เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ – ตอนที่ 161 การเคลื่อนไหวครั้งยิ่งใหญ่ที่ปลุกระดมทุกฝ่าย!

ตอนนี้ก็เป็นเวลาสองทุ่มแล้วนับตั้งแต่โรงเรียนมัธยมอีจงเลิกเรียน

 

 

เรื่องแก๊งหมาป่าได้มาถึงจุดสิ้นสุดลงแล้ว ส่วนขั้นตอนที่เหลือก็ได้ส่งมอบให้ผู้บัญชาการห่าวเรียบร้อยแล้ว ผู้บัญชาการเฉียนจึงเลิกงานก่อน

 

 

ตอนที่รับสายจากฉินหร่าน เขากำลังอ่านรายละเอียดคดีก่อนหน้านี้ที่ห้องหนังสือ

 

 

“โรงงานเหรอ? ได้สิ” ผู้บัญชาการเฉียนวางคดีที่อยู่ในมือ จากนั้นก็ยื่นมือไปหยิบเสื้อนอกที่แขวนอยู่อีกด้านแล้วเดินออกไป “เกิดอะไรขึ้น?”

 

 

โรงงานส่วนใหญ่ต่างก็เลือกที่จะปิดบังความจริงเกี่ยวกับอุบัติเหตุระหว่างการทำงานของแรงงาน

 

 

โดยเฉพาะโรงงานที่ฉินหร่านตามหา โรงงานนั้นจะต้องไม่ยอมรายงานอย่างแน่นอน

 

 

จึงต้องเรียกมารวมตัวเพื่อทำการสืบสวน

 

 

ไม่น่าแปลกใจที่ตำรวจสายตรวจอย่างผู้บัญชาการเฉียนจะเข้าใจเงื่อนงำเรื่องนี้ดีที่สุด

 

 

“มีเหตุการณ์บางอย่างน่ะ พวกเรามาเจอกันที่เดิม” ฉินหร่านคุยกับผู้บัญชาการเฉียนไม่กี่ประโยคก็วางสายไป

 

 

เธอบีบข้อมือยืนเงียบๆอยู่บริเวณทางเดินได้สักพักกว่าจะเดินเข้าไปในห้องหนิงเวย

 

 

หนิงเวยถูกเข็นกลับมาที่ห้องผู้ป่วยแล้ว

 

 

“หร่านหร่าน” หนิงเวยยังตั้งสติไม่ได้จนถึงตอนนี้ ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าฉินหร่านไปขอร้องตระกูลหลิน แต่ฉินหร่านก็ได้ปฏิเสธไปแล้ว “เมื่อกี้…เมื่อกี้ผู้เชี่ยวชาญพวกนั้น…”

 

 

หลังจากให้ยาระงับความเจ็บปวด สีหน้าหนิงเวยก็ดีขึ้นมาไม่น้อย

 

 

เธอไม่รู้ว่าฉินหร่านเชิญผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้มาโดยไม่มีตระกูลหลินได้อย่างไร?

 

 

“น้า รักษาตัวให้สบายใจเถอะ” ฉินหร่านยืนข้างเตียง เธอก้มหน้ามองไปที่ขาของหนิงเวย “ฉันจะไม่ยอมให้น้าตัดขาเป็นอันขาด”

 

 

หลังจากพูดจบก็ไม่รอให้หนิงเวยตอบ เธอหยิบเสื้อนอกชุดนักเรียนของตัวเองพลางเหลือบมองมู่หนาน พูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังไม่ออกถึงอารมณ์ความรู้สึก “นายตามฉันมา”

 

 

ฉินหร่านออกจากประตูห้องผู้ป่วยไปก่อน

 

 

มู่หนานเม้มริมฝีปาก เขายืนขึ้นและเตรียมจะไปแต่กลับถูกหนิงเวยรั้งชายเสื้อ เธอถลึงตาเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไรพลางส่ายหน้าเพื่อไม่ให้มู่หนานพูดเรื่องนี้ออกไป

 

 

“ผมรู้แล้ว” มู่หนานพยักหน้าอย่างเย็นชา

 

 

ฉินหร่านหยุดอยู่ที่สุดทางเดิน ตอนที่มู่หนานออกไป เธอกำลังพิงกำแพง เอียงศีรษะเล็กน้อย มือกอดอก ไม่แสดงความรู้สึกผ่านทางสีหน้า

