป็นแค่เพื่อนธรรมดาของลูกสาวผม ถ้าอีกฝ่ายทำให้ลุงห้าต้องขุ่นเคืองก็สั่งสอนได้ตามสบายเลยครับ ไม่ต้องไว้หน้าผมเลย”
เซียนเชียงเหล่มองหวานหลินเสี้ยวแวบหนึ่ง พลันสันนิฐานไปว่า ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้พูดโกหก ถึงแววตาของหวานเจียงที่จับจ้องจ้าวเฉียนจะดูมากกว่าเพื่อนก็ตาม แต่ในเมื่อคนเป็นพ่อตบปากรับประกันแบบนี้แล้ว จ้าวเฉียนก็แค่เพื่อนธรรมดาเท่านั้น
ในเมื่อหลานหลินปฏิเสธที่จะปกป้องจ้าวเฉียนแล้ว ดังนั้นเซียนเชียงก็สามารถทำอะไรก็ตามตามประสงค์
“ถ้าอย่างนั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะ”
เซียนเชียงกล่าวน้ำเสียงขึงขัง
หลานหลินคลี่ยิ้มอย่างแช่มช้า กล่าวตอบไป
“ลุงห้าต้องพูดเล่นแล้ว ไม่ต้องเกรงใจผมเลยครับ ถ้าอย่างนั้นขอตัวไปทักทายเพื่อนเก่าก่อนนะครับ จัดการหมอนั่นได้ตามสบายเลย”
หลังจากพูดจบหวานหลินก็เดินออกไปหาหวานเจียง และบังคับให้เธอออกไปจากจุดเกิดเหตุโดยเร็ว เขาปล่อยให้เธอมาหลบมุมหนึ่งในงาน
หยางหมิงที่เห็นแบบนั้นรู้สึกได้ทันทีว่า โอกาสของเขามาถึงแล้ว จึงรีบเดินตามหวานเจียงและกล่าวขึ้นว่า
“เสี่ยวเจียง เจ้านั้นทำให้ลุงห้าต้องขุ่นเคืองแล้ว คงรู้ใช่ไหมว่าผลลัพธ์ของมันจะจบลงยังไง? อย่างน้อยถ้าไม่ตายก็ไม่เหลืออนาคตแล้ว คนที่มือเท้าทำอะไรไม่ได้ เธอจะดูแลขยะอย่างมันไปตลอดชีวิตเลยงั้นเหรอ?”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วทำไม? เกี่ยวอะไรกับนาย?”
หยางหมิงที่โดนโต้กลับไปแบบนั้นพลันหน้าชาเล็กน้อย แต่เพื่อให้ได้หุ้นส่วนของฮวาหยิน กรุ๊ปมาตามที่พ่อของเขาปรารรถนา เขาจำต้องอดทนอดกลั้นต่อทุกอย่างตรงหน้า
“นี่ไม่ใช่เรื่องของฉันก็จริง แต่ฉันก็ไม่อยากเห็นเธอทนอยู่กับความเสียใจไปชั่วชีวิต แล้วอีกอย่างถ้าเธอรับคนที่สร้างความขุ่นเคืองกับลุงห้าเข้ามาในตระกูล จะเท่ากับว่าฮวาหยิน กรุ๊ปไม่ถูกกับลุงห้าเช่นกัน ผลลัพธ์หลังจากนั้นจะเป็นยังไงเคยคิดบ้างไหม?”
เมื่อได้ยินหยางหมิงพูดแบบนั้น หวานเจียงก็คิดว่ามันสมเหตุสมผลเช่นกัน เธอไม่สนหรอกว่าตัวเองจะต้องเผชิญอะไรกับวันข้างหน้า แต่เธอไม่สามารถเพิกเฉยต่อชะตากรรมของฮวาหยิน กรุ๊ปได้ ถ้ามีปัญหากับลุงห้าในอนาคต มันเท่ากับว่าเตรียมอำลาวงการบันเทิงได้เลย
แต่จ้าวเฉียนล่ะ? เขาจะสามารถรับมือกับศัตรูจำนวนมากมายขนาดนี้เพียงลำพังได้ยังไง? จ้าวเฉียนเป็นพวกสวะในสายตาของคนเหล่านี้ แม้ว่าจ้าวเฉียนจะถูกทุบตีต่อหน้าต่อคนผู้คนภายในงานจำนวนมาก แต่ย่อมไม่มีใครกล้ายอมเป็นพยานให้การกับตำรวจแทนเขาแน่นอน หรือว่านี่อาจจะเป็นจุดจบของจ้าวเฉียนแล้วจริงๆ?
