ตอนที่ลู่จ้าวอิ่งกำลังคุยโว ฉินหร่านก็กัดตะเกียบท่าทางครุ่นคิด
OST มีสมาชิกชื่อเมิ่งซินหรานด้วยเหรอ
ส่วนเฉิงมู่ก็ตกใจจนมึนงง “เธอเป็นผู้หญิงแต่มี APM เป็นอันดับสามของทีม OST เหรอ”
“ใช่แล้ว” ลู่จ้าวอิ่งเป็นชายหนุ่มผู้เสพติดอินเทอร์เน็ต และเป็นแฟนคลับตัวยงของ OST พอพูดถึงเรื่องนี้กระปรี้กระเปร่า “เทพพระอาทิตย์มี APM สูง 607 ครั้งต่อนาที เมิ่งซินหรานเคยแข่งกับเทพพระอาทิตย์แล้ว APM 500+ ต่อนาที สูงกว่าอี้จี้หมิงที่อยู่อันดับสาม 30 ครั้ง สร้างสถิติอันดับสามใหม่ ฉันดูสถิติของเธอแล้ว”
“สุดยอด” สมัยเฉิงมู่เรียนมหาลัยก็เคยเล่นเกมนี้เหมือนกัน ไม่ได้ติดเหมือนลู่จ้าวอิ่ง แต่ก็รู้บ้างเหมือนกัน
พูดจบก็ทอดถอนหายใจ
ฉินหร่านฟังบทสนทนาของทั้งคู่ คีบซี่โครงชิ้นหนึ่ง กำลังขบคิดช้าๆ
APM ที่ว่านี้ ปกติเกมเมอร์มืออาชีพทั่วไปจะมี APM อยู่ที่ราวๆ 300 ถึง 400
เกมท่องยุทธภพต้องการค่า APM สูงมาก สูงถึง 500 ครั้งต่อนาที ทำลายสถิติเฉลี่ยของเกมเมอร์มืออาชีพทั่วไป
เมิ่งซินหรานคนนั้นมีพรสวรรค์ในการเป็นเกมเมอร์มืออาชีพอย่างแท้จริง
ถึงว่าทีม OST แหกกฎยอมให้ผู้หญิงอย่างเมิ่งซินหรานเข้าร่วมทีม
แต่ทุกอย่างนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเธอมากนัก
ลู่จ้าวอิ่งพูดจบก็มองฉินหร่านแวบหนึ่ง เขาวางตะเกียบลง “เดี๋ยวนะ เธอไม่รู้จักเมิ่งซินหรานเหรอ”
ฉินหร่านยังกินข้าวอยู่ เลยตอบไปคำหนึ่งว่า “ก็ใช่น่ะสิ”
เดี๋ยวนะ…
เธอเป็นแฟนคลับของ OST แต่ไม่รู้จักเมิ่งซินหรานที่เป็นสมาชิกใหม่ตัวฉกาจของทีมงั้นเหรอ
ลู่จ้าวอิ่งหันหน้ามา จ้องฉินหร่านด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ฉันบอกแล้วว่า ฉันไม่ใช่แฟนคลับของ OST” ฉินหร่านกินข้าวคำหนึ่ง ดวงตาที่เชยขึ้นหรี่ลงเล็กน้อย
ประสานกับสายตาของลู่จ้าวอิ่ง เธอนั่งไขว่ห้างเลิกคิ้วแล้วยิ้ม “นายไม่เชื่อเอง”
ลู่จ้าวอิ่งยังอยากพูดต่อ แต่เฉิงเจวี้ยนที่ไม่ค่อยพูดอะไรยื่นมือมาเคาะโต๊ะ “กินข้าวก่อน”
…
“เธอไม่ใช่แฟนคลับของ OST ทำไมถึงมีหมวกล่ะ” หลังกินข้าวเสร็จ ลู่จ้าวอิ่งก็เปิดโน้ตบุ๊กเตรียมจะเล่นเกมสักตา
ฉินหร่านกระชับผ้าห่มบนตัว ล้วงมือถือออกมากดเปิด QQ “ซื้อมาจากในเว็บ”
ลู่จ้าวอิ่งรอเกมอัปเกรดใหม่ พลางเอียงหัวมองฉินหร่าน นิ้วมือลูบต่างหูราวกับกำลังประเมินว่าคำพูดของเธอเชื่อถือได้มากแค่ไหน
เมื่อเกมอัปเกรดเสร็จแล้ว ลู่จ้าวอิ่งก็บังคับตัวละครในเกมไปที่อารีน่า
จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ กดยกเลิกการจับคู่ เอียงหัวมองฉินหร่านแล้วเลิกคิ้ว “เธอมีไอดีใช่ไหม เล่นคู่สักตาไหม”
ลู่จ้าวอิ่งเคยเห็นฉินหร่านเล่นเกม แต่ส่วนใหญ่จะเคลียร์ดันเจี้ยนเสียมากกว่า ไม่เคยเห็นเธอเล่นอารีน่ามาก่อน
เกมท่องยุทธภพเป็นเกมแนว PvP กับ PvE ยอดฮิต นอกจากเกมจะมีตัวละครเป็นของตัวเองแล้ว ผู้เล่นยังสามารถสร้างการ์ดตัวละครเองได้ PvP ก็คือผู้เล่นสามารถบังคับตัวละครให้ต่อสู้
แต่การสร้างการ์ดตัวละครเองส่วนใหญ่จะไม่ค่อยคุ้มค่า เมื่อสองปีก่อนมีคนสร้างการ์ดตัวละครจู่โจมสองตัวอย่างน่าเหลือเชื่อ การสร้างตัวละครเองเคยเป็นที่นิยมอยู่ช่วงนี้ ตอนนี้น้อยคนนักที่จะสร้างตัวละครด้วยตัวเอง
“เธอได้คะแนนเท่าไหร่ มีแรงก์หรือเปล่า” ลู่จ้าวอิ่งเล่นเกมได้ดีทีเดียว ถึงเขาจะไม่ใช่เกมเมอร์มืออาชีพ แต่ APM ก็สูงถึง 300 ครั้งต่อนาทีเหมือนกัน เล่นเกมเป็นงานอดิเรกก็นับว่าเป็นยอดฝีมือ
“2078 คะแนน แรงก์ปรมาจารย์ 9 ดาว” มือของลู่จ้าวอิ่งยังวางอยู่บนเมาส์
เกมท่องยุทธภพมีทั้งหมด 7 แรงก์คือ มือสมัครเล่นระดับต้น มือสมัครเล่นระดับกลาง มือสมัครเล่นระดับสูง ลูกศิษย์ ไต้ซือ ปรมาจารย์ และจักรพรรดิ
แต่ละแรงก์จะมีทั้งหมด 9 ดาว ได้ดาวครบถึงจะเลื่อนขั้นได้
เกมท่องยุทธภพไม่มีระบบนับความผิดพลาด ขึ้นอยู่กับจับคู่การ์ดกับทักษะส่วนบุคคล
ในเกมส่วนใหญ่จะเป็นแรงก์มือสมัครเล่นไปจนถึงลูกศิษย์ ส่วนยอดฝีมือระดับไต้ซือ จะค่อนข้างเข้มงวดกับค่า APM ทักษะและการคำนึงถึงภาพรวม
ลู่จ้าวอิ่งอยู่ในแรงก์ปรมาจารย์เก้าดาว หากไม่เทียบกับเกมเมอร์มืออาชีพพวกนั้น ในบรรดานักเล่นทั่วไป ก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือแล้ว
ฉินหร่านส่ายหน้า “ฉันไม่มีไอดีแรงก์ปรมาจารย์”
ในเกมต้องเป็นคนแรงก์เดียวกันถึงจะจับคู่กันได้
ลู่จ้าวอิ่งเผลอคิดไปว่าฉินหร่านคงยังไม่ถึงแรงก์ปรมาจารย์ จึงพยักหน้า “ฉันเคยเห็นค่า APM ของเธอ อยู่ที่ประมาณ 200 สูงกว่าคนทั่วไป คงจะอยู่แรงไต้ซือสินะ เก่งมากเหมือนกัน” ครั้งก่อนที่สำนักงานของผู้บัญชาการห่าว ลู่จ้าวอิ่งโชคดีได้เห็นขั้นตอนการค้นหาพิกัดของฉินหร่าน พอจะคาดเดาค่า APM ของเธอได้
แน่นอนว่า ลู่จ้าวอิ่งลืมไปอย่างหนึ่ง ครั้งนั้นเพราะมือขวาของฉินหร่านบาดเจ็บ ยังไม่หายดี ออกแรงไม่ได้
…
วันเสาร์ 11 โมงเกือบจะเที่ยงแล้ว
อากาศเย็นมากขึ้น
ฉินหร่านเจียดเวลาตอนพักเที่ยงไปธนาคาร วันนี้คนเยอะมากเป็นพิเศษ
