[นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก – ตอนที่ 164 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (13) / ตอนที่ 165 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (14)

ตอนที่ 164 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (13)

 

 

ลี่ซูผู้นี้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งยุทธภพ มักจะพกพู่กันด้ามหนึ่งคู่กายตลอดเวลา ผู้คนต่างขนานนามกันว่า ‘ปี่ซ่างเซียน[1]’

 

 

(ลี่ซูผู้นี้รักสงบอย่างยิ่ง ไม่ชอบหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว นอกจากฝึกวิชาและปราบมารตามความจำเป็น โดยปกติแล้วจะไม่ลงจากเขา) ระบบกล่าว

 

 

ตันหวายเอามือลูบคางพลางเอ่ยถาม “ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า คราวนี้เขาตกอยู่ในอันตรายหรือ?”

 

 

(ตามหลักการจะว่าอย่างนั้นก็ได้)

 

 

สิ้นเสียงกล่าวของระบบ ตันหวายก็นึกอยากจะพูดอะไรต่อ แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูด เฟิงสือหลี่ก็ไล่ตามมาเจอเข้าเสียก่อน

 

 

เฟิงสือหลี่กวาดตาสังเกตไปรอบๆ ก่อนจะมองมายังตันหวาย ใบหน้าแต้มด้วยรอยยิ้ม ทว่าในน้ำเสียงกลับไร้ซึ่งแววขบขัน “จะไปปลดทุกข์ไม่ใช่หรือ ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้?”

 

 

ตันหวายตะลึงงัน กล่าวอย่างกระดากกระเดื่องว่า “ปลดทุกข์เสร็จแล้วเห็นว่าทิวทัศน์ที่นี่งดงามนักจึงแวะมา”

 

 

“ปลดทุกข์เร็วปานนั้นเชียว?”

 

 

“ถ่ายเบาน่ะ…”

 

 

ให้ตายเถอะ

 

 

เฟิงสือหลี่เลิกคิ้วสูง ถามอีกว่า “ว่าแต่แถวนี้ห้องปลดทุกข์อยู่ที่ไหน?”

 

 

ตันหวาย “…”

 

 

ตรูจะไปตรัสรู้ไหมล่ะว่าห้องส้วมอยู่ที่ไหน!

 

 

เฟิงสือหลี่ยังคงจ้องมองเขาด้วยแววตาจริงจัง คาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้

 

 

“ข้าหาห้องปลดทุกข์ไม่เจอ…” ตันหวายสูดลมหายใจลึก “ข้าก็เลยปล่อยลงพื้นไปแล้ว!”

 

 

(ท่านเจ้าของร่าง! เกียรติของท่านล่ะ ศักดิ์ศรีของท่านล่ะ!…)

 

 

ไม่มีอะไรให้เสียแล้วโว้ย!

 

 

ตันหวายคลี่ยิ้มกว้าง

 

 

เฟิงสือหลี่หลุบตาลง กลบเกลื่อนอาการขบขันของตนเอาไว้

 

 

ตันหวายรู้สึกว่าตอนนี้ตนไม่อาจสู้หน้าใครได้อีกแล้ว ก่อนจะตีหน้าขรึมสาวเท้านำออกไป ก้าวเดินไปพลางเอ่ยเร่งไปพลางว่า “ยังไม่รีบไปอีก?”

 

 

เฟิงสือหลี่ “ไหนว่าจะพักผ่อนที่นี่สักสองสามวัน?”

 

 

ตันหวายชะงักฝีเท้า เงยหน้าขึ้นมองดูหมู่นกบนต้นไม้ ลูกนกกำลังชะโงกหัวร้องเรียกหาเขาอยู่เช่นกัน ช่างเป็นภาพอันสงบสุขและงดงาม

 

 

“ไม่ต้องพักแล้วไปกันเดี๋ยวนี้เลย ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันการ” ตันหวายก้าวขึ้นขี่บนด้ามกระบี่ของเฟิงสือหลี่ สองมือคว้าจับเฟิงสือหลี่ที่ขี่กระบี่มาตั้งแต่แรกพลางกล่าว “หากวันหลังเลิกเป็นเซียนแล้ว จะไปเป็นคนขับรถก็ได้นะ”

 

 

“คนขับรถคืออะไร?”