อย่างไรก็ตามแต่ จ้าวเฉียนยังคงยืนนิ่งดั่งทองไม่รู้ร้อน เสมือนว่าไม่ได้ตระหนักถึงภัยอันตรายที่กำลังคืบคลานมาเลย ท่าทางการแสดงออกของเขาข่างดูผ่อนคลายประดุจกำลังยืนรับลมเย็นแห่งฤดูใบไม้ผลิ
ผู้คนจำนวนมากภายในงานต่างแอบมองมาทางจ้าวเฉียน พร้อมจับกุมนินทากันอย่างสนุกปาก
“ไอ้หมอนั่นมันโง่จริงๆ เป็นลูกวัวแรกเกิดแท้ๆกลับไม่กลัวพญาเสือ อยากจะเห็นจริงๆว่า หลังจากนี้มันยังมีหน้ายิ้มอยู่ได้ไหม?”
ขณะเดียวกัน เซียนเชียงก็เดินตรงเข้ามาถามจ้าวเฉียนด้วยความสงสัยว่า
“ไม่มีใครปกป้องนายได้แล้ว เริ่มกลัวขึ้นบ้างรึยัง?”
“กลัวเหรอ? ทำไมผมต้องกลัวด้วย? มีผู้คนมากมายเป็นพยาน กล้าลงไม้ลงมือกับผมต่อหน้าพวกเขาเหรอ?”
จ้าวเฉียนสวนตอบกลับไปอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ฮ่าฮ่าๆๆ…”
ทันใดนั้นเซียนเชียงก็ระเบิดหัวเราะเยาะลั่น ทำเอาสถานที่จัดงานทั่วสารทิศพลันเงียบสงัดลงในทันใด
“ทุกคน! ชายหนุ่มคนนี้บอกว่า ผมไม่กล้าลงไม้ลงมือกับเขาต่อหน้าพวกคุณทั้งหมด หลังจากนี้ผมจะกระทืบมัน! มีใครกล้าเป็นพยานให้มันไหม?”
เซียนเชียนจงใจสร้างความอับอายให้แก่จ้าวเฉียน ตอนนี้เขายืดอกป่าวประกาศออกไปอย่างภาคภูมิใจ และแน่นอนว่าไม่มีใครกล้าคัดค้านอะไรเลยเช่นกัน
คนพวกนี้กำลังเฝ้าดูเรื่องตลกฉากใหญ่หลังจากนี้เท่านั้น และไม่มีทางยื่นมือไปช่วยอีกฝ่ายแน่นอน
หวานฮันซู หยางหมิงและคนอื่นๆต่างแอบหัวเราะเยาะภายในใจอย่างสุขอกสุขใจยิ่งนัก จ้าวเฉียนเตรียมชดใช้ต่อความหยิ่งผยองในราคาที่สูงลิบลิ่ว
หวานเจียงเริ่มวิตกกังวลหนักข้อ เธอรีบขอร้องให้พ่อของเธอไปช่วยเขาทันที
หวานหลินกล่าวน้พเสียงเย็นตอบไปแค่ว่า
“เลิกฝันสักทีเถอะลูก พ่อช่วยเขาไม่ได้ แล้วนับจากนี้พ่อไม่อนุญาตให้คบหากับเขาอีก ไม่อย่างนั้น…ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าพ่อ!”
“แต่…ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขา หนูก็ต้องรับผิดชอบเช่นกัน!”
“แล้วมันยังไง!? ไอ้สิ่งที่เขาต้องเผชิญคือความตาย ลูกจะไปตายแทนมันรึไง? เลิกหลงมันได้แล้ว อย่าพูดเรื่องมันให้พ่อได้ยินอีกถ้าไม่อยากมีปัญหา!”
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสักคนกล้ากล่าวแทรกขึ้นมา เซียนเชียงจึงแสยะยิ้มมุมปากเอ่ยท้าทายขึ้นว่า
“แล้ว…มีใครกล้าโทรแจ้งตำรวจ เป็นพยานให้ไอ้หมุ่นนี่ไหม?”
ทุกคนยังปิดปากเงียบ ไม่มีใครตอบสักคน
เซียนเชียงหันเหลือบมองจ้าวเฉียนด้วยหางตาอย่างพึงพอใจ และเอ่ยถามซ้ำว่า
“เริ่มกลัวขึ้นมาบ้างรึยัง?”