 

 

มู่หนานเดินไปข้างๆเธออย่างเงียบๆ

 

 

“นายถอนตัวออกจากการแข่งขันเหรอ?” เมื่อได้ยินเสียง ฉินหร่านไม่ได้หันไปและไม่ได้มองมู่หนาน เธอเพียงเอ่ยขึ้นมาเบาๆ

 

 

มู่หนานเงยหน้าขึ้น เม้มริมฝีปาก ยืนนิ่งๆได้สักพักก็ตอบ “ใช่”

 

 

“ฉันเข้าใจ” ฉินหร่านพยักหน้า “น้ามีคนดูแล นายอยู่อีกสักพักก็กลับบ้านเถอะ พรุ่งนี้มีเรียน ฉันก็ไม่เข้าไปแล้ว”

 

 

มู่หนานมองฉินหร่านกดลิฟต์ลงไปชั้นล่างถึงจะกลับไปยังห้องผู้ป่วย

 

 

“หร่านหร่านคงหาที่ตั้งโรงงานเราไม่เจอหรอก…” หนิงเวยถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อรู้ว่ามู่หนานไม่ได้เผลอพูดออกไป

 

 

ถึงอย่างไรผู้จัดการโรงงานพวกเธอก็เป็นคนมีเส้นสาย การที่นักเรียนมัธยมอย่างฉินหร่านจะหาพวกเขาเจอนั้นเป็นเรื่องยาก

 

 

แต่หนิงเวยก็ยังคงตาค้าง เธอนอนไม่หลับเพราะเป็นห่วงว่าฉินหร่านจะไม่ยอมเลิกรา

 

 

เหตุการณ์ของพานหมิงเย่ว์ตอนนั้นยังตราตรึงใจ

 

 

“มู่หนาน พรุ่งนี้แกไปโรงงานพลาสติก ไปหาผู้จัดการโรงงานของเราแล้วคุยเป็นการส่วนตัวบอกว่าฉันตกลงกับเงื่อนไขค่าชดเชย” หนิงเวยเม้มริมฝีปากพลางมองไปทางมู่หนาน

 

 

เมื่อได้ยินประโยคนี้ มือมู่หนานก็ชะงักอยู่นานกว่าจะเอ่ยเสียง “ครับ”

 

 

**

 

 

สองทุ่มครึ่ง ห้องส่วนตัวในร้านอาหาร

 

 

ฉินหร่านไม่ได้นั่งบนเก้าอี้ เธอพิงอยู่ริมหน้าต่างที่กำลังเปิดอยู่ มือข้างหนึ่งวางอยู่บนหน้าต่าง ปลายนิ้วขาวเนียนคีบบุหรี่สีขาวหิมะ แสงไฟพลันสว่างพลันดับท่ามกลางความมืด

 

 

เธอหยิบโทรศัพท์ต่อสายหากู้ซีฉือ

 

 

“ยังไม่ถึงท่าเรือ” กู้ซีฉือยืนบนหัวเรือพลางมองเรือสำราญที่กำลังมุ่งหน้าไปยังท่าเรือ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย “อยู่ในทะเลหลวง คงอีกสักพัก”

 

 

เรือสำราญไม่ใช่ของเขา แต่เป็นของส่วนตัวของเขาที่ลูกพี่ใหญ่โจรสลัดที่เขาเคยช่วยไว้เมื่อก่อนมอบให้

 

 

เนื่องจากมีป้ายติดไว้จึงไม่มีเรือลำไหนในทะเลหลวงกล้าเข้าใกล้ 

 

 

“อืม” ฉินหร่านพยักหน้า “เมื่อกี้ลืมเตือนไปว่ามีคนของเจียงตงเยี่ยอยู่หลายคนที่อยู่ในอวิ๋นเฉิง ตอนลงเครื่องก็ระวังตัวด้วย”

 

 

“กัดไม่ปล่อยเลยจริงๆ” กู้ซีฉือหน้าบึ้งตึงเมื่อได้ยินชื่อเจียงตงเยี่ย “ฉันเข้าใจแล้ว” 

 

 

ทั้งสองวางสาย

 

 

มีคนเคาะประตูอยู่นอกห้อง

 

 

ฉินหร่านวางโทรศัพท์ลงและบอกให้เข้ามา

 

