ก่อนหน้านี้สวีเหยากวงไม่สนใจว่าฉินหร่านจะเป็นใครกันแน่
และไม่สนใจว่าเธอจะถนัดซ้ายหรือเปล่า
ฉะนั้นตอนที่เห็นเธอใช้มือขวาเขียนบอร์ด แม้จะตกใจ แต่ก็ละเลยทิ้งเรื่องนี้ไป
ตอนนี้นึกขึ้นได้แล้ว
ฉินหร่านไม่ได้ถนัดซ้ายตั้งแต่แรก!
สวีเหยากวงหลับตา เมื่อรายละเอียดทั้งหมดเชื่อมต่อกันเหมือนจะเข้าใจได้ไม่ยาก มือซ้ายของฉินหร่านเขียนได้ช้ามาก เหมือนคนที่เพิ่งหัดเขียน
เขาวางตะเกียบลง
ขีด QR 280+ บนกระดาษทิ้ง เขียนเครื่องหมายคำถามลงไปใหม่
มือซ้าย 280 แล้วมือขวาล่ะ
เฉียวเซิงเล่นเกมง่ายๆ พอสวีเหยากวงวางตะเกียบลง สีหน้าดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย จึงอดชะโงกหน้าไปมองไม่ได้
มองต้นสายปลายเหตุไม่ออก
เส้นที่สวีเหยากวงวาดแปลกมากทีเดียว
เฉียวเซิงไม่ใช่เกมเมอร์มืออาชีพ ไม่มีความรู้เรื่อง APM ต่อให้จับมือเมิ่งซินหรานกับคนอื่นๆ มาอยู่ด้วยกัน เขาก็มองไม่ออกว่า APM 500+ กับ 200+ มีอะไรแตกต่างกัน
“เฉียวเซิง คุณชายสวี ยังไม่ไปอีกเหรอ” ประตูห้องพักของสวีเหยากวงไม่ได้ปิด เหอเหวินฝั่งตรงข้ามยืนพิงกรอบประตู เคาะประตูเรียกพวกเขาไปห้องเรียน
“รอเดี๋ยว” เฉียวเซิงเงยหน้า ชี้ไปทางสวีเหยากวง “คุณชายสวียังไม่ได้กิน…”
“ไม่กินแล้ว” สวีเหยากวงลุกพรวดขึ้น ทิ้งข้าวที่เหลือลงถังขยะ หยิบกระดาษเดินไปห้องเรียนกับพวกเขา
…
ห้องพยาบาล
ตอนที่เฉิงเจวี้ยนกับลู่จ้าวอิ่งหิ้วชานมกลับมา ฉินหร่านกำลังนั่งเอียงตัวเอนอยู่บนโต๊ะ ต้นหญ้าที่วางอยู่บนจานแก้ว ซึ่งคายน้ำแทบจะหมดแล้ว
“คุณหนูฉิน” เฉิงมู่ยกชาถ้วยหนึ่งมาให้ฉินหร่าน ชี้ไม้ชี้มือไปที่หญ้าบนจานแก้ว กดเสียงเบา “ดอกลืมทุกข์นี่ของคุณเหรอ”
ฉินหร่านยืนหันหลังให้กระจก วันนี้แดดแรง เพียงแต่ว่าอากาศหนาว
หันหน้าย้อนแสงมา เลิกคิ้ว “นายบอกว่ามันชื่ออะไรนะ”
“ดอกลืมทุกข์ไง ปกติจะมีแค่ในงานประมูล” เฉิงมู่หยุดคิดไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นมาอีกว่า “ท่านเจวี้ยนให้คุณเหรอ”
“อ้อ” ฉินหร่านพยักหน้าลวกๆ พูดอย่างเกียจคร้านว่า “เพื่อนร่วมโต๊ะของฉันให้มา กลิ่นหอม”
หลับสบาย
“เพื่อนร่วมโต๊ะของคุณ?” เฉิงมู่นึกถึงหลินซือหรานคนที่ไม่เคยเห็นโลกกว้างครั้งก่อนคนนั้นขึ้นมาทันที มึนงงนิดหน่อย “ได้ยังไงกัน”