จ้าวเฉียนแสร้งทำตัวประหม่ากล่าวว่า
“ผมกลัวแล้ว…ผมกลัวแล้ว…”
“ฮ่าฮ่า…แค่บอกว่ากลัวมันไม่จบง่ายๆแบบนั้นหรอก! ฉันจะไม่ใหโอกาสแกได้คุกเข่าขอโทษฉัน เพราะมันสายเกินไปแล้ว! ทุกคนดูไว้! ถ้าใครกล้าทำให้ฉันขุ่นเขือง ผลลัพธ์ที่ได้จะโหดร้ายเกินจินตนาการอย่างที่ไอ้หมุ่นนี่โดน! พวกนายจัดการ!”
เซียนเชียงโบกมือส่งสัญญาณให้เหล่าบอดี้การ์ด พวกนั้นตรงเข้ามารุมล้อมรอบตัวจ้าวเฉียนในทันที
ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี – ตอนที่ 128 เริ่มกลัวรึยัง
Posted by ? Views, Released on October 15, 2021
, ฉันนี่แหละ ทายาทเศรษฐี
เนื้อเรื่องย่อ
จ้าวเฉียน อายุ23ปี พนักงานกินเงินเดือนธรรมดา รายได้เดือนละแค่5,000หยวน ทุกคนในบริษัทต่างดูถูกดูแคลนเขา เพราะเจ้านี่ขี้เหนียวเหลือเกิน แม้แต่แฟนเก่ายังทนเขาไม่ไหว และหันมาแอบคบชู้กับผู้จัดการของเขาแทน จนเวลาผ่านไปเขาเพิ่งมารู้ความจริง
อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ชวนน่าตกตะลึงกว่าคือ ตัวตนที่ที่แท้จริงของเขาคือทายาทมหาเศรษฐี บุตรชายของจ้าวฝู บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่เมื่อห้าปีก่อน หลังจากที่ฉลองปาร์ตี้ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เขาก็ขับรถกลับทั้งๆที่อยู่ในอาการเมา จนแล้วจนรอด บังเอิญไปเฉี่ยวชนเข้ากับสาวน้อยคนหนึ่ง จนเธอได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้เนื่องจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ขาดสติหนัก เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้น ตะโกนโหวกเหวกโวยวายสร้างปัญหาไปทั่วสถานีตำรวจ ระหว่างนั้นเองก็มีมือดีที่ไหนไทม่ทราบแอบถ่ายคลิปเก็บไว้ได้ทัน พร้อมถูกอัปโหลดลงโซเชียลออนไลน์ ก่อให้เกิดเป็นประเด็นข้อฉกเถียงยกใหญ่ของผู้คนในเวลานั้น ซึ่งเรื่องนี้ก็กระทบไปถึงชื่อเสียงขงอตระกูล จ้าวฝูไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้อำนาจเงินตรา เพื่อไล่ลบคลิปวีดีโอเหล่านี้จนหมด ไม่ให้สืบสาวไปถึงตัวลูกชายของเขา คนเป็นพ่อใช้ไม้แข็งตัดขาดจ้าวเฉียน ไล่ไสส่งออกจากตระกูลจ้าว และให้จ้าวเฉียนหาเงินมาชดใช้ค่ารักษาสาวน้อยคนนั้นเป็นจำนวน 200,000หยวน เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจนี้ ถึงจะกลับเข้ามาในตระกูลอีกครั้งได้
ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา จ้าวเฉียนจำต้องทนกับความอัปยศนานาชนิด ทั้งยังต้องใช้ชีวิตอย่างประหยัด จนในที่สุดเขาก็จ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลจนควบตามที่กำหนดไว้ เขาได้ทุกอย่างคืนกลับมาอีกครั้ง และสิ่งแรกที่เขาต้องการคือ การแก้แค้นพวกที่เคยดูถูกเขา!
“ประธานฟาง ฉันยินดีร่วมหุ้นกับบริษัทของคุณเป็นจำนวนเงิน3ล้านหยวน โดยมีเงื่อนไขว่า คุณไม่ได้รับอนญาตให้เปิดเผยสถานะที่แท้จริงของผม ไม่อย่างนั้นผมจะถอนทุนทั้งหมดออกทันที”
“เข้าใจแล้วค่ะคุณจ้าว”
“ฮิฮิ….ตราบใดที่เข้าใจแล้ว ก็ทำให้ได้ แล้วคุณรู้ไหมว่า ผู้จัดการหวัง เจ้านั้นมันต้องการขับไล่ผมออกจากบริษัท คิดว่าผมควรทำยังไงดี?”
“ง่ายมากค่ะ! ฉันจะไล่เขาออกเดี๋ยวนี้!”
“ไม่ ไม่… ผมยังเล่นกับเขาไม่จุใจเลย จะไล่ออกไปง่ายๆได้ยังไง?”
Recommended Series
Comment
Facebook Comment