 

ผู้บัญชาการเฉียนกำลังถือโทรศัพท์ ขณะที่สั่งให้ลูกน้องตรวจสอบโรงงานพลาสติก อีกมือหนึ่งก็ผลักประตู

 

 

พอผลักประตูเข้าไปก็เห็นฉินหร่าน

 

 

เธอเอียงหน้ามองออกไปทางหน้าต่าง

 

 

เมื่อได้ยินเสียง เธอก็เอียงศีรษะพร้อมกับดับบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ที่อยู่บนโต๊ะ ปลายนิ้วแทบจะห่อหุ้มไปด้วยความเย็น “นั่งสิ”

 

 

เธอชี้ไปที่เก้าอี้ที่อยู่ตรงข้าม

 

 

ผู้บัญชาการเฉียนขมวดคิ้วพร้อมกับวางโทรศัพท์ในมือโดยไม่พูดอะไร เขารอให้ฉินหร่านพูดก่อน

 

 

ตอนกลางคืนมีลมแรง ฉินหร่านรอให้ควันบุหรี่ในห้องสลายไปก่อน จากนั้นก็ค่อยปิดหน้าต่าง เล่าเรื่องคร่าวๆ

 

 

“เรื่องนี้ง่ายมาก” ผู้บัญชาการเฉียนที่อกสั่นขวัญแขวนมาตลอดทางก็เบาใจได้ในที่สุด เขาหยิบเมนูอาหารและสั่งอาหารไปไม่กี่อย่าง จากนั้นก็รับปากว่า “ไม่ต้องห่วง ผมจะต้องหาโรงงานนี้ให้เจอให้ได้ ใครมันช่างกล้านักถึงได้มายั่วโมโหคุณได้” 

 

 

หากเรื่องนี้เป็นเพียงคดีทั่วไปหรือถ้าอีกฝ่ายได้ยินข่าวลือและปกปิดอย่างแน่นหนาก็ไม่แน่ว่าจะหาเจอ 

 

 

แต่เมื่อเรื่องอยู่ในมือผู้บัญชาการเฉียน ทุกอย่างย่อมไม่เป็นปัญหา 

 

 

ความเร็วเป็นหลัก

 

 

ใช้ประโยคไหนก็คงไม่เหมาะสมเท่าประโยคนี้ สำหรับเรื่องนี้กองสืบสวนอาชญากรรมอวิ๋นเฉิงใช้วิธีขี่ช้างจับตั๊กแตนจัดการ

 

 

ฉินหร่านเรียกผู้บัญชาการเฉียนมาก็เพราะเรื่องนี้

 

 

เธอหรี่ตาลงก้มหน้ามองถ้วยชาที่อยู่ในมือ พูดเรียบๆ “ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครหน้าไหนมันรนหาที่ตาย”

 

 

**

 

 

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น

 

 

ห้องพยาบาลประจำโรงเรียน

 

 

ในฐานะหมอประจำห้องพยาบาลของโรงเรียน ลู่จ้าวอิ่งไม่สามารถออกจากหน้าที่ได้นาน

 

 

เขามาถึงเมื่อวานตอนบ่าย

 

 

ขณะนี้เขานั่งคร่อมบนเก้าอี้พลางมองเฉิงเจวี้ยนที่ผลักประตูเข้ามา เขาหาวไปหนึ่งทีพร้อมกับพูดแบบส่งๆ “ไม่รู้ทำไมถึงไม่เจอฉินหร่าน เมื่อกี้เพิ่งโทรศัพท์หาเธอแต่ก็ไม่รับสาย ผมก็เลยให้เฉิงมู่ไปดูสถานการณ์ที่โรงเรียนเสียหน่อย”

 

 

เฉิงเจวี้ยนสวมเพียงเสื้อเชิ้ตสีดำพลางหิ้วเสื้อกันลมสีเบจไว้ในมืออย่างลวกๆ

 

 

ท่าทางเหนื่อยหน่ายไปทั้งตัว

 

 

เขายกมือขึ้นและโยนเสื้อกันลมลงบนโซฟา เมื่อได้ยินลู่จ้าวอิ่งพูดก็เงยหน้าเล็กน้อยและตอบ “อืม” เพียงคำเดียว

 

 

หลังจากนั้นไม่นานเฉิงมู่ก็กลับมาจากข้างนอก

 

 

“ผมถามเพื่อนร่วมโต๊ะของคุณฉินมาแล้ว เธอบอกว่าคุณฉินลา” เฉิงมู่หยิบกล่องอาหารเช้าจากข้างนอกออกมา ด้านหลังยังมีผู้บัญชาการห่าวตามมาด้วย

 

 

“คุณชายเจวี้ยน” ผู้บัญชาการห่าวเรียกด้วยความเคารพแต่กลับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “คุณฉินก็ไม่อยู่หรือครับ? ทำไมยุ่งกันขนาดนี้?”