เขาเดินเข้าไปสองก้าว หยิบจานแก้วที่เฉิงเจวี้ยนวางไว้บนโต๊ะขึ้นมาดู
หมุนดูรอบๆ แล้วหารหัสบาร์โค้ดไม่เจอ
คงจะเป็นของปลอมล่ะมั้ง…
ตอนแรกเฉิงมู่คิดว่าเฉิงเจวี้ยนเป็นคนให้ฉินหร่าน ตอนนี้พอรู้ว่าเป็นของปลอม จึงผ่อนคลายกับมันขึ้นมา
ลู่จ้าวอิ่งเตะประตูเข้ามา นั่งลงบนโต๊ะทานข้าว ยกขาขึ้นไขว่ห้าง ยื่นชานมให้ฉินหร่าน “ฉินเสี่ยวหร่าน เธอกับพานหมิงเยว่เป็นเพื่อนกันจริงเหรอ”
คนหนึ่งทั้งเย็นชาทั้งแปลก แถมยังมีมาดของบิ๊กบอสที่ไม่สนใครหน้าไหนและเอาแต่ใจ
อีกคนทั้งเรียบร้อยและพูดน้อย แค่มองก็รู้ว่าเป็นนักเรียนเรียนดี
ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่น่ามาอยู่ด้วยกันได้
ฉินหร่านเจาะฝาแก้วปักหลอดลงไป คาบใส่ปากอย่างสบายๆ “แน่นอนสิ”
“ตาของเธอสวย” ลู่จ้าวอิ่งถือตะเกียบยิ้มๆ
ฉินหร่านที่ดื่มชานมอยู่ได้ยินประโยค ก็เงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาคู่นั้นเย็นเยือก ใบหน้ามีแต่ความเหลาะแหละ “นายอย่ายุ่งกับเธอ”
แต่น้ำเสียงกลับจริงจัง
ลู่จ้าวอิ่งนึกออกแล้ว รู้จักฉินหร่านมานานขนาดนี้ ฝีมือเธอดีขนาดนี้ อาการบาดเจ็บเพียงหนึ่งเดียวก็เป็นเพราะพานหมิงเยว่ “ปกป้องเธอขนาดนี้เลยเหรอ”
ฉินหร่านดื่มชานมต่อ ไม่ว่าลู่จ้าวอิ่งจะถามอะไรต่อ เธอก็ไม่ยอมปริปาก
ผ่านไปครู่ใหญ่ เหมือนลู่จ้าวอิ่งจะได้ยินประโยคที่เบาบางราวกับควัน
เสียงเบาเกินไป เขาได้ยินคำว่า ‘ความผิด’ แถมยังไม่ชัดอีกด้วย
เฉิงเจวี้ยนที่หลังล้างมือเสร็จแล้ว เดินมาทางนี้พร้อมกับกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจางๆ ฝีเท้ากลับหยุดชะงัก
ลู่จ้าวอิ่งอ้าปาก อยากถามให้ชัดกว่านี้หน่อย
เฉิงเจวี้ยนวางมือลงบนเก้าอี้ไม้มะเกลือดำแล้วลากออก มองเขาแวบหนึ่งนิ่งๆ “ไปล้างมือ”
หลังกินข้าวเสร็จ ฉินหร่านก็ฟุบกับโต๊ะคัดลายมือต่อ มือซ้ายขีดๆ เขียนๆ ไม่ไหลลื่น มือขวาเท้าค้าง ใบหน้าสวยเต็มไปด้วยความหงุดหงิด เหลาะแหละและเอาแต่ใจ
ดื่มชานมที่ยังไม่หมดอีกอึก ฉินหร่านกัดหลอด เอียงหัวเล็กน้อย
เฉิงเจวี้ยนเจียกระจกอยู่ข้างใน เขาไม่ได้เชี่ยวชาญขนาดนั้น นั่งอยู่บนโต๊ะ นิ้วมือเรียวยาวถือแผ่นกระจกไว้
ใบหน้าก้มลง แลดูเหนื่อยหน่ายเกียจคร้าน