เธอมองผู้คนที่เข้าแถวแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันหน้าไปโอนเงินก้อนหนึ่งในห้องวีไอพี
ตอนที่ออกมา ผู้จัดการยังคงออกมาส่งเธอด้วยตัวเอง
หลังโอนเงินเสร็จแล้ว ฉินหร่านก็นั่งรถโดยสารประจำทางไปเยี่ยมเฉินซูหลานที่โรงพยาบาล
ตอนที่เธอไปถึง หนิงเวยกับหนิงฉิงอยู่กับครบ
หนิงเวยกำลังเก็บของให้เฉินซูหลาน
“แม่ ของเก่าขนาดนี้แล้วจะเก็บไว้ทำไม” หนิงฉิงยืนอยู่อีกมุมหนึ่ง มองหนิงเวยจัดของในกระเป๋าทีละอย่าง พูดขึ้นอย่างอดไม่ได้
ตอนที่พาเฉินซูหลานมาก่อนหน้าที่ หนิงฉิงก็เคยบอกแล้วว่าไม่ต้องพกอะไรมา เธอจะจัดการเอง
แต่เฉินซูหลานก็ยังหอบของเก่ากองหนึ่งมาอยู่ดี
เก่าโทรมจนหนิงฉิงไม่มีหน้าจะเอาออกมาต่อหน้าพยาบาล
แต่หนิงเวยกลับยิ้ม “แม่แค่คิดถึงความหลังหน่า”
“มีหลายอย่างที่ฉันจะเก็บไว้ให้หรานหร่าน” เฉินซูหลานกระแอมไอ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง “มีอีกไม่กี่อย่างจะแบ่งให้อวี่เอ่อร์กับพวกเสี่ยวหนาน”
“คุณยาย ไม่ต้องหรอกค่ะ เก็บไว้ใช้เองเถอะ” พอมู่หยิงถูกเฉินซูหลานเอ่ยถึง ก็รีบลุกขึ้นมาพลางเอ่ยปาก
มู่หนานนั่งอยู่อีกฝั่ง สีหน้าเยือกเย็น แต่น้ำเสียงกลับอ่อนโยน เขาพยักหน้าอย่างดูดี “ขอบคุณคุณยาย”
เฉินซูหลานพยักหน้า ไม่พูดอะไร “ถ้าแกไม่เอาก็ให้พี่ชายแกแล้วกัน”
มู่หยิงตอบอย่างไม่แยแส
ขณะนั้นมือถือของหนิงฉิงก็ดังขึ้นพอดี ฉินอวี่โทรวิดีโอคอลมา
ใบหน้าสะสวยของฉินอวี่ถูกหนิงฉิงขยายใหญ่ขึ้น
“แม่ เห็นหรือเปล่า ที่นี่เป็นเวทีที่หนูจะขึ้นแสดง” ขณะที่พูด ฉินอวี่ก็เอี้ยวตัวเล็กน้อย โชว์โรงละครที่โอ่อ่าสวยงามข้างหลังเธอ “ดาราตั้งหลายคนเคยใช้ที่นี่จัดงานแฟนมีตติง”
หนิงฉิงพยักหน้า พูดขึ้นด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “โรงละครของจิงเฉิงดูแตกต่างจริงๆ ดูหรูกว่าของเมืองอวิ๋นเฉิงเยอะเลย”
ฉินอวี่พยายามยื่นมือถือออกไปให้ไกลที่สุด ให้หนิงฉิงกับคนอื่นเห็นวิวข้างหลัง
ไม่นานก็มีคนสกุลเสิ่นที่อยู่ข้างฉินอวี่ถามเรื่องเกี่ยวกับการแสดง ฉินอวี่ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
รายละเอียดที่พูดทั้งเป็นทางการและสูงส่ง
มู่หยิงเขยิบเข้าไปมองหน้าจอมือถือย่างระมัดระวัง
หนิงฉิงเอียงมือถือเล็กน้อย อยากให้ฉินหร่านมองให้เยอะๆ ฉินหร่านไม่เข้าใจว่าตึกรามบ้านช่องกับถนนหนทางของจิงเฉิงมีอะไรน่ามอง
เธอไม่เงยหน้า แค่ก้มหน้าก้มตาปอกแอปเปิลช้าๆ เท่านั้น
“ยายแกเก็บของไว้ให้แกด้วย” หนิงฉิงเหลือบมองฉินหร่านแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไร หันกล้องไปอีกทาง ให้ฉินอวี่ดูของที่หนิงเวยวางอยู่ข้างนอก
ฉินอวี่ที่อยู่ในจิงเฉิง มองผ่านหน้าจอแวบหนึ่ง
บนพื้นมีของวางระเกะระกะ ไม่เยอะ แต่ดูพอจะมีอายุบ้างแล้ว ต่างก็เก่าอย่างเห็นได้ชัด
เห็นชัดว่าฉินอวี่ไม่สนใจ เพียงแค่ยิ้มบางๆ “แม่ ไม่ต้องหรอก เก็บไว้ให้น้องๆ เถอะ”
หลังวางสาย หนิงฉิงอารมณ์ดีขึ้นเยอะมาก
เธอหันหน้ามองมู่หนานอย่างยิ้มแย้ม “ต่อไปอยากไปอยู่จิงเฉิงเหมือนพี่รองของแกไหม”
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ถ้าสอบติดที่ไหนก็ไปที่นั่น” มู่หนานหยิบมีดอีกเล่มหนึ่งขึ้น หั่นแอปเปิลที่ฉินหร่านปอกเป็นชิ้นๆ แล้ววางใส่จาน
แต่มู่หยิงกลับคาดหวัง “คุณป้า พี่รองจะแสดงในโรงละครนั่นเหรอคะ”
ในห้องผู้ป่วยมีแค่มู่หยิงที่คุยเรื่องพวกนี้กับตัวเอง หนิงฉิงจึงพยักหน้า “ใช่แล้ว เธอจะฝากตัวเป็นศิษย์ ท่านเสิ่นขอเวลาในการแสดงของว่าที่อาจารย์ของเธอให้เธอได้ไม่กี่นาที ต่อไปถ้ามีเวลา ป้าจะซื้อบัตรให้”
ผ่านไปไม่นาน ข้างนอกก็มืดครึ้ม ฝนตกอีกแล้ว
ฝนตกหนักมาก ครอบครัวหนิงเวยกับหนิงฉิงทยอยกลับบ้านแล้ว
ฉินหร่านไม่ได้พกร่มมา ตอนแรกเธอว่าจะลองเดินฝ่าสายฝน แต่ฝนตกหนักเกินไป กระแทกลงตัวแล้วหนาวมากทีเดียว บนพื้นมีไอลอยขึ้นมาชั้นหนึ่ง
เสื้อกันหนาวของเธอเปียกชุ่ม
มือถือในกระเป๋าดังขึ้น
ฉินหร่านมองดูสายฝน ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ไม่ได้เดินต่อ มาหยุดอยู่ข้างประตูใหญ่แล้วกดรับสาย
…
คดีเข้าสู่โค้งสุดท้ายแล้ว วันนี้เฉิงมู่กับผู้บัญชาการห่าวออกไปแล้วโดยที่ขับรถของเฉิงมู่ออกไป ลู่จ้าวอิ่งเลยถือโอกาสขับรถของตัวเองไปให้เฉิงเจวี้ยนที่โรงพยาบาล
“ท่านเจวี้ยน ฉันคุยกับท่านผู้บัญชาการเฉียนแล้ว ฉินเสี่ยวหร่านต้องเกี่ยวข้องกับเขาแน่นอน” ลู่จ้าวอิ่งมองเฉิงเจวี้ยนผ่านกระจกมองหลัง
อีกฝ่ายเอนตัวพิงประตูรถ นัยน์ตาดำสนิท ราวกับกำลังมองอะไรบางอย่างผ่านกระจกรถ
ลู่จ้าวอิ่งแปลกใจไม่เบา มองตามสายตาของเขา แค่แวบเดียวก็เห็นฉินหร่านยืนอยู่ข้างประตูใหญ่ทันที
เหมือนอีกฝ่ายกำลังคุยกับใครสักคนอยู่
มองข้างหลัง เป็นผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งสวมหมวกเบสบอล
มองจากมุมนี้ไม่เห็นใบหน้าตรงของผู้ชาย แต่เห็นใบหน้าด้านข้างภายใต้หมวกเบสบอล
ลู่จ้าวอิ่งรู้สึกถึงความคุ้นเคย เขาสะดุ้งโหยง ลุกนั่งตัวตรงบนที่นั่งคนขับแทบจะคลุ้มคลั่งแล้ว “นั่น…นั่นมัน…”