 

 

เฉิงเจวี้ยนลากเก้าอี้มานั่งยกขาขึ้นอย่างเฉยเมย

 

 

เมื่อได้ยินเสียงผู้บัญชาการห่าว เขาก็รินน้ำให้ตัวเองพลางเอียงศีรษะ “ยังมีคนยุ่งเหมือนกันเหรอ?”

 

 

“ก็ผู้บัญชาการเฉียนน่ะสิ ผมมีฐานข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อจะขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ทางเทคนิคในทีมของเขา ก็เลยไปหาตั้งแต่เช้า แต่กลับได้รับแจ้งมาว่ากองกำลังทั้งหมดของผู้บัญชาการเฉียนไม่อยู่ เหมือนว่าจะออกไปปฏิบัติภารกิจ” ผู้บัญชาการห่าวที่นั่งอยู่อีกด้านขมวดคิ้ว

 

 

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขามาพบฉินหร่านเพื่อทำการวิเคราะห์ความเคลื่อนไหว

 

 

ยังไม่ทันได้มาถึงห้องพยาบาลประจำโรงเรียน เฉิงมู่ก็บอกเขาว่าฉินหร่านเองก็ลาด้วยเช่นกัน

 

 

“กองกำลังของผู้บัญชาการเฉียนออกไปปฏิบัติภารกิจทั้งหมดเลยเหรอ?” ลู่จ้าวอิ่งวางเคสผู้ป่วยที่เขาไม่ได้จัดการมาหลายวันลงพร้อมกับมองมาด้วยความประหลาดใจ “พวกเราจากที่นี่ไปไม่กี่วัน แก๊งหมาป่าก็กลับมาเริ่มเคลื่อนไหวอีกแล้วหรอ?”

 

 

กองกำลังของผู้บัญชาการเฉียนกองนี้ปฏิบัติการได้อย่างเก่งกาจและยังเป็นอันดับต้นๆในแวดวงสืบสวนอาชญากรรมทั้งหมด

 

 

ไม่จำเป็นต้องพูดถึงความสามารถของผู้บัญชาการเฉียน ยังมีอีกหลายคนในกองกำลังของเขาที่มีชื่อเสียงในกองสืบสวนอาชญากรรม

 

 

ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้ผู้บัญชาการห่าวเดินทางไกลนับพันลี้เพื่อมาหาผู้บัญชาการเฉียนที่อวิ๋นเฉิง

 

 

ส่วนเรื่องแก๊งหมาป่า หากไม่เป็นเพราะฉินหร่านเป็นตัวกลางก็ไม่แน่ว่าผู้บัญชาการห่าวจะชวนผู้บัญชาการเฉียนมาร่วมปฏิบัติการได้

 

 

คาดไม่ถึงว่าตอนนี้จะถูกส่งออกไปปฏิบัติภารกิจกันทั้งกอง

 

 

อวิ๋นเฉิงแห่งนี้จะมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่อย่างนั้นหรือ?

 

 

“เปล่า พรรคพวกที่เหลือเดนของพวกมันโดนผมเก็บไปตั้งนานแล้ว” ผู้บัญชาการห่าวส่ายหน้า สายตามองไปที่ชุดอาหารเช้าของเฉิงมู่ จากนั้นก็ถือโอกาสหยิบขนมปังมาเคี้ยว “ผมก็ถึงได้แปลกใจไง”

 

 

ผู้บัญชาการเฉียนเป็นคนเย็นชามาโดยตลอด นอกจากฉินหร่านแล้ว เขาคุยกับคนอื่นน้อยมาก

 

 