 

 

“ยามท่านใช้กระบี่ลากคนอื่นเขาไปไหนมาไหน ท่านก็คือคนขับรถ”

 

 

เฟิงสือหลี่คล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ เลิกคิ้วมองโดยไม่กล่าวอะไรอีก

 

 

ครั้นมาถึงเขาชางอวี้ก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เขาชางอวี้ในยามราตรีล้วนถูกปกคลุมอยู่ใต้แสงเงินยวงอันอ่อนจาง ตันหวายยืนอยู่บนเชิงเขา พอจะย่างก้าวไปข้างหน้ากลับถูกเฟิงสือหลี่ขัดขวางไว้

 

 

“หืม?” ตันหวายหันไปมองด้วยความฉงน

 

 

“แสงเงินเหล่านี้คือม่านอาคมชั้นนอกสุดของเขาชางอวี้ เจ้าจะเดินดุ่มเข้าไปชนอย่างนี้เลยหรือ?”

 

 

ตันหวายนิ่งงันไป รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แนวคิดสมัยใหม่ทำให้เขามักไม่ตระหนักถึงอันตรายสักเท่าไหร่นัก

 

 

“แล้วจะทำอย่างไร?” ตันหวายยกมือขึ้นลูบจมูก

 

 

(ท่านเจ้าของร่าง ต้องการอุปกรณ์เคลื่อนย้ายฉับพลันหรือไม่ ลดให้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ค่าประสบการณ์สี่สิบแต้ม)

 

 

ตันหวายแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน หลังจากกวาดสายตาสำรวจดูเบื้องหน้ารอบหนึ่ง จึงค่อยหยิบก้อนหินจากพื้นแล้วลองโยนมันออกไป

 

 

ตอนไม่โยนยังดูปกติดี แต่พอโยนไปแล้วตันหวายก็ถึงกับสะดุ้งตกใจ จ้องมองก้อนหินที่กลายเป็นผุยผงอย่างเงียบเชียบ

 

 

ตันหวายเงยหน้าขึ้น หันไปถามเฟิงสือหลี่ว่า “ท่านสวดมนต์มหาการุณย์เป็นไหม? ข้าอยากแผ่ส่วนบุญให้มันสักหน่อย”

 

 

เฟิงสือหลี่นิ่งเงียบไปเช่นกัน หักใจบอกเขาตามจริงว่า “ฝ่ายเรากับฝ่ายนั้นไม่ลงรอยกัน”

 

 

………

 

 

ตันหวายเหลือบมองไปรอบๆ ก่อนจะกล่าวอย่างจนใจ “ข้าไม่อยากกลายเป็นซากกระดูก”

 

 

“พอฟ้าสางเกราะกำบังนี้ก็จะหายไปเอง”

 

 

ตันหวายตาเป็นประกาย รีบลุกพรวดขึ้นทันใด “จริงหรือ?”

 

 

เฟิงสือหลี่พยักหน้าตอบ

 

 

ตันหวายโล่งใจราวยกภูเขาออกจากอก ลุกขึ้นยืนเกาะบ่าของเฟิงสือหลี่เอาไว้ “ไป เราไปหาถ้ำนอนพักเอาแรงกันดีกว่า”

 

 

_________

 

 

ภายในถ้ำก่อกองไฟให้ความอบอุ่นไปทั่วทุกหนแห่ง ตันหวายนอนหลับสบายอยู่ในเสื้อคลุมของเฟิงสือหลี่ เบื้องหน้าคือกระดานหมากล้อมที่พวกเขาเล่นเสร็จไปนานแล้ว

 

 

เฟิงสือหลี่ไม่จำเป็นต้องนอน จึงนั่งเฝ้ายามอยู่หน้าปากถ้ำให้กับเขา เมื่อมองดูดวงหน้ายามหลับใหลไม่รู้เรื่องรู้ราวของตันหวาย เฟิงสือหลี่ก็ตกอยู่ในห้วงภวังค์อันสับสน

 

 

ใบหน้าช่างคล้ายคลึงกันเสียเหลือเกิน อีกทั้งเขายังปรากฏตัวใกล้กับบริเวณที่ซือจุนสิ้นใจ ทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าซือจุนฟื้นคืนชีพกลับมาแล้วหรือไม่

 

 

อย่างไรเสียซือจุนก็เก่งกาจถึงปานนั้น จู่ๆ จะฟื้นขึ้นมาเอาชีวิตเขาย่อมมิใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด ทว่าตลอดหลายวันที่ผ่านมาพฤติกรรมของคนผู้นี้กลับทำให้เขารู้สึกกังขาในข้อสันนิษฐานของตนเอง

 

 

หากว่าเป็นซือจุน คงจะช่วงชิงเอาชีวิตเขาไปตั้งแต่แรก หากว่าเป็นซือจุน คงไม่มีทางถามเขาว่าสวดมนต์มหาการุณย์เป็นหรือไม่ด้วยน้ำเสียงน่ารักน่าเอ็นดูเช่นนั้น

 

 

เพราะฉะนั้นเจ้าเป็นใครกันแน่?

 

 

เฟิงสือหลี่หยิบก้อนกรวดเล็กๆ ขึ้นมาหมุนเล่นในมือ สุดท้ายค่อยโยนเข้ากองไฟที่ลุกโชนอยู่ไม่ไกล บังเกิดเป็นเสียงฟืนแตกสะเก็ดดังเปรี๊ยะๆ

 

 

ตอนที่ตันหวายลืมตาตื่นฟ้ายังไม่ทันสาง กองไฟยังคงลุกไหม้อยู่เช่นเดิม ดูเหมือนว่าเฟิงสือหลี่เพิ่งจะลุกออกไปไม่นาน

 

 

“ป่าเขารกร้างอย่างนี้จะออกไปไหนอีกนะ” ตันหวายยกมือนวดขมับพลางพึมพำกับตนเอง

 

 

ผุดลุกขึ้นยืนจากกองหญ้าแห้ง ตันหวายจัดเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ของตนให้เรียบร้อย ในขณะที่เตรียมตัวจะออกไปตามหาเฟิงสือหลี่ ทันใดนั้นสัญญาณแจ้งเตือนจากระบบก็ดังขึ้นกะทันหัน

 

 

สัญญาณแจ้งเตือนดังก้องอยู่ในหัวของตันหวาย สั่นสะเทือนจนเขาปวดหัวไปหมด

 

 

“ระบบ คุณทำบ้าอะไรเนี่ย!”

 

 

ตันหวายถูกสัญญาณเตือนนี้ก่อกวนจนมีน้ำโห

 

 

(ลี่ซูมีอันตราย ภารกิจลับใกล้จะล้มเหลว)

 

 

ตันหวายตกตะลึง กล่าวโพล่งขึ้นว่า “อะไรนะ?”

 

 

(หากรีบไปช่วยเหลือลี่ซูทันทีอาจจะยังสามารถคลี่คลายวิกฤติได้ ไม่ทราบว่าต้องการแลกค่าประสบการณ์สี่สิบแต้มเพื่อใช้งานอุปกรณ์เคลื่อนย้ายฉับพลันหรือไม่?)

 

 

ตันหวายครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าตกลงในที่สุด 

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] 笔 (ปี่) หมายถึง พู่กัน 上仙 (ซ่างเซียน) หมายถึง เซียนชั้นสูง

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 165 บำเพ็ญเพียรนอกกระแส ศิษย์น้อยผู้แสนดีชำระแค้น (14)

 

 

ครั้งแรกที่ตันหวายใช้งานอุปกรณ์เคลื่อนย้ายฉับพลันนั้นมีผลข้างเคียงเล็กน้อย ซึ่งก็คือตอนมาถึงจุดหมายปลายทางต้องยืนเกาะกำแพงอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง

 

 

ลี่ซูนั่งอยู่ในห้องหนังสือ มือขวายังคงถือตำราไว้ เมื่อเห็นคนปรากฏตัวขึ้นกะทันหันก็พลันตื่นตระหนกตกใจ

 

 

ไม่ต้องพูดถึงว่าภายในเขาชางอวี้สร้างเกราะกำบังทับซ้อนกันหลายชั้น แต่กระทั่งพื้นที่สงวนเช่นห้องหนังสือของเขาก็มีน้อยคนนักที่สามารถบุกรุกเข้ามาโดยไร้สุ้มเสียงเช่นนี้

 

 

พักนี้ตันหวายไม่ค่อยได้กินอาหาร อาเจียนอย่างไรก็อาเจียนไม่ออก พอสำรอกเสร็จแล้วถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีสายตาอันน่าสะพรึงจ้องเขม็งมาจากข้างหลัง

 

 

ตันหวายหันหลังกลับอย่างแข็งทื่อ ก่อนจะแย้มยิ้มให้กับลี่ซู “ได้ยินว่าท่านมีเหตุอันตราย ข้าจึงมาช่วยเหลือท่าน”

 

 

_________

 

 

ภายในห้องหนังสือจุดกำยานหอมจรุงชวนให้ผ่อนคลาย ตันหวายนั่งสัปหงกงกงันอยู่บนเก้าอี้

 

 

ลี่ซูวางตำราในมือลง จ้องมองตันหวายพลางเอ่ยขึ้นช้าๆ “ท่านบอกว่าข้ามีเหตุอันตรายมิใช่หรือ เหตุอันตรายอยู่ที่ใดเล่า?”

 

 

ตันหวายตาสว่างขึ้นมาทันใด รีบเหยียดกายนั่งตัวตรงบนเก้าอี้

 

 

ตันหวาย “ท่านอย่าเพิ่งใจร้อน ใครเขาเฝ้ารออยากจะเผชิญอันตรายเหมือนท่านกัน?”

 

 

ลี่ซู “…”

 

 

เจ้าบอกเองว่าข้าตกอยู่ในอันตรายไม่ใช่หรืออย่างไร?

 

 

(ขอแสดงความยินดีกับท่านเจ้าของร่าง สถานการณ์ฉุกเฉินคลี่คลาย ได้รับค่าประสบการณ์เพิ่มเติม 100 แต้ม ท่านเจ้าของร่างโปรดพยายามต่อไป ภารกิจครั้งนี้เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์)

 

 

ตันหวาย “???”

 

 

เรายังไม่ทันทำอะไรก็คลี่คลายวิกฤติได้แล้ว? วิกฤติคราวนี้คงไม่ใช่ว่าตัดสินกันที่หน้าตาหรอกนะ ต่อให้เราหน้าตาดีแค่ไหนก็ทำไม่ได้ถึงขนาดนี้!

 

 

ลี่ซูลอบสังเกตสีหน้าของตันหวายอยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นตันหวายหน้าตาสดใสขึ้นมากะทันหันก็พลันหรี่ตาลง

 

 

“คุณชายตัน ข้าขอถามอีกครั้ง เหตุอันตรายเล่า?”

 

 

“…” ตันหวายชะงักไปครู่หนึ่ง กล่าวอย่างใสซื่อว่า “เหตุอันตราย…คลี่คลายเรียบร้อยแล้ว”

 

 

ลี่ซู “…”

 

 

~

 

 

ตันหวายถูกลี่ซูจับโยนลงมาจากเขา โชคดีที่ตันหวายตาเร็วมือไวรีบใช้อาคมคุ้มกันตนเองไว้ มิเช่นนั้นอาจจะหล่นกระแทกจนร่างแหลกสลายเข้าจริงๆ

 

 

อันที่จริงพอมาคิดดูแล้ว ลี่ซูผู้นี้สุขุมเยือกเย็นยิ่งนัก หากเป็นคนอื่นก็คงชิงอัดเขาสักยกโดยไม่รอช้าเป็นแน่ นับว่ายังดีที่ลี่ซูไม่ได้ทำร้ายเขา

 

 

คนที่จับเขาโยนลงมาน่าจะมือหนักเกินไป บั้นเอวของตันหวายจึงเคล็ดขัดยอกเล็กน้อย ก่อนพยุงเอวไปพลางเดินกะย่องกะแย่งลงจากเขาไปพลาง ช่างเป็นความรู้สึกที่น่าสมเพชเวทนาเสียนี่กระไร

 

 

ครั้นตันหวายกลับมาถึงถ้ำก็พบหนังเสือโคร่งที่ตายแล้วอยู่ตรงหน้าปากทางเข้า หนังเสือโคร่งชุ่มโชกไปด้วยเลือดซึ่งยังไม่ทันแห้งสนิทดี คาดว่าคงจะเพิ่งตายได้ไม่นาน

 

 

ตันหวายขมวดคิ้ว หรือว่ามีสัตว์ร้ายบุกเข้ามาข้างในนี้?

 

 

ตันหวายลอบเข้าไปอย่างระมัดระวัง เมื่อเดินไปได้ครึ่งทางใครบางคนก็พุ่งปราดจากข้างในมากอดเขาเอาไว้ทันที

 

 

ยามได้กลิ่นชาเขียวหอมกรุ่นจากกายเฟิงสือหลี่ ตันหวายก็พลันรู้สึกผ่อนคลายลง

 

 

พอสัมผัสได้ถึงความกระวนกระวายใจของเฟิงสือหลี่ ตันหวายก็ตบหลังเขาเบาๆ แล้วกระซิบถาม “เป็นอะไรไป?”

 

 

เฟิงสือหลี่เม้มปากแน่นไม่ยอมพูดจา หลังจากสงบสติอารมณ์สักครู่จึงค่อยเอ่ยขึ้นว่า “ข้านึกว่ามันกินเจ้าเสียแล้ว”

 

 

ตันหวายตะลึงงัน นึกถึงหนังเสือโคร่งข้างนอกถ้ำพลางถามเสียงแผ่วเบา “ท่านนึกว่าข้าถูกเสือข้างนอกนั่นกินเข้าไปหรือ?”

 

 

เฟิงสือหลี่ไม่เอ่ยตอบ การกระทำของเขาบ่งบอกชัดเจนทุกอย่างแล้ว ตันหวายถอนหายใจเบาๆ ถามแกมหยอกเย้าว่า “ข้าไม่ได้กินข้าวมาตั้งนานชักเริ่มหิวแล้ว ท่านย่างเนื้อเสือที่เพิ่งฆ่าไปเมื่อครู่ให้ข้ากินหน่อยได้ไหม?”

 

 

ความจริงพิสูจน์แล้วว่าผู้บำเพ็ญเพียรกินอะไรก็ย่อมได้

 

 

ตันหวายประคองถือเนื้อเสือที่ย่างจนหอมฉุยด้วยสองมืออันสั่นเทา คิดในใจว่าแม้ตนจะตายแล้วหนึ่งครั้งกลับยังมีวาสนาได้ลิ้มลองเนื้อเสือโคร่งในตำนาน หากเป็นยุคปัจจุบันคงจะถูกเชิญเข้าไปกินข้าวแดงในซังเตเป็นแน่แท้

 

 

“เนื้อรสชาติไม่ถูกปากหรือ?” เฟิงสือเห็นตันหวายไม่ขยับ เอาแต่จ้องมองเนื้ออย่างเหม่อลอยจึงอดเอ่ยปากถามไม่ได้

 

 

“อ้อ เปล่าหรอก” ตันหวายรีบส่ายศีรษะ “พอดีไม่ได้กินเนื้อมานาน อยู่ๆ ก็ลืมว่าต้องกินอย่างไร”

 

 

เฟิงสือหลี่ผ่อนลมหายใจ “ข้าว่าแล้วเชียว เสือสมิงตนนี้บำเพ็ญเพียรนับหลายร้อยปี เนื้อน่าจะรสชาติดีกว่าเสือธรรมดาอยู่บ้าง”

 

 

ตันหวายนิ่งชะงัก สติหลุดโดยฉับพลัน

 

 

ไอ้เจ้าตัวนี้มันเป็นเสือสมิงเชียวเหรอเนี่ย?

 

 

เฟิงสือหลี่ดูออกถึงอาการตื่นตะลึงของตันหวาย จึงกล่าวอธิบายว่า “ถ้ามันเป็นแค่เสือธรรมดาข้าก็คงไม่ห่วงว่าเจ้าจะถูกมันกินหรอก”

 

 

ตันหวายคิดถึงเหตุผลนี้อยู่ในใจเช่นกัน ก่อนจะมองดูเนื้อที่ถือไว้ในมือ รู้สึกว่าไม่อาจทิ้งขว้างให้เสียของ

 

 

ในขณะเดียวกันบนเขาชางอวี้ ลี่ซูนั่งนิ่งอยู่กับที่อย่างหน้าดำคร่ำเครียด “ยังหาไม่เจออีกรึ?”

 

 

ผู้คนเบื้องล่างต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กไม่กล้าส่งเสียง ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเขามักไม่บันดาลโทสะโดยง่าย แต่หากบันดาลโทสะเมื่อไหร่นั่นย่อมหมายความว่าเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรบางอย่าง

 

 

เหตุการณ์ในวันนี้นับว่าหนักหนาทีเดียว พญาเสือโคร่งซึ่งเป็นพาหนะของศิษย์พี่ใหญ่หายตัวไป เมื่อก่อนพญาเสือโคร่งออกไปเตร็ดเตร่ที่ไหนก็มักจะบอกกล่าวลี่ซูเสมอ ทว่าครั้งนี้กลับสูญหายอย่างไร้ร่องรอย เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเพียงใด

 

 

“เอ่อ…ท่านว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่มันจะติด—–”

 

 

“เป็นไปไม่ได้!” คนผู้นั้นยังพูดไม่ทันจบก็ถูกลี่ซูตัดบทด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เจ้าเหลืองมีปัญญารู้คิด จะหมกมุ่นมัวเมาเยี่ยงเดรัจฉานได้อย่างไร!”

 

 

คนผู้นั้นเงียบกริบในทันที

 

 

“ช่างเถอะ” ลี่ซูลุกขึ้นยืน “ส่งคนออกตามหาต่อไป ตรวจตราแถวริมแม่น้ำให้ถ้วนทั่ว มันชอบไปวิ่งเล่นที่นั่นเป็นประจำ”

 

 

ลี่ซูยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว รู้สึกว่าตลอดทั้งวันนี้ช่างวุ่นวายเสียเหลือเกิน ทีแรกมีคนท่าทางพิลึกมาบอกว่าเขาตกอยู่ในอันตราย ตอนนี้เจ้าเหลืองยังหายตัวไปอีก ควรจะพักผ่อนเอาแรงสักหน่อยจริงๆ

 

 

ที่แท้ผู้บำเพ็ญเพียรก็เหนื่อยเป็นเหมือนกัน ลี่ซูคิดในใจ

[นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก

[นิยายวาย] ทะลุระบบข้ามภพมาหารัก

ตันหวาย นักศึกษาคณะศิลปะที่ประสบอุบัติเหตุรถชนเพราะช่วยชีวิต ไป๋เยว่ รุ่นพี่ที่ตนแอบชอบให้พ้นจากอันตรายจนตัวเองตายแทน วิญญาณจึงทะลุมิติมาอยู่ในระบบ H3883 ซึ่งบีบให้เขาต้องออกเดินทางไปยังโลกต่างๆ เพื่อสวมร่างผู้อื่น และทำภารกิจเพื่อสะสางความแค้นและทำความปรารถนาของเจ้าของร่างเดิมให้เป็นจริง ในชาติแรกมาเขาทะลุมิติมาอยู่ร่างบุตรชายอัครเสนาบดี ชาติที่สองเป็นเรื่องระหว่างภูติกระต่ายและภูติจิ้งจอก ชาติที่สาม ตันหวายมาอยู่ในร่างดาราหนุ่มแห่งโลกโอเมก้าเวิร์ส และในชาติสุดท้ายต้องมาย้ายอยู่ในร่างประมุขสำนักเซียนที่ต้องทำภารกิจคลายปมในใจของศิษย์น้อย หากทำสำเร็จ เขาก็จะฟื้นคืนชีพกลับไปโลกเดิมได้ แต่หากไม่สำเร็จ เขาจะต้องกลายเป็นระบบแทนและติดแหง็กอยู่ที่นี่ไปตลอดกาล!

Options

not work with dark mode
Reset