เฉิงมู่เห็นฉินหร่านเขียนได้ครึ่งหนึ่งก็หยุดเขียน รู้สึกว่าวันนี้อารมณ์ของเธอไม่ค่อยดีมากนัก
“ดูท่าทางท่านเจวี้ยนพิถีพิถันขนาดนั้น เหมือนเป็นดอกลืมทุกข์ของจริงอย่างนั้นแหละ” เฉิงมู่ลากเก้าอี้มานั่งลงข้างลู่จ้าวอิ่ง กำมือถือกำลังส่งข้อความให้เฉิงจิน
ลู่จ้าวอิ่งกำลังมองบัตรเข้าชมการแข่งขันของวันเสาร์นี้อยู่ คำนวณเวลาที่จะเข้าเมืองหลวง “ดอกลืมทุกข์อะไร”
“อ๋อ ของที่นายท่านใส่ตลอดเวลา รายละเอียดผมก็ไม่รู้หรอก ปีที่แล้วผมไปประมูลกับประธานเฉิง ไม่แพง ตอนนั้นแค่สี่ล้านเจ็ดแสน แต่ก็อยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งเดือน” เฉิงมู่พูดเสียงราบเรียบ
มือของลู่จ้าวอิ่งกลับนิ่งไป เฉิงมู่คงจะบ้าไปแล้ว สี่ล้านเจ็ดแสนยังพูดออกมาได้ว่าไม่แพง
บริษัทขนาดใหญ่ทั่วไป หนึ่งเดือนยากจะมีเงินหมุนเวียน 4.7 ล้าน
“แต่ของคุณหนูฉินน่าจะเป็นของปลอม” เฉิงมู่ครุ่นคิด จากนั้นกดเสียงให้ต่ำลง “ผมไม่เห็นบาร์โค้ดเลย”
เขาเคยไปซื้อกับประธานเฉิง ย่อมรู้ดีมาก ของที่ออกสู่ท้องตลาดแบบนี้ ส่วนใหญ่จะมีบาร์โค้ดกันปลอมติดอยู่ชัดเจน
ตอนที่ฉินหร่านเขียนสมุดคัดลายมืออีกเล่มเสร็จแล้ว ค่อยสวมฮู้ดแล้วออกไป กลับห้องเก้า
เฉิงเจวี้ยนเจียกระจกเสร็จแล้ว วางอยู่อีกมุม ดึงประตูกระจกแล้วเดินออกมา
พิงเก้าอี้ที่เธอนั่งก่อนหน้านี้ ยื่นมือออกไปพลิกดูสมุดคัดลายมือของเธอ
ลายมือมีความก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยเลย
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขางอนิ้วแล้วเคาะโต๊ะ พูดเสียงราบเรียบว่า “เฉิงมู่ ข้อมูลของ 712 ฉันจะดูอีกรอบ”
เฉิงมู่ไปหยิบข้อมูลมา
เฉิงเจวี้ยนพลิกไปหน้าแรกทันที จ้องมองอยู่ครู่ใหญ่
นี่เป็นข้อมูลหน้าที่มีชื่อของฉินหร่าน
“หาลูกสาวของเหล่าเหยาไม่เจอ เธอเคยปรากฏตัวในที่เกิดเหตุ แต่ข้อมูลสุดท้ายก็อยู่ที่นี่” เฉิงมู่มองแวบหนึ่งแล้วเงียบ “ผมคิดว่าน่าจะถูกแก้แค้นอย่างโหดเ**้ยม พวกหมาป่าเ**้ยมพวกนั้นไม่ใช่คนดีอะไร ไม่ก็ถูกคนคุ้มกันเป็นอย่างดีมาก แต่…อย่างหลังเป็นไปไม่ค่อยได้”
คงไม่มีใครยอมทำเพื่อลูกสาวของตำรวจปราบปรามยาเสพติดคนหนึ่งถึงขั้นนี้หรอกมั้ง
ไม่ใช่คนสำคัญอะไรเสียหน่อย
พวกหมาป่าเ**้ยมลงมืออย่างอำมหิตเสมอมา เขากับผู้บัญชาการห่าวสืบหาจนถึงตอนนี้ ถึงได้เจอฐานที่มั่นแห่งหนึ่งในอวิ๋นเฉิงที่ร้างไปแล้ว
เหยาเหว่ยหลิน (ถูกฝังทั้งเป็น ตายเพราะขาดอากาศหายใจ)
ภรรยาของเหยาเหว่ยหลิน (ถูกฝังทั้งเป็น ตายเพราะขาดอากาศหายใจ)
ลูกสาวของเหยาเหว่ยหลิน (ไม่ทราบแน่ชัด)
ในที่เกิดเหตุมีหลุมสามแห่ง หลุมหนึ่งไม่ถูกฝัง มีคนสันนิษฐานว่าก่อนหน้านี้ลูกสาวของเหยาเหว่ยหลินอยู่ตรงนั้น
ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีแม้แต่ชื่อของลูกสาวเหยาเหว่ยหลินโผล่มาเลย ฝ่ายข้อมูลก็ไม่มีข้อมูลอะไรของเธอเลย
เฉิงเจวี้ยนเอนตัวพิงข้างล่าง เขายกมือขึ้นปิดตา พูดเสียงเบาว่า “เฉิงมู่ นายเคยได้ยินทฤษฎีรางรถไฟหรือเปล่า
สมมุติว่ามีรถไฟที่แล่นไปแดนไกล ข้างหน้ามีทางแยกสองทาง ทางหนึ่งมีคนคนหนึ่งถูกมัดอยู่บนรางรถไฟ อีกทางมีสองคน ในสามคนนี้มีสองคนที่นายเคารพมาก อีกคนเป็นเพื่อนของนาย ให้เวลานายสิบวินาที นายทำได้แค่ใช้รีโมทควบคุมระยะไกลเลือกช่วยชีวิตทางเดียว นายจะทำยังไง”
เฉิงมู่ชะงัก “คงจะเหมือนกับให้ผมเลือกระหว่างคุณและคุณชายลู่กับเฉิงจินสินะ”
จากนั้นก็ขมวดคิ้ว “งั้นผมเลือกไม่ทำ”
“ไม่ทำสามคนจะตายพร้อมกัน” เฉิงเจวี้ยนทอดสายตามองนอกหน้าต่าง กดเสียงต่ำมาก
“ยังไงก็ต้องให้ผมเลือกสองคนหรือคนหนึ่งอยู่ดีใช่ไหม” เฉิงมู่นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดนิ่งๆ ว่า “ท่านเจวี้ยน คุณโหดร้ายจังเลย”
ต่อให้เลือกแล้ว เขาคงจะเสียสติแน่
เฉิงเจวี้ยนหลับตามองช้าๆ มือที่วางอยู่บนโต๊ะกำแน่น เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ไม่พูดอะไรอีกเลย
…
ตอนที่ฉินหร่านมาถึงห้องเก้า ใกล้จะหมดคาบเรียนแล้ว
หลินซือหรานกำลังทำควิซฟิสิกส์ เขียนได้พอสมควรแล้ว พอเห็นฉินหร่าน ก็ยื่นควิซฟิสิกส์ของตัวเองออกไป “รีบลอก เดี๋ยวคุณชายสวีจะมาเก็บควิซแล้ว”
ฉินหร่านไม่ค่อยอยากเขียนมากนัก
แต่หลินซือหรานพูดแบบนี้ เขียนคำตอบเดิมของหลินซือหรานลงในควิซฟิสิกส์อย่างเชื่องช้าโดยที่ไม่แก้ไขอะไรเลย
ตอนที่สวีเหยากวงมาเก็บควิซ หลินซือหรานก็เงยหน้าขึ้น ชี้แจงกับสวีเหยากวง
ที่ผ่านมาถ้าเห็นฉินหร่านลอกข้อสอบ สวีเหยากวงจะจากไปโดยที่ไม่พูดอะไรเลย ไม่สนใจว่าเธอจะส่งควิซหรือไม่
แต่วันนี้เขากลับหยุดลงอย่างที่พบเจอได้ยาก รอเธอทำให้เสร็จ ใบหน้าไม่มีความหงุดหงิดเลยแม้แต่นิด
แม้แต่หลินซือหรานก็แปลกใจ แต่ก็ไม่พูดอะไร หันไปหาฉินหร่านแล้วเท้าคางมองเธอทำควิซ ตกใจมากทีเดียว “หรานหร่าน เขียนได้ดีขึ้นเยอะเลยนี่นา สวยขึ้นแล้วด้วย”
ฉินหร่านใช้มือซ้ายเขียนค่อนข้างช้ามาตลอด และไม่ค่อยสวย
แต่ระยะนี้ หลินซือหรานพบว่าเธอเขียนได้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ละลำดับขีดชัดเจน และดูมีความแข็งแรงขึ้น ไม่ค่อยเหมือนตัวหนังสือของเด็กประถมแล้ว
ฉินหร่านเขียนเสร็จก็ยื่นควิซให้สวีเหยากวง
สวีเหยากวงก้มหน้ามองแวบหนึ่ง ลายมือไม่ได้ดีขึ้นเพียงนิดเดียว
ลายมือสิบกว่าปีก่อนไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย แต่ตอนนี้แค่สองเดือน เปลี่ยนแปลงเร็วได้ขนาดนี้เชียวเหรอ
สวีเหยากวงวางควิซไว้บนสุด เม้มปาก แต่นั่นเป็นเพราะเมื่อก่อนเธอใช้มือซ้ายเขียนน้อยมาก
เขาส่งควิซไปให้อาจารย์ฟิสิกส์
จากนั้นกลับมานั่งที่ของตัวเอง หยิบมือถือขึ้นมาเปิดเวยป๋อ ค้นหาเวยป๋อของหยางเฟยแล้วกดเข้าไปที่หน้าหลักของ qr
คนที่หยางเฟยกล้าพูดออกมาว่า ‘เก่งกว่าฉัน’ นอกจากคนนั้นแล้ว สวีเหยากวงคิดไม่ออกแล้วว่าจะเป็นใครได้อีก
ฉินหร่านสอดคล้องแทบจะทุกอย่าง
มีแค่จุดเดียวคือ APM ของเธอ เมื่อคืนตอนที่แข่งกับเมิ่งซินหราน สวีเหยากวงสังเกตเห็นความเร็วของมือฉินหร่านมี APM แค่ 280+
ทุกอย่างปิดบังได้ แต่ความเร็วของมือปิดบังไม่ได้
ทว่าตอนนี้…
สวีเหยากวงถือปากกา ขีดเส้นระหว่าง Q QR และ qr
เขาก้มหน้า นัยน์ตาแวววาว นิ้วมือที่บีบกันเบาๆ สั่นเทาเล็กน้อย
…
“หรานหร่าน หญ้าที่คอเธอล่ะ” หลินซือหรานหยิบหนังสือคณิตที่จะใช้ในคาบต่อไปขึ้นมา หันหน้ามาเล็กน้อย
ฉินหร่านพิงผนัง ใบหน้างดงามก้มต่ำ ไม่ค่อยมีอารมณ์ “ให้คนอื่นเอาไปสตัฟฟ์แล้ว”
“ถ้าเ**่ยวแล้วก็ทิ้งไปเถอะ บ้านฉันยังมีอีกเพียบ” หลินซือหรานคิดอยู่ครู่หนึ่ง กระซิบด้วยความเขินอาย “พ่อฉันทำสวนดอกไม้น่ะ”
“อ่อ” ฉินหร่านพยักหน้า “พ่อฉันเธอก็เคยเห็นแล้ว เป็นกรรมกรก่อสร้าง”
เกาหยางถือคู่มือสอนเดินเข้าจากระเบียงทางเดิน
หลังเรียบเสร็จ เขาก็เคาะโต๊ะของฉินหร่าน เป็นเชิงบอกให้ตามเขาออกไป
“นี่เป็นใบลาสามวันของเธอ” เกาหยางยื่นใบลาในมือให้ฉินหร่าน
“ขอบคุณค่ะ” ฉินหร่านรับมาแล้วก้มมอง ใบลาถูกเซ็นเรียบร้อยแล้ว
ฉินหร่านเก็บใบลาแล้วเดินไปทางที่นั่งของตัวเอง
คราวนี้สวีเหยากวงก็นำกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาด้วยเช่นกัน “อาจารย์เกา ผมขอลาหยุด”
น่าแปลกจริงๆ ช่วงนี้แต่ละคนมาขอลาหยุดกันหมด เกาหยางหนีบคู่มือไว้ใต้รักแร้ “กี่วัน”
“จันทร์หน้าถึงวันพุธ สามวันครับ” สวีเหยากวงยื่นเหตุผลที่ขอลาให้เกาหยาง
เกาหยางรับมาแล้วโพล่งออกไปว่า “วันจันทร์ถึงวันพุธเหรอ”
เวลาที่ขอลาเหมือนฉินหร่านเสียด้วย
ก้มดู เหตุผลลาหยุดของสวีเหยากกวงเขียนได้ละเอียดมาก เขาจะกลับเมืองหลวง
แต่ฉินหร่านลวกกว่าเยอะเลย เขียนแค่คำว่า ‘ธุระส่วนตัว’ อย่างถือตัว
ไม่แม้แต่จะอ้างเหตุผลตบตาเกาหยางเลยสักนิด
สวีเหยากวงตอบอืม ไม่ได้อธิบายมากนัก
เกาหยางลงมือเซ็นใบลาให้เขา
…
เลิกเรียนตอนบ่าย เฉียวเซิงหยิบลูกบาสขึ้นมาเดาะ รอสวีเหยากวงออกมา
สวีเหยากวงกำลังดูมือถือ ไม่ได้ออกไปทันที
เขาเงยหน้าขึ้น ฉินหร่านยังนั่งอยู่ที่เดิม เธอนั่งเท้าคาง พลิกอ่านหนังสือลวกๆ มองจากข้างหลังก็มองออกว่าเธอดูหงุดหงิดมากทีเดียว
ครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายสวีเหยากวงก็ดันเก้าอี้ออกแล้วลุกขึ้นอยู่ดี
ตอนแรกเฉียวเซิงคิดว่าสวีเหยากวงจะออกมาแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะกำมือถือ เดินไปทางฉินหร่าน
“นี่ คุณชายสวี!” เฉียวเซิงลุกพรวด ตามเข้าไปทันที
สวีเหยากวงไม่สนใจเขา เขาขยายภาพใบหนึ่งที่เก็บไว้ในมือถือมาตลอด จากนั้นยื่นไปตรงหน้าฉินหร่าน
“มีเรื่องอะไร ว่ามา” มือของฉินหร่านถือหนังสือไว้ หันหน้ามาอย่างไม่สบอารมณ์
เฉียวเซิงเหลือบมองแวบหนึ่ง รูปถ่ายในมือถือที่สวีเหยากวงขยายไม่ค่อยชัดเจนมากนัก ความละเอียดของภาพต่ำ คงจะเป็นของเหมือนหลายปีก่อน
ในภาพเป็นภาพด้านหลังของคนคนหนึ่ง สวมเสื้อสีดำ เหมือนจะเป็นยูนิฟอร์มของ OST บนหัวมีหมวกเบสบอล
มองไม่เห็นหน้า แต่แค่แผ่นหลัง ก็สามารถเห็นถึงความเอาแต่ใจแล้ว
“เธอสินะ” มือสองข้างของสวีเหยากวงยันโต๊ะ ก้มหน้าเล็กน้อย แววตาไม่แสดงอารมณ์ “Q”