ผู้บัญชาการห่าวคิดไม่ตกเนื่องจากไม่สามารถถามอะไรจากปากผู้บัญชาการเฉียนได้ เขาจึงไม่อยากคิดอะไรไปมากกว่านี้ แค่เอียงศีรษะมองเฉิงมู่ “สมาชิก 129 ที่นางฟ้าของนายเข้าร่วมมีการคัดเลือกกันยังไง? ได้ยินว่าจะมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่”

 

 

ในยุคของข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต มีข่าวสารเพียงบางส่วนที่ยังวนเวียนในวงในเมืองเมืองหลวงเท่านั้น

 

 

เช่นเดียวกับคนทั่วไปที่ไม่ทราบถึงการมีอยู่ขององค์กร 129

 

 

ผู้บัญชาการห่าวเอาแต่ยุ่งอยู่กับการกวาดล้างพวกเหลือเดน เขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องในเมืองหลวง

 

 

“แน่นอน แค่คนที่ออกข้อสอบในปีนี้ก็ถึงกับเป็นที่ฮือฮา…” เฉิงมู่หน้าตายไม่แสดงความรู้สึก แต่ฟังจากน้ำเสียงก็ดูออกว่าตื่นเต้น 

 

 

เฉิงเจวี้ยนพิงเก้าอี้โดยไม่ได้กินอะไร เขาเพียงหยิบขวดน้ำเต้าหู้ ดึงหลอดออกมาแล้วแทงด้วยท่าทางเอื่อยเฉื่อย

 

 

หลุบตาลง ใช้ความคิดประมาณหนึ่งนาที

 

 

จู่ๆเขาก็เงยหน้าขึ้นพลางขยับคิ้ว “ไม่ถูก”

 

 

เมื่อได้ยินเสียงเฉิงเจวี้ยน ทั้งสามก็มองมา

 

 

“อะไรไม่ถูก?” ลู่จ้าวอิ่งเอ่ยถาม

 

 

เฉิงเจวี้ยนวางน้ำเต้าหู้ เหยียดมือเคาะโต๊ะพลางเหลือมองผู้บัญชาการห่าวอีกครั้ง “คุณแน่ใจเหรอว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นในอวิ๋นเฉิง?”

 

 

“แน่นอน ไม่อย่างงั้นคนที่อาเจียงจะต้องเรียกเข้าพบก็คือผม” ผู้บัญชาการห่าวพูดเต็มไปด้วยความมั่นใจ “คนที่สามารถปลุกเร้าผู้บัญชาการเฉียนได้ไม่ได้มีแค่พวกเรา ตอนเช้าอาเจียงยังถามผมอยู่เลยว่าเรื่องแก๊งหมาป่านั่นมีความเคลื่อนไหวหรือไม่”

 

 

เจียงหุยเป็นถึงอธิบดีของอวิ๋นเฉิง เรื่องแก๊งหมาป่าเมื่อคราวที่แล้วเขาก็ยุ่งเป็นบ้าเป็นหลัง เสียทั้งทุนทรัพย์และแรงกาย ถึงอย่างไรก็เป็นคนเมืองหลวง อีกอย่างผู้บัญชาการห่าวก็ยังเคยทำงานภายใต้การบังคับบัญชาของเจียงหุย

 

 

หากอวิ๋นเฉิงเกิดเหตุการณ์สำคัญ คนแรกที่เจียงหุยจะเรียกเข้าพบก็คือผู้บัญชาการห่าว

 

 

ไม่ใช่ผู้บัญชาการเฉียน

 

 

เฉิงเจวี้ยนลุกขึ้น เลิกคิ้วเล็กน้อย เขาหยิบโทรศัพท์โทรหาฉินหร่านและเดินออกไปข้างนอก

 

 

คราวนี้ฉินหร่านรับโทรศัพท์ด้วยความรวดเร็ว

 

 

ลู่จ้าวอิ่งไม่เข้าใจการกระทำของเขา “คุณชายเจวี้ยนไม่กินข้าวแล้วเหรอ?”

 

 

เดิมทีผู้บัญชาการห่าวยังไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่จากการกระทำของเฉิงเจวี้ยนในตอนนี้ ในหัวเขาก็จุดประกายขึ้นมา “มิน่าล่ะ!”

