ฮ่องเต้ตวัดตามองเขาอย่างเย็นชา “ว่ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท” หลี่จงเหอรับคำเสียงสั่น “หลายเดือนก่อน ท่านหญิงเคยถามคำถามหนึ่งกับกระหม่อมถึงสองหน ยามนั้นกระหม่อมรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก มาคิดดูตอนนี้ บางที…อาจมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้!”
“คำถามใด?” ไม่รอให้ฮ่องเต้เอ่ยถาม ตงฟางจั๋วชิงเปิดปากขึ้นก่อน
หลี่จงเหอรีบตอบ “วันนั้นท่านหญิงถามกระหม่อมว่า หญิงพรหมจรรย์ตั้งครรภ์ได้หรือไม่?”
หญิงพรหมจรรย์ตั้งครรภ์? เป็นไปได้อย่างไร!
ทุกคนพลันตื่นตะลึง ต่างก็รู้สึกแปลกประหลาด มีเพียงตงฟางเจ๋อผู้เดียวที่สายตาเรียบขรึม สีหน้าฉงนฉงายแฝงแววครุ่นคิด
ตงฟางจั๋วขมวดคิ้ว กล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “อยู่ๆ ดีนางถามเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยเหตุใด?” คุณหนูที่ยังไม่ออกเรือน เหตุใดจึงถามคำถามที่น่ากระอักกระอ่วนใจเช่นนี้?
หลี่จงเหอรีบตอบ “กระหม่อมเองก็ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ ยามนั้นท่านหญิงบอกเพียงว่าได้ยินคนพูดถึง รู้สึกแปลกใจจึงถามกระหม่อม”
“เช่นนั้นเจ้าตอบนางไปว่าอย่างไร?” ตงฟางเจ๋อสายตาขรึมลงเล็กน้อย ก่อนเปิดปากถามอย่างแช่มช้า
หลี่จงเหอกำลังจะตอบ ตงฟางจั๋วกลับตวาดเสียงดังตัดบท “จะเป็นไปได้อย่างไร! หญิงพรหมจรรย์จะตั้งครรภ์ได้อย่างไร เรื่องเพ้อฝันชัดๆ…” เขาอารมณ์พลุ่งพล่านกว่าปกติ เมื่อเอ่ยถึงประโยคสุดท้าย เสียงพลันเงียบหายไป รู้สึกเหมือนท้องฟ้าหมุนคว้าง เอ่ยวาจาไม่ออกอีกแม้แต่ครึ่งคำ ล้มลงไปกองกับพื้นดัง ‘โครม’ ทันที
ทุกคนตกตะลึง ฮองเฮาสีหน้าพลันแปรเปลี่ยน รีบพุ่งตัวเข้ามาคนแรก ประคองเขาขึ้นมาอย่างลนลาน เอ่ยเรียกเสียงร้อนใจ “จั๋วเอ๋อร์? จั๋วเอ๋อร์! เจ้าเป็นอะไรไป?”
ใบหน้าหล่อเหลาของตงฟางจั๋วซีดขาวไปทั้งดวง ไม่มีเสียงตอบรับ ดูเหมือนสูญเสียสติไปจนสิ้น
ฮ่องเต้ตกใจ ขานเรียกเสียงดัง “หมอหลวงหลี่!”
“พ่ะย่ะค่ะ” หลี่จงเหอหัวหมุน รีบลุกขึ้น มือยังไม่ทันแตะชีพจรของตงฟางจั๋ว ก็ได้ยินเสียงคนอุทานดังมาจากข้างหลัง ตามมาด้วยเสียง ‘โครม’ ดังติดกันถึงสามครั้ง หยางเซียว หลางฉ่าง ตงฟางเจ๋อ ต่างหมดสติไปตามๆ กันทั้งสามคน
เสียงแตกตื่นฮือฮาดังไปทั่วหออวิ๋นเยียน ขันทีที่ตั้งสติได้เร็วรีบขนย้ายเก้าอี้เอนหลังมาวางเรียงกันทางด้านซ้ายของซูหลี
ยามนี้บุคคลสำคัญทั้งห้าคนในพิธีคัดเลือกพระสวามี ผู้เลือกพระสวามีและผู้ที่เป็นตัวเลือก หนึ่งหญิงสี่ชาย ล้วนเป็นลมหมดสติกันถ้วนหน้า
สีหน้าฮ่องเต้บึ้งตึงสุดขีด เขาจ้องมือสั่นๆ ของหลี่จงเหอที่วางอยู่บนข้อมือตงฟางจั๋ว คิ้วเริ่มขมวดเข้าหากัน
“เป็นอย่างไรบ้าง?” ฮองเฮาเอ่ยถามด้วยความเคร่งเครียดเป็นกังวล
หลี่จงเหอไม่ตอบ เพราะเขาตกใจจนพูดอะไรไม่ออก เมื่อครู่พอวางมือลงบนข้อมือตงฟางจั๋ว เขาก็นิ่งงันไปด้วยความตกตะลึงทันที
คำถามของฮองเฮาทำให้เขาพลันได้สติ รีบสูดหายใจลึก คุกเข่าลงกับพื้น ตัวสั่นด้วยความพรั่นพรึง
ยามนี้หมอหลวงขั้นหนึ่งทั้งหมดสิบแปดคนของสำนักหมอหลวงได้มาถึงแล้ว ทั้งสิบแปดคนตรวจจับชีพจรของทั้งสี่คนหนึ่งรอบ สีหน้าแตกตื่นไม่ต่างกัน พวกเขาล้วนไม่กล้าเปิดปาก หมอบอยู่กับพื้น ตัวสั่นงันงก
“กระหม่อมสมควรตาย!” หมอหลวงนับสิบคนโขกศีรษะร้องขอบทลงโทษจากฮองเฮา แต่ละคนเหงื่อท่วมตัวดั่งอาบน้ำฝน
ฮองเฮาที่วางตัวเหมาะสมสง่างามมาโดยตลอด ยามนี้ใบหน้าหงส์ซีดเผือด จิตใจลนลาน ฝืนควบคุมตนเองให้สงบนิ่ง แต่มือทั้งสองข้างที่กำลังสั่นเทากลับไม่อาจปิดบังความหวาดกลัวที่ท่วมท้นในใจได้ นางอดไม่ได้ที่จะตวาดเสียงเกรี้ยว “พวกเขาเป็นอะไรกันแน่? ยังไม่รีบบอกข้ามาอีก!” นางกุมมือโอรสของตนเองไว้แน่น จิตใจร้อนรุ่นดั่งไฟแผดเผา ถึงกับลืมตัวไปชั่วขณะ
เหล่าหมอหลวงที่คุกเข่าอยู่กับพื้นต่างตัวสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ พวกเขาแอบมองหน้ากัน สีหน้าแตกตื่นลนลาน ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปากแม้แต่คนเดียว
สุดท้ายยังคงเป็นหมอหลวงหลี่ถอนหายใจ รวบรวมความกล้าแล้วเงยหน้าขึ้น “ทูลฝ่าบาท ทูลฮองเฮา ชีพจรของท่านอ๋องทั้งสอง องค์รัชทายาทแห่งแคว้นติ้ง รวมถึงองค์ชายสี่แห่งแคว้นเปี้ยน…เหมือน…เหมือน…”
“เหมือนอะไร? หากยังอ้ำอึ้ง ข้าจะสั่งให้ลากตัวพวกเจ้าออกไปตัดหัวให้หมด!” ในที่สุดฮ่องเต้ก็ทนไม่ไหว เขาโมโหจนตัวสั่น ยกมือชี้หน้าพวกเขา หอบหายใจรุนแรง คำรามเสียงเกรี้ยว “แค่ชีพจรยังตรวจไม่ได้ ข้าจะเก็บพวกเจ้าไว้ทำอะไร!”
เหล่าหมอหลวงต่างพากันร่ำไห้ โขกศีรษะอ้อนวอนอย่างลนลาน ท่ามกลางเสียงคำรามอันเดือดดาลของฮ่องเต้ หมอหลวงหนึ่งในนั้นพลันโพล่งออกมาด้วยเสียงปนสะอื้น “ทูลฝ่าบาท เหมือนกับชีพจรของท่านหญิงพ่ะย่ะค่ะ!”
อะไรนะ?! เหมือนกับชีพจรของท่านหญิง…
เช่นนั้นก็เป็น…ชีพจรมงคล?!
ทุกคนต่างตกใจจนอ้าปากกว้าง คางแทบจะตกลงไปถึงพื้น เกรงว่าแม้ภูเขาไท่ซานถล่มลงตรงหน้า สีหน้าของฮ่องเต้และฮองเฮาก็ยังไม่แย่ถึงเพียงนี้
ตกตะลึง อึ้งงัน และเหลือเชื่อ
เดิมทีท่านหญิงตั้งครรภ์ก็เป็นเรื่องสะท้านฟ้าสะเทือนแผ่นดินแล้ว ยามนี้ท่านอ๋องผู้มีฐานะสูงส่งทั้งสอง แล้วยังมีทูตจากสองแคว้นที่ฐานะไม่ธรรมดา กลับถูกตรวจพบชีพจรตั้งครรภ์ด้วยเช่นกัน…
นี่มัน…นี่มันเรื่องตลกร้ายชัดๆ!
ผู้คนบนตำหนัก เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ต่างก็ตกตะลึงจนเอ่ยวาจาไม่ออก ไม่มีผู้ใดอยากเชื่อ แม้แต่เหล่าหมอหลวงที่เป็นคนตรวจชีพจรเองก็เช่นกัน
สถานการณ์เข้าสู่ทางตันอีกครั้ง
ทว่าในยามนี้เอง ณ จุดลับสายตาคน ปลายนิ้วของซูหลีขยับเบาๆ กลิ่นหอมอ่อนๆ พลันลอยวนในอากาศ ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
ผ่านไปไม่นาน ตงฟางจั๋วได้สติฟื้นขึ้นมา เขาลุกขึ้นนั่งกุมหน้าผาก เมื่อเห็นอีกสามคนที่เอนกายอยู่ข้างๆ ก็อดอึ้งงันไม่ได้ หันไปอีกทาง ถามอย่างแปลกใจ “เกิดอะไรขึ้น?”
เหล่าหมอหลวงต่างพากันก้มหน้าก้มตา ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ นิสัยโมโหง่ายของจิ้งอันอ๋อง ทุกคนต่างรู้ดี แล้วคำตอบนี้จะยังมีผู้ใดกล้าตอบเขาอีกเล่า?
ตงฟางจั๋วจำต้องหันไปถามฮองเฮาที่อยู่ข้างๆ อย่างสงสัย “เสด็จแม่ เมื่อครู่ลูกเป็นอะไรไปหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮองเฮาอึกอัก มองหน้าเขาอย่างลำบากใจ ชั่วขณะหนึ่งกลับไม่รู้ควรตอบเขาเช่นไรดี จะให้นางบอกเขาว่า เจ้าถูกหมอหลวงตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์อย่างนั้นหรือ? อย่างนั้นก็น่าขันเกินไปกระมัง!
ตงฟางจั๋วเห็นสีหน้าฮองเฮาแปลกพิกล ส่วนฮ่องเต้ก็สีหน้าถมึงทึง บรรยากาศรอบกายประหลาดยิ่ง ในใจพลันบังเกิดความสงสัย รีบพลิกกายลงจากเก้าอี้ กระชากตัวหมอหลวงคนหนึ่งขึ้นมาเค้นถามเสียงเย็นชา “บอกมา ข้าเป็นอะไรกันแน่?”
หมอหลวงคนนั้นชำเลืองมองสีหน้าฮ่องเต้ แล้วมองหน้าตงฟางจั๋ว ตอบเสียงสั่นเทา “ชีพ… ชีพจรของท่านอ๋องเหมือน…ชีพจรของท่านหญิงพ่ะย่ะค่ะ!”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?!” ตงฟางจั๋วถลึงตา เหวี่ยงร่างคนผู้นั้นลงพื้นทันที ก่อนคำรามเสียงเดือดดาล “เหลวไหล!” เท่านั้นยังไม่พอ ยังยกเท้าถีบหมอหลวงคนนั้นพลางด่ากราด “เหลวไหลทั้งเพ!”
