ในขณะที่ดูการเคลื่อนไหวของหลินเสี่ยว อู่เย่วหลิงก็เข้ามาใกล้พร้อมกับปิดจมูกของเธอไว้ แต่เธอยังคงเว้นระยะให้ตัวเองอยู่ห่างหนึ่งหรือสองเมตร
หลินเสี่ยวล้างสตรอเบอร์รี่ แต่แล้วก็รู้ว่าเธอถือพวกมันไว้ทั้งหมดไม่ได้ เธอหยุดล้าง
เธอจำได้ว่าใบสตรอเบอร์รี่ค่อนข้างใหญ่ เธอคิดว่าเธอน่าจะออกไปเด็ดเอามาไว้ใส่สตรอเบอร์รี่พวกนี้
ด้วยความคิดนั้น เธอค่อยๆว่างสตรอเบอร์รี่ที่ล้างแล้วสองสามลูกลงบนพื้นจากนั้นก็หายไปจากอวกาศอีกครั้ง เธอออกไปเด็ดใบขนาดใหญ่ที่ไม่มีตำหนิและกลับไปล้างในทะเลสาบ แล้วล้างสตรอเบอร์รี่อีกครั้งจนหมดและใช้ใบมันห่อไว้
เธอดมสตรอเบอร์รี่และเป็นตามที่คาดกลิ่นเหม็นหายไปแล้ว
หลินเสี่ยวถือห่อสตรอเบอร์รี่ด้วยมือทั้งสองข้างเดินไปที่ชายทุ่งหญ้าสองสามก้าว วางลงบนพื้น เธอยืนตัวตรงขณะที่มองและกวักมือให้อู่เย่วหลิง
ดวงตาของอู่เย่วหลิงเต็มไปด้วยความสับสนเมื่อเธอเห็นซอมบี้กวักมือเรียก เธอบีบจมูกแน่นและยังยืนมองอยู่ตรงนั้นต่อไปแทนที่จะเข้าไปหาหลินเสี่ยวตามที่เธอเรียก
เมื่ออู่เย่วหลิงปฏิเสธที่จะมาหาเธอ ทันใดนั้นหูของหลินเสี่ยวก็ได้ยินเสียงเล็กๆที่ดังขึ้น เธอหันหน้าไปและเห็นเจ้าปุกปุยขนสีเทาตัวเล็กพุ่งออกมาจากพงหญ้า มันยืนมองเธอและสตรอเบอร์รี่ที่พื้นใกล้เท้าของเธอ
หลินเสี่ยวหันกลับไปมองมัน น่าแปลกใจที่เธอพบว่าดวงตาของกระต่ายเป็นประกายในขณะที่จ้องมองสตรอเบอร์รี่ ดูเหมือนกระต่ายอยากจะเข้ามาหา แต่ไม่กล้า
ท่าทางระวังของกระต่ายทำให้เธอนึกถึงอู่เย่วหลิง
‘ทั้งสองเป็นแบบไหน?’ หลินเสี่ยวถามตัวเอง
เมื่อรู้สึกถึงความโหยหาในดวงตาของกระต่าย หลินเสี่ยวจึงพยายามโยนสตรอเบอร์รี่ลูกเล็กที่สุดไปให้มัน
กระต่ายตกในกับสตรอเบอร์รี่ที่เธอขว้างมาอย่างกะทันหัน มันหันกลับและพุ่งเข้าไปหลบในพงหญ้าทันที
หลินเสี่ยวยืนนิ่ง ตามคาดกระต่ายโผล่หัวออกมาจากพงหญ้าอีกครั้งในไม่กี่วินาทีต่อมา หันไปมองรอบๆและเมื่อไม่พบอันตรายใด มันก็กระโดดออกมาและพุ่งเข้าหาสตรอเบอร์รี่ มันเอื้อมคว้าสตรอเบอร์รี่ไปและหันกลับกระโดดเข้าไปในพงหญ้าอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้มันจะไม่กินสตรอเบอร์รี่แม้ว่าหลินเสี่ยวจะบังคับให้กินก็ตาม แต่ตอนนี้มันกำลังขโมยสรอเบอรี่
หลินเสี่ยวมองดูกระต่ายที่ถือสตรอเบอร์รี่ออกไปด้วยความสับสน จากนั้นหันกลับไปกวักมือ เรียกอู่เย่วหลิง
‘มานี่มา’
ในขณะที่มองไปที่ดวงตาแป๋วของอู่เย่วหลิง เธอพูดกับเด็กน้อยในใจของเธอ เธอไม่รู้ว่าเธอจะส่งความคิดออกไปได้หรือไม่ แต่การสบตาได้ผลจริง
อย่างไรก็ตาม เธอเห็นอู่เย่วหลิงส่ายหน้าใส่เธอในช่วงเวลาถัดมา
‘นี่…เธอได้ยินความคิดของฉันหรือเปล่า?’ หลินเสี่ยวหยุดชะงัก ความไม่แน่ใจทำให้ความคิดของเธอขุ่นมัว
เธอหยิบสตรอเบอร์รี่ขึ้นมาใกล้จมูกของเธอแล้วดม จากนั้นมองไปที่อู่เย่วหลิง และกวักมือเรียกอีกครั้ง พร้อมพูดสองสามประโยคในความเงียบ
‘มานี่ สตรอเบอร์รี่ล้างแล้ว พวกมันไม่เหม็น’
หลังจากจบประโยคในใจเธอ หลินเสี่ยว จ้องที่อู่เย่วหลิงและรอคำตอบของเธอ เธอไม่แน่ใจว่าเด็กน้อยส่ายหัวเพราะเคยได้ยินความคิดของเธอหรือว่าเธอฉลาดพอที่จะเดาความหมายของเธอจากการเคลื่อนไหวและการกระทำ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดดูเหมือนว่าตอนนี้พวกเขามีวิธีสื่อสารกันได้แล้ว
อู่เย่วหลิงไม่พูดอะไร เธอไม่เคยมี เธอไม่แม้แต่จะพูดอะไรกับอู่เฉิงเย่ว และมักจะแสดงออกทางความคิดผ่านการเคลื่อนไหวเท่านั้น ดังนั้นเธออาจเดาความหมายของหลินเสี่ยวจากการแสดงออกของเธอได้
ตามคาด อู่เย่วหลิงได้เคลื่อนตัวหลังจากที่หลินเสี่ยวบอกเป็นนัยว่าสตรอเบอร์รี่ล้างแล้วและไม่เหม็น
เธอค่อยๆ คลายมือที่บีบจมูกลง จากนั้นก็เชิดจมูกขึ้น สูดดมไปที่สตรอเบอร์รี่ หลังจากยืนยันได้ว่าไม่มีกลิ่นเหม็นจริงๆ เธอจึงทิ้งมือลงข้างตัว แต่ก็ยังไม่เดินไปหาหลินเสี่ยว
‘ไม่เหม็นแล้วจริงเหรอ? เธอโกหกฉันรึเปล่า สตรอเบอร์รี่พวกนั้นมีพิษใช่ไหม ฉันจะตายไหมถ้ากินมันเข้าไป แต่กระต่ายตัวนั้นกินครั้งก่อนมันก็ไม่ตาย ’ ขณะความคิดเหล่านั้นแล่นผ่านหัวของเธอ อู่เย่วหลิงมองไปที่หลินเสี่ยวและพยายามกระเสือกกระสน
หลินเสี่ยวรู้สึกได้ถึงความคิดของเธอ แทนที่จะยืนอยู่ตรงนั้นเธอหันร่างของเธอและนั่งลงบนพื้น ตรงสตรอเบอร์รี่
หยิบสตรอเบอร์รี่ขึ้นมาและได้กลิ่นหอมหวาน ไม่น่าแปลกใจที่กระต่ายวิ่งไปเร็วมาก เห็นได้ชัดว่าความรู้สึกของกลิ่นนั้นค่อนข้างคมชัดมาก
กลิ่นหอมหวานนี้ดึงดูดหลินเสี่ยวแค่เพียงเล็กน้อยและไม่ได้กระตุ้นความอยากอาหารของเธอ แต่กลับเป็นกลิ่นของอู่เย่วหลิงที่ทำให้เธอน้ำลายไหลตลอดเวลา
เธอมองไปที่อู่เย่วหลิงอย่างมีความหมายและโบกมือให้เธออีกครั้ง เมื่อเห็นว่าในที่สุดอู่เย่วหลิงก็เข้ามา เธอชี้ไปที่สตรอเบอร์รี่ในมือจากนั้นก็เอาเข้าปากแล้วกัด
สตรอเบอร์รี่มีเนื้อสัมผัสที่เนียนนุ่ม แต่หลินเสี่ยวยังไม่สามารถลิ้มรส รสชาติของมันได้อยู่ดี
เนื้อของสตรอเบอร์รี่มีสีชมพูไม่เหมือนสีผิว
หลินเสี่ยวกินสตรอเบอร์รี่หมดด้วยการกัดเพียงสองสามคำ แล้วแบมืออันว่างเปล่าให้อู่เย่วหลิงดู
อู่เย่วหลิงเริ่มเชื่อเธอแล้วในตอนนี้ เธอเดินเขามาช้าๆ และในขณะที่เดิน เธอสูดดมหาร่องรอยของกลิ่นเหม็นที่เธอได้กลิ่นก่อนหน้านี้ด้วย
อย่างไรก็ตามแม้ว่าเธอจะเข้ามาใกล้หลินเสี่ยวแล้ว เธอก็ยังไม่ได้กลิ่นเหม็นน่ากลัวนั้นเลย
หลินเสี่ยวหยิบสตรอเบอร์รี่ที่สวยและอวบอิ่มที่สุดส่งให้เธอ หยดน้ำที่เกาะอยู่บนผิวของมันสร้างแรงดึงดูดให้มันน่ากินขึ้น
‘กินเถอะ ไม่มีพิษ’ หลินเสี่ยวพูดกับอู่เย่วหลิงทางสายตา
เธอกังวลว่าอู่เย่วหลิงจะไม่เข้าใจความหมายของเธอ เธอจึงชี้ไปที่สตรอเบอร์รี่ จากนั้นโบกมือของเธอและกวาดตัดขวางลำคอของเธอเอง หลังจากทำเช่นนั้นเธอก็หลับตาเอียงศีรษะ และแลบลิ้นของเธอออกมาเพื่อเลียนแบบความตายให้กับอู่เย่วหลิงดู
แต่ เด็กคนนี้ยิ่งสับสนกับเรื่องทั้งหมด
ช่วงเวลาที่ผ่านมา อู่เย่วหลิงเข้าใจความหมายของเธอแล้ว แต่การได้เห็นเธอดูน่ากลัวเช่นนี้ เด็กรู้สึกแปลก ๆ ทันทีและไม่รู้ว่าจะตอบสนองอย่างไร
หลินเสี่ยวลืมตาขึ้นและมองไปที่ใบหน้าที่ว่างเปล่าของอู่เย่วหลิง เธอไม่รู้สึกถึงความคิดของคนหลัง แต่เด็กคนนั้นมองเธอในแบบที่ใคร ๆ ก็มองว่าเป็นโรคจิตทำให้เธอเงียบไป
เธอถูกเด็กน้อยคนนี้เหยียดหยาม ใช่ไหม?
หลังจากจ้องมองหลินเสี่ยวที่แสดงท่าทางประหลาด ๆ อยู่ครู่หนึ่ง อู่เย่วหลิงยื่นมือออกไปอย่างเงียบ ๆ และหยิบสตรอเบอร์รี่ที่หลินเสี่ยวถือไว้ให้ เธอวางไว้ใต้จมูกของเธออย่างระมัดระวังแล้วดมมัน เธอได้กลิ่นหอม หอมหวานแทนกลิ่นเหม็นจากนั้นบีบมันและพบว่ามันนุ่ม
หลินเสี่ยวยกนิ้วชี้ไปที่ปากของเธอ เธอตั้งใจจะกระตุ้นให้อู่เย่วหลิงกัดและชิมสตรอเบอร์รี่ อย่างไรก็ตาม คนหลังมองเธอด้วยความลังเลสงสัยอยู่พักหนึ่ง
เธอไม่กล้ากินมัน เพราะกลัวว่ามันจะเป็นพิษ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้สตรอเบอร์รี่มีกลิ่นหอมมากทีเดียว กลิ่นหอมหวานมาก! รสชาติจะหวานเหมือนกันไหม?
เมื่อเห็นท่าทางดิ้นรนของเธอ หลินเสี่ยวก็รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรโดยไม่ได้รู้สึกถึงความคิดของเธอ จากนั้นเธอก็ชี้ไปในทิศทางที่กระต่ายหายไปพร้อมกับพูดกับเธออย่างเงียบ ๆ ทางสายตา ‘มันไม่เป็นไรหรอก กระต่ายยังไม่ตายเลย ‘
ในที่สุดอู่เย่วหลิง ไม่สามารถต้านทานกลิ่นหอมของสตรอเบอร์รี่ได้และอ้าปาก กัดเบา ๆ เธอเลือกที่จะเชื่อหลินเสี่ยว
รสหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อยติดปลายลิ้นของเธอ ทำให้ดวงตาของเธอเปล่งประกายทันที จากนั้นเธอก็กัดคำใหญ่ขึ้นหลังจากนั้น เธอเริ่มกินด้วยใบหน้ามีความสุข ไม่สนใจอีกต่อไปว่าสตรอเบอร์รี่มีพิษหรือไม่
เธอเคี้ยวสตรอเบอร์รี่อย่างเต็มที่ หลังจากตลอดมา ท้องเธอว่างเปล่า เธออดอาหารมานานมาก
บทที่ 31 : ปลูกสตรอเบอร์รี่ในอวกาศ
เมื่อเห็นว่าในที่สุดเด็กหญิงตัวน้อยก็กินอะไรบางอย่างแล้ว หลินเสี่ยวรู้สึกโล่งใจ อย่างไรก็ตาม จากนี้ไปไม่สามารถอยู่ด้วยสตรอเบอร์รี่เพียงเท่านี้ ดังนั้นเธอจึงยังต้องหาอาหารอื่น ๆ อีก ในขณะที่เธอไม่ได้วางแผนที่จะส่งเด็กน้อยกลับ เธอต้องไปหาอาหารเพิ่ม
เธอต้องหาเสื้อผ้าให้ตัวเองด้วย และยิ่งไปกว่านั้นจำเป็นต้องหาวิธีในการปรับปรุงสภาพร่างกายของเธอเพราะการพักตัวแบบนี้ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา นอกจากนี้ระดับซอมบี้ของเธอดูเหมือนจะต่ำไปหน่อยและความแข็งแกร่งของเธอก็แย่เกินไป เธอต้องเพิ่มความแข็งแกร่ง!
ในสภาพปัจจุบันของเธอ หากเธอพบผู้นำซอมบี้ระดับห้าหรือมนุษย์ที่มีพลังพิเศษที่ระดับห้าขึ้นไป เธอจะถูกทุบตีจากพวกเขา เธออาจมีเวลาซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ของเธอก็ต่อเมื่อเธอโชคดี
ปัญหาคือเธอไม่รู้ว่าจะพัฒนาความแข็งแกร่งได้อย่างไร? เธอควรจะฆ่าซอมบี้และเอานิวเคลียสของซอมบี้เหมือนที่ซอมบี้ตัวอื่น ๆ ทำหรือไม่? แต่ก่อนหน้านี้นิวเคลียสของซอมบี้ระดับสามนั้นดูเหมือนจะไม่เป็นประโยชน์กับเธอเลยใช่หรือไม่?
หรือเธอควรฆ่ามนุษย์และรวบรวมพลังงานนิวเคลียสของพวกมัน?
เธอไม่สามารถสุ่มฆ่ามนุษย์ได้! หากเป้าหมายคือคนร้าย…นั่นเป็นความคิดที่ใช้การได้ – โลกล่มสลายนี้ไม่ขาดแคลนคนเลว!
ลี่วเถียนหยี่เป็นคนร้ายไม่ใช่หรือ? แล้วคนที่ฆ่าเธอล่ะ?
ถ้าหลินเสี่ยวฟื้นฟูความแข็งแกร่งของเธอในตอนนี้ได้ เธอไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับหลินหยงและศัตรูคนอื่นๆของเธออีกต่อไป เธอสามารถเลือกต่อสู้กับพวกเขาได้เลยและมีโอกาสชนะอีกด้วย!
สรุปแล้ว ถ้าเธอจะมุ่งหน้าไปทางใต้เพื่อตามหาครอบครัว เธอต้องพัฒนาความแข็งแกร่งให้ได้ก่อน หลังจากนั้น, เธอไม่รู้ว่าจะเจออะไรระหว่างทาง! ในโลกนี้ซอมบี้ไม่ใช่สิ่งเดียวที่ต้องกลัว
คิดถึงสิ่งเหล่านี้ หลินเสี่ยวหันกลับมาและเตรียมพร้อมที่จะออกจากอวกาศ แต่ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงการแสดงออกของเด็กน้อยที่เจ็บปวดและรู้ตัวว่าเด็กอาจรู้สึกเบื่อหรือกลัวการอยู่คนเดียว
‘ทำไมไม่จับกระต่ายตัวนั้นให้เธอเล่นด้วยล่ะ? แต่ถึงแม้กระต่ายจะตัวเล็ก มันดูดุร้ายใช่ไหม? มันจะกัดไหม?’ หลินเสี่ยวคิด
หลินเสี่ยวจดจ่อหูของเธอ ตั้งใจฟังเสียงจากหญ้ารอบ ๆ จากนั้นสูดจมูกตามเพื่อระบุตำแหน่งของกระต่ายตัวน้อย หลังจากนั้นเธอก็ลุกขึ้นยืนและหันหลังเดินเข้าไปในพงหญ้าอย่างช้าๆ
อู่เย่วหลิงเฝ้าดูเธออย่างอยากรู้อยากเห็น สงสัยว่าซอมบี้กำลังจะทำอะไร ผ่านไปไม่นานเธอก็เห็นหลินเสี่ยวออกมาพร้อมกับอุ้มกระต่ายตัวนั้น
หลินเสี่ยวจับขนนุ่มที่หลังคอกระต่าย มันงอขา หูลู่ และตาสีแดงเบิกกว้าง ปลายเท้าทั้งสองข้างของมันยังคงถือสตรอเบอร์รี่ที่กินไปครึ่งลูก
เธอเดินไปที่อู่เย่วหลิงและยื่นกระต่ายให้เธอ เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองเธอจากนั้นก็เหลือบมองกระต่าย การแสดงออกของเธอว่างเปล่าและสับสนเล็กน้อย
‘นี่สำหรับฉันเหรอ? ฉันไม่ต้องการมัน! กระต่ายตัวนี้น่าเกลียดมาก! ฉันไม่ต้องการมัน!
อู่เย่วหลิงมองไปที่มันสองสามครั้งจากนั้นก็หันหน้าหนีซึ่งแสดงถึงความไม่ชอบ
เมื่อรู้สึกถึงความคิดของเธอ หลินเสี่ยว ก็พูดไม่ออก
ไม่ใช่เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ทุกคนชอบสัตว์ปุกปุยเหรอ? นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้คนพูดกันรึไง? ใครคือคนโง่ที่พูดอย่างนั้น? นอกจากนี้ ถึงขนสีเทาของกระต่ายตัวนี้จะดูเหมือนขี้เถ้า แต่ก็ไม่ได้น่าเกลียด! ดวงตาของมันกลมมาก หูของมันยาวและฟันที่โค้งงอก็น่ารัก มันน่ารักจริงๆ!
หลินเสี่ยวยกกระต่ายขึ้นตรงหน้าของเธอและมองอย่างพิจารณา หลังจากยืนยันได้ว่ามันน่ารักจริง เธอเสนอกระต่ายให้กับอู่เย่วหลิงอีกครั้ง
อู่เย่วหลิงหันหน้ากลับหนีอีกครั้งโดยไม่เหลือบมองกระต่ายเลย และยังคงกินสตรอเบอร์รี่ของเธออย่างเงียบ ๆต่อไป
หลินเสี่ยวไม่มีทางเลือกนอกจากวางกระต่ายลง จากนั้นเธอก็ใช้นิ้วจับหัวของอู่เย่วหลิง เด็กคนนี้ไม่ได้สระผมมาหลายวัน หางม้าของเธอหลุดลุ่ยและมันเยิ้ม
อู่เย่วหลิงเงยหน้าขึ้นมองหลินเสี่ยว ขณะที่คนหลังสะกิดเธอ
หลินเสี่ยวชี้ไปที่ท้องฟ้าด้วยนิ้วของเธอก่อน จากนั้นชี้ที่ตัวเธอ แล้วเธอก็หายตัวไป
ด้วยท่าทางเหล่านี้ เธอพยายามบอกอู่เย่วหลิงว่าเธอจะจากไป
เมื่อเห็นหลินเสี่ยวหายตัวไปในทันใด อู่เย่วหลิงหยุดชั่ววินาทีจากนั้นดวงตาของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดงและริมฝีปากของเธอเริ่มสั่น เธอมองไปรอบ ๆ ด้วยความตื่นตระหนก แต่ไม่เห็นหลินเสี่ยว อาจเป็นเพราะเธอเคยผ่านประสบการณ์นี้มาสองสามครั้งและคุ้นเคยกับสิ่งนี้มาแล้ว เธอสงบลงหลังจากมองไปรอบ ๆ อีกครั้งและยืนยันว่าหลินเสี่ยวได้ออกไปจากที่นี่แล้วจริงๆ
เธอยังคงกินสตรอเบอร์รี่ของเธออย่างเงียบ ๆ ในที่สุดก็หมดลูก เธอก็ก้มศีรษะลงแล้วมองดูสตรอเบอร์รี่ที่เหลืออยู่ข้างๆเธอจากนั้นก็หยิบมาอีกหนึ่งลูกแล้วกินต่อไป
…………..
หลินเสี่ยวมองไปรอบๆ ทุ่งสตรอเบอร์รี่หลังจากออกมาจากพื้นที่อวกาศของเธอ แสงจันทร์สาดส่องบนโลกสีเงินจางๆ เนื่องจากสตรอเบอร์ที่ที่เด็ดออกจากต้นแล้วมันไม่สามารถเก็บไว้ได้นานๆ เธอสงสัยว่าจะปลูกสตรอเบอรี่ไว้ในพื้นที่อวกาศของเธอและให้มันเติบโตได้หรือไม่
เธอเคลื่อนตัวอีกครั้งเมื่อคิดดังนั้น รีบก้มลงขุดรากของต้นสตรอเบอร์รี่ขึ้นมา เธอไม่รู้วิธีการปลูกจึงขุดเอาทั้งดินทั้งต้นทั้งหมดขึ้นมา
โชคดีที่กรงเล็บของเธอมีประโยชน์และทำให้เธอขุดลงบนพื้นได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวของเธอยังช้าอยู่เนื่องจากความยืดหยุ่นที่ไม่ดี ในที่สุดหนึ่งชั่วโมงต่อมาพื้นที่ขนาดใหญ่ของทุ่งสตรอเบอร์รี่แห่งนี้ก็ว่างเปล่าโดยซอมบี้ที่ชื่อว่าหลินเสี่ยว
หลังจากขุดสตรอเบอร์รี่ได้หลายสิบต้นแล้ว หลินเสี่ยวหยุดแล้วก็พุ่งเข้าไปในอวกาศของเธอ
เธอกลับเข้ามาในอวกาศอีกครั้ง เธอพบว่าต้นสตรอเบอร์รี่ถูกโยนลงไปอยู่กลางสนามหญ้าและทับหญ้าลงไปที่พื้นดิน จากตรงนี้อู่เย่วหลิงยืนอยู่ค่อนข้างไกล ในมือถือสตรอเบอร์รี่สองลูกสุดท้าย
สตรอเบอร์รี่จำนวนมากยังคงห้อยอยู่บนต้นที่หลินเสี่ยวโยนไว้ที่พื้น ดังนั้นที่ทั้งหมดจึงเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นจากยังไม่ได้ล้างน้ำ
หลินเสี่ยวไม่ได้ความเดือดร้อนจากกลิ่นเหม็น ดังนั้นเธอจึงค่อยๆแยกต้นสตรอเบอร์รี่ออกจากกันแล้วเริ่มขุดหลุมในอวกาศของเธอ หลังจากขุดแล้วเธอก็ปลูกสตรอเบอร์รี่เหล่านี้ตามหลุมที่ขุดนั้น
การเคลื่อนไหวการปลูกนี้ใช้เวลานาน หลังจากเธอปลูกเสร็จ เธอลุกขึ้นยืนและมองไปที่อู่เย่วหลิงเพียงเพื่อพบว่าเด็กคนนั้นย้ายไปอยู่อีกฝั่งของทะเลสาบและนอนขดตัวอยู่บนพื้นหญ้า
จู่ๆหลินเสี่ยวก็ตบหน้าผากของตัวเอง เธอควรจะหาอะไรมาให้เด็กนอนก่อน แต่เธอไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้น
เจ้าตัวเล็กดูน่าสงสารมากตอนนอนบนพื้นหญ้าแบบนี้!
เธอไปที่ริมทะเลสาบและล้างมือ หลังจากล้างดินออกจากมือเธออย่างระมัดระวัง เธอมองย้อนกลับไปที่สตรอเบอร์รี่ที่ปลูกไว้ ต้นสตรอเบอร์รี่กำลังเหี่ยวเฉา เธอจะต้องรดน้ำหลังจากนี้
เธอส่องประกายออกมาจากอวกาศอีกครั้งจากนั้นมองไปรอบ ๆ เธอและมองเห็นบ้าน – คล้ายอาคารห่างออกไปไม่ไกล น่าจะเป็นบ้านของเจ้าของไร่สตรอเบอร์รี่แห่งนี้ ที่อาศัยอยู่ก่อนวันโลกล่มสลาย
เธอเดินไปที่บ้านและไม่นานก็มาถึงที่นั่น ใช้ความพยายามเล็กน้อย
มันเป็นบ้านหลังคาแบน ประตูและหน้าต่างโทรม ข้าวของในบ้านถูกรื้อค้นและโยนทิ้งอย่างไร้ความปราณี บ้านหลังนี้ถูกปล้นอย่างชัดเจน แต่นั่นคงจะเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว เพราะตอนนี้ฝุ่นหนาปกคลุมทุกอย่าง
หลินเสี่ยวเดินเข้าไปข้างในแล้วมองรอบ ๆ มีของเหลืออยู่ไม่มากนัก เนื่องจากทุกอย่างที่ใช้งานได้ถูกเอาไปหมดแล้ว
เธอเดินไปรอบ ๆ ค้นหาในห้องนั่งเล่นและห้องนอน แต่ไม่พบแม้แต่ผ้าห่มที่เน่าเสีย เธอพบเสื่อที่มีฝุ่นซึ่งยังไม่แตกหักแม้จะผ่านไปนานแล้วเพราะทำจากไม้ไผ่