 

 

กองกำลังทั้งหมดของผู้บัญชาการเฉียนไม่ใช่กองสืบสวนอาชญากรรมธรรมดา คดีทั่วไปย่อมไม่ต้องตกถึงมือพวกเขา ทว่าผู้บัญชาการห่าวกลับชัดแจ้งอยู่อย่างหนึ่งนั่นก็คือ ฉินหร่าน

 

 

ทัศนคติที่ผู้บัญชาการเฉียนมีต่อฉินหร่านนั้นพิเศษมาก

 

 

หากการปฏิบัติภารกิจของกองกำลังทั้งหมดเป็นไปเพื่อฉินหร่าน เรื่องนี้ก็ชัดเจนแล้ว

 

 

“ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่…” ผู้บัญชาการห่าวบ่นพึมพำ

 

 

เมื่อได้ยินถึงเรื่องฉินหร่าน ลู่จ้าวอิ่งก็เงยหน้าวางตะเกียบพลันนึกถึงเรื่องฉินหร่านลาขึ้นมาและยังมีเรื่องที่ติดต่อฉินหร่านไม่ได้ในตอนเช้า

 

 

“เฉิงมู่ นายเฝ้าห้องพยาบาลให้หน่อย ฉันจะไปหาคุณชายเจวี้ยน” ลู่จ้าวอิ่งเองก็นั่งไม่ติดที่ เขาวางตะเกียบพลางขมวดคิ้วแน่น

 

 

เฉิงมู่พยักหน้า

 

 

ผู้บัญชาการห่าวคิดได้สักพักก็ตามออกไปพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ต่อสายหาเจียงหุย

 

 

แน่นอนว่าตอนนี้คนเหล่านี้ยังไม่ทราบเรื่องที่ผู้บัญชาการเฉียนและพรรคพวกกำลังทำการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่เพียงเพราะโรงงานพลาสติกที่เดียว

 

 

**

 

 

โรงพยาบาลแห่งที่หนึ่ง

 

 

ฉินหร่านกลัวว่าเฉินซูหลานจะสงสัย เธอจึงไม่ไปเยี่ยมเฉินซูหลานแต่ตรงไปที่ห้องหนิงเวย

 

 

ตอนที่เธอไป หนิงเวยยังคงเสียบสายน้ำเกลืออยู่

 

 

กลุ่มแพทย์ก็กำลังออกตรวจอาการผู้ป่วย

 

 

ฉินหร่านยืนอยู่อีกด้าน หลังจากรอให้หมอตรวจเสร็จ เธอก็เดินเข้าไปใกล้ๆพลางกวาดตามองไปทั่วห้อง “มู่หนานล่ะ?”

 

 

“เมื่อวานมู่หนานอยู่เป็นเพื่อนน้าทั้งคืน น้าก็เลยให้เขากลับไปแล้ว” หนิงเวยขยับตัวและมองแผ่นหลังของกลุ่มแพทย์เหล่านั้นที่เดินจากไป “หร่านหร่าน หมอพวกนั้น…”

 

 

“น้า น้าอย่าโกหกฉัน” ฉินหร่านเม้มปาก เธอเดินไปข้างหน้าสองก้าว “มู่หนานอยู่บ้านจริงเหรอ?”

 

 

“ไม่อยู่บ้านก็อยู่โรงเรียน” หนิงเวยยิ้มเล็กน้อย

 

 

โทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้น ฉินหร่านหยิบมาดูก็พบว่าเป็นผู้บัญชาการเฉียน เธอชำเลืองมองหนิงเวยแต่คราวนี้ไม่ได้หลบเลี่ยง “คุณมาแล้วหรอ”

 

 

เธอพูดอยู่ในห้องผู้ป่วยของหนิงเวยไปตรงๆ

 

 

หนิงเวยมองฉินหร่านด้วยความร้อนใจ

 

 

ภายในเวลาไม่ถึงห้านาที ผู้บัญชาการเฉียนก็ถือแฟ้มคดีผลักประตูเข้ามา

 

 

เมื่อคืนได้ยินฉินหร่านพูดถึงเรื่องหนิงเวย ผู้บัญชาการเฉียนก็ไม่ได้แปลกใจมากนัก พอเขาถามสารทุกข์สุกดิบของหนิงเวยก็พบว่าฉินหร่านเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะหลบเลี่ยง เขายื่นแฟ้มคดีให้ฉินหร่าน “คุณฉิน นี่คือข้อมูลของโรงงานพลาสติกเหอไห่”

 

 

ตูม——

 