เขาหันหน้าไปอีกทาง มองหน้าหมอหลวงอีกคน หมอหลวงคนนั้นชะงักงัน รีบชี้ไปทางอีกสามคนที่ยังนอนอยู่บนเก้าอี้เอนหลัง บอกด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “ทูล…ทูลท่านอ๋อง ชีพจรของท่าน…ทั้งสี่ ล้วนเหมือนกับชีพจรของท่านหญิง! ล้วนเป็นชีพจรมงคล!” เอ่ยจบไม่รอให้เขาถีบ ชิงเข่าอ่อนล้มลงไปก่อน
ตงฟางจั๋วอึ้งค้างไปโดยปริยาย ยามนี้อีกสามคนที่เหลือฟื้นคืนสติพร้อมกันพอดี เมื่อได้ยินวาจาของหมอหลวง แต่ละคนต่างก็ลุกพรวดขึ้นนั่ง เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
หากจะนับว่ายังมีผู้ใดสงบนิ่งอยู่บ้าง ก็คงจะมีแค่ตงฟางเจ๋อ เขาเพียงชะงักไปเล็กน้อย สายตาตวัดมองไปยังซูหลีที่ยังคงหลับตาอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าหล่อเหลาลึกล้ำยากคาดเดา คล้ายกำลังข่มกลั้นบางอย่างอย่างสุดกำลัง มุมปากกระตุกเบาๆ
…………………………………………….
กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ – ตอนที่ 133 ความเชื่อใจที่มาสายเกินไป (1)
Posted by ? Views, Released on October 15, 2021
, กำเนิดใหม่ชายาผู้ล่วงลับ
นิยาย จีน นิยาย ประวัติศาสตร์ นิยาย ผู้หญิงดำเนินเรื่อง นิยาย ผู้ใหญ่ นิยาย ศิลปะการต่อสู้ นิยาย โรแมนติค นิยาย โศกนาฏกรรม ประเภท
นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค ดราม่าเผ็ดร้อน กับนางเอกผู้ใช้ความงามแก้แค้นจนสะเทือนเลือนลั่น!
หลีซู โฉมสะคราญอันดับหนึ่งในนครหลวงแห่งแคว้นเฉิง กลายเป็นที่อิจฉาของหญิงสาวทั้งแผ่นดิน
เมื่อได้รับพระราชทานอนุญาตให้แต่งงานกับจิ้นอันอ๋อง โอรสฮองเฮา ผู้มีรูปโฉมงดงาม
ทว่า วันแต่งงานที่ควรจะชื่นมื่นกลับเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อนางเป็นลมหมดสติในวันแต่งงาน
หมอหลวงทั้งแปดคนวินิจฉัยตรงกันว่า ตรวจเจอชีพจรตั้งครรภ์ในกายนาง!
พริบตาเดียวนางก็ถูกทอดทิ้ง ซ้ำยังถูกลอบสังหารอย่างลึกลับ ทุกอย่างดูเหมือนแผนการที่ถูกจัดฉากมาอย่างดี!
แต่แล้วนางกลับลืมตาตื่นขึ้นมาและมีชีวิตอีกครั้งในร่างของซูหลี บุตรีภรรยารองแห่งจวนอัครเสนาบดี
ทว่า ด้วยปานสีแดงบนแก้มซ้าย ทำให้นางถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ทั้งยังฐานะในจวนตกต่ำ
หากหลีซูต้องการลบล้างมลทินให้ตนเองและแก้แค้นเขาคนนั้น
นางจำต้องยืมร่างของซูหลีคนนี้เพื่อหาหนทางสืบคดีการตายของตนเอง
แต่ก่อนจะทำอย่างนั้นได้ นางจะต้องหาทางยกระดับฐานะของซูหลีในจวนอัครเสนาบดีแห่งนี้ให้ได้
ด้วยดวงหน้างามล่มเมืองที่เหมือนแต่ก่อนทุกประการเป็นที่เลื่องลือทั่วทั้งราชสำนักนี้
แม้นอ๋องจากสามแคว้นจะมอบใจให้นางอย่างลึกซึ้ง นางก็เพียงแค่นยิ้มเย็นชา
‘หากผู้ใดดูหมิ่นข้า ข้าก็จะดูหมิ่นผู้นั้น หากผู้ใดทำลายข้า ข้าก็จะทำลายผู้นั้น!
เพราะข้าจะไม่มีวันเชื่อใจบุรุษคนใดในโลกนี้อีก!’
Recommended Series
Comment
Facebook Comment