 

หัวใจหนิงเวยแตกเป็นเสี่ยงๆ

 

 

เธอยังไม่ทันคิดเลยว่าฉินหร่านหาโรงงานพลาสติกเหอไห่เร็วขนาดนี้ได้อย่างไร เธอผุดลุกนั่งขึ้นทันที พูดด้วยเสียงแหลมขึ้นเล็กน้อยอย่างร้อนใจ “หร่านหร่านฟังน้า อย่าไป! ผู้จัดการโรงงานต้องการสูตรเพียงใบเดียว แต่น้าไม่ยอมให้ ขาน้าก็เลยหลุดเข้าไปในเครื่องจักรที่สภาพทรุดโทรม เขาแค่เตือนน้า ผู้จัดการโรงงานเรามีคนหนุนหลัง คนอย่างเขา ถึงจะใช้ความผิดพลาดของเครื่องจักรฆ่าคนก็ถือว่าเป็นแค่อุบัติเหตุจากการทำงาน”

 

 

“ขานี่เดิมทีก็ใช้การไม่ได้แล้ว ตัดก็ตัด คนจิตใจโหดเ**้ยมอย่างเขาจะต้องไม่ทิ้งหลักฐานไว้แน่ เธออย่าหุนหันพลันแล่นเพราะน้าเลย มันไม่คุ้ม!”

 

 

ฉินหร่านฟังเสร็จก็พยักหน้า เธอไม่คิดเลยว่าในอวิ๋นเฉิงจะมีคนโหดเ**้ยมพรรค์นี้ที่ถึงกับใช้ขาหนึ่งข้างเพื่อตักเตือน

 

 

เธอเลียริมฝีปากและหันหน้าไปมองผู้บัญชาการเฉียน “ได้ยินแล้วใช่ไหม?”

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ด้วยว่าพ่อแม่หย่าร้างกันตั้งแต่ยังเล็ก และ ฉินหร่าน ไม่ใช่เด็กประพฤติดี นอกจากจะไม่ตั้งใจเรียนจนผลการเรียนย่ำแย่แล้ว เธอยังหัวรั้นและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจนโดนพักการเรียนไปเป็นปี แตกต่างจาก ฉินอวี่ น้องสาวที่เป็นนักเรียนดีเด่นผู้แสนเพียบพร้อมราวฟ้ากับเหว ด้วยเหตุนี้แม่ของเธอจึงเลือกพาน้องสาวไปอยู่ด้วยเพียงคนเดียวและทิ้งฉินหร่านเอาไว้ท่ามกลางชนบท ปล่อยให้เธอเติบโตเพียงลำพังในความดูแลของคุณยายวัยชรา สองยายหลานร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาสิบสองปี จนกระทั่งวันหนึ่งคุณยายเกิดป่วยหนักอาการโคม่าต้องส่งตัวไปยังโรงพยาบาลในเมือง ครอบครัวฉินจึงได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง เมื่อคุณยายไม่สามารถดูแลฉินหร่านด้วยตัวเองได้ต่อไปได้อีก แม่ของเธอจึงอาสารับเลี้ยงเธอไว้แทน กระนั้นก็ยังไม่วายเหน็บแนมหญิงสาวอยู่ตลอดว่าอย่าทำตัวน่าขายหน้า ให้เอาอย่างฉินอวี่ผู้เป็นน้องบ้าง กระนั้นกลับไม่มีใครล่วงรู้เลยว่านอกจากฉินหร่านจะมีใบหน้างดงามเกินเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว เธอยังมีอีกหนึ่งตัวตนปริศนาที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่ เพราะใครกันล่ะที่ทำข้อสอบกากบาททุกข้อแล้วผลคะแนนสอบจะออกมาได้เท่ากับศูนย์ในทุกๆ วิชา เธอโง่จริงๆ หรือว่าตั้งใจกันแน่… เช่นเดียวกับ เฉิงเจวี้ยน หมอหนุ่มประจำโรงเรียนที่แสนธรรมดาคนนั้น ทว่า…เขาเป็นแค่หมอประจำโรงเรียนจริงหรือ เมื่อโชคชะตานำพาให้คนสองคนที่ปกปิดตัวตนของตัวเองเอาไว้ได้มาพบกัน หน้ากากของใครจะถูกกระชากออกมาก่อนนะ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset