นานกว่าตัวแทนติวจะได้สติกลับมาว่าเขายังไม่ได้ยื่นข้อสอบให้สวีเหยากวง
เขาคลายมือออก
สวีเหยากวงรับข้อสอบของตัวเองแล้วเดินกลับไปทางที่นั่ง
ตัวแทนติวเพิ่งจะเงยหน้าขึ้นด้วยความงุนงง เหมือนจะได้ยินเสียงทื่อๆ และแปลกพิลึกของตัวเอง “ฉินหร่าน 150 คะแนน”
ตอนแรกคนในห้องยังพูดคุยกันเซ็งแซ่ ครั้งนี้ข้อสอบวิชาคณิตศาสตร์ยากเกินไป โฮ่วเต๋อหลงไม่เคยอยากให้นักเรียนธรรมดาสอบผ่าน
ทั้งห้องมีห้าสิบกว่าคน
เกือบจะสามสิบคนวนเวียนอยู่ที่เจ็ดสิบแปดสิบคะแนน
มีอีกสิบกว่าคนที่ได้ราวๆ เก้าสิบกว่าคะแนน
เหลืออีกไม่กี่คนได้หนึ่งร้อยคะแนนต้นๆ มีแค่หลินซือหรานคนเดียวที่เหนือกว่าคนอื่นเป็น 119 คะแนน
ส่วน 141 คะแนนของสวีเหยากวง แม้คนอื่นจะอุทานอย่างตกใจ แต่พวกเขาอยู่ร่วมห้องมาสามปีแล้ว รู้ความผิดมนุษย์มนาของสวีเหยากวงมานานแล้ว
คนเขาเคยเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิก จะเทียบกันได้อย่างไร
จนกระทั่งประโยคสุดท้ายของตัวแทนติววิชาคณิตศาสตร์ ทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในภวังค์ความเงียบ
เฉียวเซิงยกมือ เขาคิดว่าตัวเองหูฝาดไป ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “เธออ่าน 0 เกินไปตัวหนึ่งหรือเปล่า”
ฉินหร่านลุกขึ้นดันเก้าอี้ออก ก้มหน้าก้มตาเดินออกไปรับข้อสอบ
ตัวแทนติวยื่นข้อสอบให้เธอ มองเธอหลายครั้งราวกับจำไม่ได้
สีหน้าของเธอเรียบเฉย ไม่ได้มีความตกใจมากมายนัก ใบหน้ายังคงฉายความไม่ยี่หระเหมือนที่ผ่านมา
อากัปกิริยาของเธอเป็นแบบนี้มาตลอด ราวกับมีความเย่อหยิ่งและอวดดีของวัยรุ่น ที่ผ่านมาคนอื่นไม่กล้าหาเรื่องเธอ แต่วันนี้ในสายตาของตัวแทนติววิชาคณิตศาสตร์กลับดูมีความลึกลับที่ไม่อาจอธิบายได้อยู่
ทั้งห้องยังคงเงียบงัน
แจกข้อสอบเสร็จแล้ว เกาหยางเลยหยิบข้อสอบใหม่ยืนอยู่ตรงแท่นหน้าห้อง
ในมือถือชอล์กไว้หลายแท่ง น้ำเสียงยังคงอ่อนโยนเหมือนที่เคย “ครั้งนี้ทุกคนทำคะแนนวิชาคณิตได้ดีมาก ค่าเฉลี่ยสูงกว่าครั้งก่อนไม่น้อย โดยเฉพาะหลินซือหราน ก้าวหน้าเร็วมาก ครั้งนี้โจทย์ค่อนข้างยาก ทุกคนอย่าท้อ สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ยากขนาดนี้หรอก ทั้งเมืองมีแค่ฉินหร่านของห้องเราที่ได้คะแนนเต็ม”
ห้องยังคงเงียบสงัดไร้เสียง
พวกเซี่ยเฟยมองอาจารย์อย่างเหลือเชื่อ ‘อาจารย์พูดเรื่องที่มีแค่ฉินหร่านสอบได้คะแนนเต็มออกมาหน้าตาเฉยแบบนี้ได้อย่างไร’
“อันดับของห้อง ของชั้นปีและของเมือง กับคะแนนแต่ละวิชาออกหมดแล้ว หมดคาบแล้วทุกคนไปดูกันเอาเอง” เกาหยางพูดจบ ก็ก้มหน้าอธิบายโจทย์ต่อ
โจทย์ยาก ต่อให้เป็นข้อสอบปรนัย ก็ต้องคำนวณมากเหมือนกัน
เกาหยางใช้เวลาทั้งคาบ อธิบายไปได้แค่สี่ข้อ
เสียงกริ่งเลิกเรียนดังขึ้น เกาหยางยังไม่เดินออกจากห้อง นักเรียนในห้องก็พากันไปดูคะแนนอย่างอดรนทนไม่ไหวแล้ว
เมื่อก่อนพวกเขาจะพุ่งเป้าไปที่คะแนนของตัวเอง แต่ครั้งนี้ พวกเขาพุ่งเป้าไปที่คะแนนของฉินหร่าน
ไม่นาน พวกเขาก็เจอชื่อของฉินหร่านในแถวที่สาม
ฉินหร่าน คะแนนรวม 646 คะแนน อันดับห้อง 2 อันดับชั้นปี 9 อันดับเมือง 20
พวกนี้ยังไม่เท่าไหร่
สิ่งที่สะดุดตาที่สุดเป็นคะแนนเฉพาะวิชาที่อยู่ข้างหลังพวกนั้น
วิชาวรรณกรรม 146 คะแนน อันดับห้อง 1 อันดับชั้นปี 1 อันดับเมือง 1
วิชาคณิตศาสตร์ 150 คะแนน อันดับห้อง 1 อันดับชั้นปี 1 อันดับเมือง 1วิชาภาษาอังกฤษ 150 คะแนน อันดับห้อง 1 อันดับชั้นปี 1 อันดับเมือง 1
วิชาเคมี 100 คะแนน อันดับห้อง 1 อันดับชั้นปี 1 อันดับเมือง 1
วิชาชีววิทยา 100 คะแนน อันดับห้อง 1 อันดับชั้นปี 1 อันดับเมือง 1
ในบรรดาหกวิชา มีวิชาฟิสิกส์นี่แหละที่โดดเด่นอย่างยิ่ง
วิชาฟิสิกส์ 0
คะแนนนี้ เมื่อเทียบกับคะแนนที่อยู่ในอันดับสองของสวีเหยากวงแล้ว มันสะดุดตายิ่งกว่า
เว้นก็แต่การกระทำสุดเท่อย่างฟิสิกส์ศูนย์คะแนนนั่น
ตอนนี้นักเรียนห้องเก้าต่างก็ตกอยู่ในภวังค์ พากันมองฉินหร่านที่ถือมือถือ เหมือนกำลังส่งข้อความให้ใครบางคนอยู่
ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย
หลินซือหรานเรียกเสียงตัวเองกลับมาได้ก่อน แต่ยังคงแผ่วเบาอยู่บ้าง “หรานหร่าน ฉันไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม…”
มือที่กำลังพิมพ์ข้อความของฉินหร่านไม่หยุด “เหมือนฉันจะยังไม่ได้บอกนะว่า ฉันทำข้อสอบเองทั้งหมด ไม่ได้ลอกคำตอบ”
ฉินหร่านทำหลินซือหรานพูดไม่ออก
เหมือน…จะ…ไม่เคยบอกจริงด้วย…
ตลอดทั้งบ่ายนักเรียนห้องเก้าเงียบผิดปกติ สามคาบถัดมา อาจารย์แต่ละวิชาเข้ามา ก็มีแค่สามขั้นตอน
หนึ่ง ชมฉินหร่าน
สอง ชมสวีเหยากวง
สาม ชมหลินซือหราน
จู่ๆ ก็มีม้ามืดที่คว้าอันดับหนึ่งของเมืองโผล่มา อาจารย์แต่ละคนต่างก็ปลื้มใจแทบไม่ไหว เดินเท้าไม่ติดพื้นแล้ว
…
ขณะเดียวกัน
ห้องพักครูใต้ตึกมัธยมปลายปีสาม
อาจารย์เฉินถือแผนการสอนกลับมา อาจารย์คนอื่นต่างพากันแสดงความยินดี “อาจารย์เฉิน ยินดีด้วยนะ ห้องของคุณมีนักเรียนที่ได้คะแนนเต็มวิชาภาษาอังกฤษ ทั้งเมืองมีแค่คนเดียว ครั้งนี้ภาษาอังกฤษของห้องคุณก้าวหน้าขึ้นมาก หลินซือหรานคนนั้นก็ได้ตั้ง 130 คะแนน ไม่ด้อยกว่าห้องหนึ่งเลย”
อาจารย์เฉินยิ้มมาทั้งบ่ายแล้ว แต่ก็ยังหยุดยิ้มได้เลย “นักเรียนพยายามกันเองทั้งนั้น ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย”
โชคดี ต้องเป็นเพราะโชคดีแน่นอน อาจารย์คนอื่นย่อมรู้ดีแก่ใจ
อาจารย์เฉินเพิ่งสอนห้องเก้าได้สามวัน จะสอนอะไรได้
แต่เพราะแบบนี้ พวกเขาถึงยิ่งตาร้อน นี่มันได้ผลประโยชน์มาฟรีๆ ชัดๆ!
อาจารย์หลี่ที่ปฏิเสธเกาหยางไปก่อนหน้านี้ในใจก็เสียดายเหลือเกิน
แม้ใบหน้าเขาจะยิ้มแย้ม แต่ในใจกลับขมขื่น
แม้ฉินหร่านจะมีแค่วิชาฟิสิกส์ที่ได้ศูนย์คะแนน
แต่คนในห้องพักครู่ต่างก็คาดเดา คิดว่าฟิสิกส์ของเธอต้องไม่แย่แน่นอน
แต่ทำไมถึงไม่ทำข้อสอบฟิสิกส์เลยสักข้อ ไม่รู้เหมือนกัน
“อาจารย์เกา คุณต่างหากที่เป็นผู้ประสบความสำเร็จ!” อาจารย์หันไปแสดงความยินดีกับเกาหยาง
ในขณะที่แสดงความยินดี ก็มีคนเผลอมองไปทางหลี่อ้ายหรง
ตอนที่ฉินหร่านเพิ่งเข้ามาเรียนที่เหิงชวน โรงเรียนตั้งใจจะฝากฉินหร่านไว้กับหลี่อ้ายหรง แต่หลี่อ้ายหรงดึงดันไม่รับ ถึงได้ให้เกาหยางแทน
เรื่องนี้หลี่อ้ายหรงไม่เคยพูดต่อหน้าคนอื่น แอบเหน็บแนมว่าเกาหยางเป็นคนเก็บขยะ
ตอนนั้นที่ไม่รับฉินหร่าน ก็เพราะหวังประสบความสำเร็จไม่ใช่หรือ
แต่ทว่าพอมาคำนวณตอนนี้ เธอกลับยกต้นกล้าชั้นดีเยี่ยมคนหนึ่ง ที่อาจจะคนที่โดดเด่นที่สุดของรุ่นต่อไปให้เกาหยางเองกับมือ
ตอนนั้นเรื่องของสวีเหยากวงเป็นเรื่องไม่คาดฝัน สวีเหยากวงคนนั้นจะย้ายห้องเอง หลี่อ้ายหรงคับอกคับใจกับเรื่องนี้อยู่นานมาก
เธอจึงถือโทษโกรธเกลียดห้องเก้ามาเนิ่นนานแล้ว
แต่ตอนนี้ไม่มีใครบังคับเธอ โรงเรียนเคยจัดให้ฉินหร่านมาอยู่ห้องเธอด้วยซ้ำ แต่กลับถูกเธอผลักไสออกไปด้วยตัวเอง
พวกอาจารย์ย่อมรู้ความคิดของอาจารย์ด้วยกันเอง โดยเฉพาะอาจารย์ที่มีความทะเยอทะยานสูงอย่างหลี่อ้ายหรง เธอพุ่งเป้าไปที่อาจารย์ดีเด่นคนถัดไป ตอนแรกตำแหน่งนี้ชี้ชัดแล้ว แต่ตอนนี้เกิดเรื่องนี้ขึ้น อาจารย์ดีเด่นจะยังเป็นของเธอหรือไม่ก็ไม่อาจทราบได้
เนื่องจากคะแนนของฉินหร่านตอนนี้… วิชาฟิสิกส์เธอยังเดาไม่ออก
แต่ถ้าเดาไม่ผิดน่าจะใกล้เคียงกับวิชาอื่น
อันดับหนึ่งของเมืองเป็นแค่การคาดเดา ดีไม่ดี ถึงตอนนั้นฉินหร่านอาจจะคว้าอันดับหนึ่งของระดับมณฑลหรือระดับประเทศก็ได้
หากเป็นแบบนี้จริง ทุกคนต่างก็มองหลี่อ้ายหรงแวบหนึ่งโดยไม่รู้ตัว อาจารย์ดีเด่นของหลี่อ้ายหรงคงจะคว้าน้ำเหลวเสียแล้ว
อาจารย์พวกนี้จับจ้องทั้งโจ่งแจ้งและลับหลัง หลี่อ้ายหรงจะไม่รู้ได้อย่างไร
เธอถูกคนพวกนี้จ้องจนเริ่มหงุดหงิดแล้ว อีกอย่างเป็นเพราะการกระทำสุดเท่ของฉินหร่าน เธอไม่สามารถเย็นลงได้ในอึดใจเดียว
หากฉินหร่านเป็นเหมือนสวีเหยากวง ไม่ยอมมาอยู่ห้องหนึ่งด้วยตัวเองก็แล้วไป
แต่นี่มันไม่ใช่
หลี่อ้ายหรงรู้ดีแก่ใจว่า เธอเป็นคนผลักไสฉินหร่านไปให้เกาหยางเอง จะมีอะไรน่าเศร้าใจยิ่งกว่าของที่อยู่กำมือของตัวเอง กลับถูกตัวเองผลักไสไล่ส่งกับมืออีกละ
…
หลี่อ้ายหรงถือกระเป๋าของตัวเองด้วยความหงุดหงิด เตรียมจะกลับบ้านไปกินข้าว
เดินไม่ถึงสองก้าว ก็ถูกนักเรียนคนหนึ่งขวางไว้ “อาจารย์หลี่ อาจารย์ใหญ่สวีเรียกหาค่ะ”
อาจารย์ใหญ่สวียากแท้หยั่งถึงของโรงเรียนคนนั้นน่ะเหรอ
หลี่อ้ายหรงสงสัยยิ่งนัก เปิดเทอมได้สองเดือนกว่าแล้ว เธอเคยเห็นอาจารย์ใหญ่สวีแค่สองครั้ง แถมยังเป็นเพราะฉินหร่านทุกครั้ง ไม่รู้ว่าเขามีธุระอะไรกับตัวเอง
หลี่อ้ายหรงถือกระเป๋า หันหน้าเดินไปทางห้องทำงาน
ในห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่ ผู้อำนวยการติงก็อยู่เช่นกัน เขากำลังบอกเล่าเรื่องราวให้กับสองคนในห้องทำงาน
ตอนที่หลี่อ้ายหรงผลักประตูเข้ามา ก็แปลกใจมาก คนที่เห็นแวบแรกไม่ใช่อาจารย์ใหญ่สวี แต่เป็นชายหนุ่มนั่งข้างอาจารย์ใหญ่สวี
เขานั่งอยู่เก้าอี้ ลักษณะท่าทางดูเกียจคร้าน มือข้างหนึ่งวางบนโต๊ะ อีกข้างถือถ้วยชา นิ้วมือเคาะแก้วอย่างผ่อนคลาย ดูดีมีเอกลักษณ์ มีแค่ดวงตาที่หลุบต่ำคู่นั้นแลดูเอื่อยเฉื่อยมากทีเดียว
“ได้ยินว่าคุณไม่สอนห้องเก้าแล้วเหรอ” อาจารย์ใหญ่สวีที่กำลังยุ่ง เงยหน้ามองหลี่อ้ายหรงแวบหนึ่ง “เพราะฉินหร่านเหรอ”
หลี่อ้ายหรงตกใจ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
เธอไม่กล้าตอบทันที เพียงแค่พูดอ้อมๆ ว่า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอ…”
แต่ในใจกลับสะดุ้ง
ตอนนั้นตอนที่ดูแฟ้มประวัติของฉินหร่าน หลี่อ้ายหรงให้ความสำคัญอยู่สองจุด หนึ่งคือการเรียนย่ำแย่ไม่เอาไหน
อีกหนึ่งคือภูมิหลังครอบครัว
หลี่อ้ายหรงรู้แค่ว่าเธอมีคุณยายที่ป่วยออดๆ แอดๆ คนหนึ่ง พ่อทำงานในหมู่บ้านหนิงไห่ อย่างอื่นเลือนรางมาก
เธอจึงยืนกรานปฏิเสธนักเรียนแบบนี้ไป
เมื่อก่อนตอนที่ยังไม่สอนฉินหร่าน ก็เคยใคร่ครวญเหมือนกัน สกุลเฉียวหลี่อ้ายหรงมีปัญญารับมือ
เป้าหมายแต่ละจุดของเธอก็พุ่งเป้าไปที่ฉินหร่านเท่านั้น อย่างไรเสียในสายตาของเธอ ฉินหร่านก็ทำอะไรมากไม่ได้
ขณะที่หลี่อ้ายหรงกำลังคิด
“ไม่ว่าคุณจะรู้หรือไม่ จุดประสงค์ของโรงเรียนเราคือยึดประสิทธิภาพในการสอนเป็นมาตรฐาน ยึดการเรียนรู้ทางอารมณ์เป็นสำคัญ คุณรู้ไหมว่าตัวเองทำอะไรผิด” อาจารย์ใหญ่สวีโยนปากกาลงบนโต๊ะ เอ่ยปากแล้ว
เธอแข็งทื่อไปทั้งตัว เธอรู้ว่าตัวเองทำผิด แต่ตอนแรกเธอคิดว่าโรงเรียนคงจะไม่ถือโทษตัวเองเพราะฉินหร่านคนเดียวหรอก
เพราะผลการเรียนของฉินหร่านแย่เกินไป และเธอก็รับผิดชอบห้องหนึ่ง แต่ตอนนี้เธอคิดไม่ถึงเลยว่าอาจารย์ใหญ่ที่ไม่ค่อยอยู่โรงเรียนจะสนใจเรื่องเล็กน้อยแบบนี้
“เรื่องนี้ฉินหร่านพูดเอง ฉันไม่ได้พูดว่าจะไม่สอนพวกเธอ” ตอนนี้หลี่อ้ายหรงลืมเรื่องผลการเรียนของฉินหร่านไปแล้วอย่างสิ้นเชิง
เหงื่อผุดเต็มหลังเธอ
“เธอไปดูสิว่าในเว็บเพจโรงเรียนพูดว่ายังไง” อาจารย์ใหญ่สวีบุ้ยใบ้ให้ผู้อำนวยการติงยื่นมือถือให้หลี่อ้ายหรงดู
มือที่กำมือถือของหลี่อ้ายหรงสั่นนิดหน่อย เธอบังคับตัวเองให้อ่านเนื้อหาในเว็บเพจจนจบ ใบหน้าแทบจะไม่มีสีเลือดแล้ว
เฉิงเจวี้ยงวางถ้วยชาลง เขาดูเวลาบนนาฬิกาข้อมือ ลุกขึ้นแล้วพูดอย่างสุภาพว่า “ท่านสวี เรื่องนี้คุณน่าจะเข้าใจแล้ว รบกวนคุณช่วยจัดการหน่อย ผมต้องกลับห้องพยาบาลแล้ว”
สีหน้าของเขาเรียบเฉย แต่ทรงพลังยิ่งนัก
แม้ว่าจะพูดแค่ประโยคเดียว แต่ไม่อาจละสายตาได้…
อาจารย์ใหญ่สวีลุกขึ้น พยักหน้า ส่งเฉิงเจวี้ยนออกไป “คุณชายเฉิง กลับดีๆ ละ”
พอเฉิงเจวี้ยนไปแล้ว อาจารย์ใหญ่สวีถึงได้มองหลี่อ้ายหรง “อาจารย์หลี่ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน กดเด็กคนหนึ่งไม่ว่าจะด้านร่างกายและจิตใจนั้นไม่ดี เพราะคุณเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของห้องหนึ่ง ลงโทษคุณตอนนี้ไม่เป็นผลดีต่อนักเรียนห้องหนึ่งมากนัก ฉะนั้นพักเรื่องนี้ไว้ก่อน”
อาจารย์ใหญ่สวีพูดจบก็โบกมือ ให้หลี่อ้ายหรงกับผู้อำนวยการติงออกไป
หลี่อ้ายหรงกลับรู้สึกว่าเลือดทั้งร่างกำลังไหลย้อน เย็นวาบไปหมด
เธอไม่รู้ว่าตัวเองเดินออกมาอย่างไร
สองสามวันนี้ข้างนอกลมแรง พอโชยมา เธอก็หนาวเหน็บจนสั่นระริกเล็กน้อย
เธอรู้สึกว่าอนาคตที่กำลังไต่ขึ้นของอาจารย์อย่างเธอหยุดเพียงแค่นี้แล้ว
เครื่องสำอางงดงามก็ไม่สามารถปกปิดความซีดเผือดของใบหน้าเธอแล้ว “ผู้อำนวยการติง ทำไมจู่ๆ อาจารย์ใหญ่ถึงได้สนใจเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ”
ผู้อำนวยการติงมองเธอแล้วส่ายหน้า อดปริปากไม่ได้จริงๆ “คุณน่าจะจำได้ ตอนเปิดเทอม ผมบอกให้คุณอย่าไปห้องพยาบาลบ่อย คุณชายเฉิงคนเมื่อกี้ ก็คือคนที่อยู่ในห้องพยาบาลนั่นแหละ เขาเป็นผู้ปกครองของฉินหร่าน”
หลี่อ้ายหรงที่รู้สึกกระวนกระวายอยู่ตลอดหน้ามืด นึกขึ้นได้ทันใดว่า ตอนที่อยู่ในห้องทำงานของผู้อำนวยการเมื่อเที่ยง ผู้อำนวยการพยายามปกป้องฉินหร่านสุดความสามารถ
ตอนนั้นเธอยังแปลกใจอยู่ ตอนนี้หลี่อ้ายหรงรู้สึกตัวอย่างสิ้นเชิงแล้ว
“แต่ฉันจำได้ว่า ในข้อมูลครอบครัวของฉินหร่าน พ่อของเธอเป็นแค่กรรมกรธรรมดาคนหนึ่ง!” เหงื่อผุดเต็มหน้าผากหลี่อ้ายหรง
ผู้อำนวยการติงเหลือบมองหลี่อ้ายหรง เหลียวหลังมา น้ำเสียงราบเรียบ “ตอนนั้นอาจารย์ใหญ่สวีเป็นคนรับฉินหร่านเข้ามา คุณลองคิดดูสิว่า อาจารย์ใหญ่เคยรับนักเรียนเองที่ไหน”
หลี่อ้ายหรงยืนนิ่งอยู่กับที่
ตอนนั้นที่ไม่รับฉินหร่าน หนึ่งเพราะผลการเรียนของเธอ สองเพราะเธอไม่มีภูมิหลังอะไร
แต่ตอนนี้…
หลี่อ้ายหรงสูดลมหายใจเข้าลึก เธอในตอนนี้ ทำได้แค่ขอร้องว่าคะแนนวิชาฟิสิกส์ของฉินหร่านไม่ดี อันดับหนึ่งของการสอบเข้ามหาวิทยาลัยอะไรนั่น… อย่าได้เป็นฉินหร่านเลย หลี่อ้ายหรงถึงจะสงบลงได้
ต้องไม่ใช่เธอ ไม่มีทางเป็นเธอแน่ หลี่อ้ายหรงกุมหน้าอกของตัวเอง
เม้มปากเล็กน้อย
…
ฉินหร่านมาเรียนได้สองเดือนแล้ว ตอนแรกเป็นที่รู้จักไปทั่วโรงเรียนในนามของดาวโรงเรียนคนใหม่
ทุกคาบหลังเลิกเรียนจะมีคนไม่น้อยมาชื่นชมหน้าของดาวโรงเรียนคนใหม่ แต่ปกติแล้วฉินหร่านไม่ฟุบนอนบนโต๊ะก็จะใช้กองหนังสือบังตัวเอง น้อยนักที่จะเห็นหน้าเธอ
ตอนหลังแม้จะมีคนมาทุกวัน แต่จำนวนน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
บ่ายวันนี้ มัธยมปลายปีสามต่างก็รู้เรื่องคะแนนสุดวิเศษของฉินหร่านแล้วจึงพากันมาชื่นชม
แน่นอนว่า พวกเขาไม่เห็นหน้าฉินหร่าน เลยตรงเข้าไปดูตารางอันดับของห้องเก้าถึงห้อง ด้วยเหตุนี้ห้องเก้าจึงต้องต้อนรับคนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า
คนทั้งเยอะทั้งหลากหลาย
ฉินหร่านอดทนจนเลิกเรียน หยิบหมวกเบสบอลขึ้นสวม ดันปีกลง เห็นแค่คางสวยเท่านั้น
เดินออกจากประตูหลังไปทันที
คนที่ชื่นชมเธอถึงขั้นว่าหลีกทางให้เธอ
ฉินหร่านตรงดิ่งไปที่ห้องพยาบาล
ในห้องพยาบาล มีแค่ลู่จ้าวอิ่งคนเดียว ตอนนี้เขาไม่ติดคนไข้ ใส่เสื้อกาวน์นั่งพิงเก้าอี้อยู่
พอเห็นฉินหร่านมา เขาก็รีบนั่งตัวตรงทันที “ฉินเสี่ยวหร่าน เลิกเรียนแล้วเหรอ”
ฉินหร่านถูกรบกวนจนปวดหัวมาตลอดทั้งบ่าย เธอนั่งบนเก้าอี้ ก้มหน้าก้มตาตอบแค่อืม เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ไม่ค่อยดี
ลู่จ้าวอิ่งนิ่งไปครู่หนึ่ง
เขาเองก็เพิ่งรู้จากการเข้าเว็บเพจว่าที่ฉินหร่านตั้งใจเรียนเมื่อหลายวันก่อน เป็นเพราะอาจารย์ภาษาอังกฤษคนนั้น
ประเด็นคือลู่จ้าวอิ่งไม่เคยเจอครูแบบนี้
ในเว็บเพจเขียนเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างหลี่อ้ายหรงกับห้องเก้าตามเหตุการณ์จริง ข้างในยังมีหลายคนบอกว่าหลี่อ้ายหรงลำเอียงมากแค่ไหน
ทั้งที่ฉินอวี่สูงกว่าพานหมิงเยว่ กลับให้ฉินอวี่นั่งหน้าพานหมิงเยว่ ทั้งยังให้พานหมิงเยว่คอยช่วยติวให้ฉินอวี่ เพียงเพราะสกุลหลินเท่านั้น
และยังเล่าเหตุการณ์ที่หลี่อ้ายหรงออกจากห้องเก้าเป็นเรื่องเป็นราวอีกด้วย
ลู่จ้าวอิ่งแค่อ่านก็โมโห นี่ยังแค่มัธยมปลาย อาจารย์ก็คิดกันถึงขนาดนี้แล้วเหรอ
คิดๆ ดูแล้วคนที่ไม่รักเรียนอย่างฉินเสี่ยวหร่าน อดหลับอดนอนจนตาแดงเพราะอาจารย์คนนี้ ลู่จ้าวอิ่งจึงบอกเรื่องนี้ให้เฉิงเจวี้ยนพร้อมกับใส่สีตีไข่
ตอนนี้เองฉินหร่านก้มหน้าก้มตา ท่าทางดูเหนื่อยล้ามากทีเดียว
ลู่จ้าวอิ่งนึกออกแล้วว่าวันนี้น่าจะเป็นวันประกาศผลสอบ
ฉินเสี่ยวหร่านคงสอบได้ไม่ดีแน่ ลู่จ้าวอิ่งคิด ด่าทอหลี่อ้ายหรงคนนั้นในใจไปหลายต่อหลายรอบ จากนั้นก็พูดปลอบใจเสียงเบาว่า “ฉินเสี่ยวหร่าน ไม่เป็นไร คะแนนไม่ดีก็ไม่เป็นไรซะหน่อย เธอลองคิดดูสิ ทักษะคอมพิวเตอร์เธอดีขนาดนี้ การเรียนไม่ใช่ทางออกเดียวซะหน่อย”
เฉิงมู่กับผู้บัญชาการห่าวเพิ่งก้าวเข้าห้องพยาบาล ก็ได้ยินลู่จ้าวอิ่งปลอบใจฉินหร่าน
สองคนสบตากันแวบหนึ่ง เฉิงมู่คิดในใจไม่แสดงออกทางสีหน้า
เขารู้อยู่แล้วว่า หนังสือทั้งหมดที่เฉิงเจวี้ยนซื้อไม่มีประโยชน์
แต่ผู้บัญชาการห่าวกลับมองฉินหร่านอย่างสับสน เห็นได้ชัดว่า นับจากวันนั้น เขาก็ยิ่งไม่เข้าใจว่า ท่านเจวี้ยนชอบเธอตรงไหน
แต่เพราะมีคำเตือนของชีเฉิงจวิน ผู้บัญชาการห่าวเลยไม่พูดอะไร
ขณะนั้นเอง เด็กผู้หญิงที่ปวดฟันครั้งก่อนมาอีกแล้ว
เธอกุมหน้าข้างหนึ่งไว้ เจ็บจนแทบทนไม่ไหว
ลู่จ้าวอิ่งวางเรื่องปลอบโยนฉินหร่านลงชั่วคราว พูดกับเด็กผู้หญิงที่ปวดฟันคนนั้นอย่างจริงใจว่า ให้เธอรีบไปหาหมอฟัน จะกลัวสว่านแบบนี้ไม่ได้
แต่คราวนี้ตอนที่เด็กผู้หญิงคนนั้นพูด เอาแต่กุมหน้าจ้องฉินหร่านไม่วางตา
ลู่จ้าวอิ่งก็ไม่แปลกใจ ใบหน้าของฉินหร่านโด่งดังเกินไปในอีจง
เขาก็หันหน้ามา ปลอบฉินหร่านต่อว่า “คะแนนไม่ดีครั้งเดียวไม่เป็นไร ยังมีเวลาอีกปีสำหรับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ต่อไปถ้าเธอพยายาม ต้องสอบติดแน่”
ขณะที่เขากำลังพูด เด็กผู้หญิงปวดฟันที่เอาแต่มองฉินหร่านก็รู้แล้วเขากำลังพูดเรื่องอะไร หันมองลู่จ้าวอิ่งด้วยสีหน้าไม่บอกอารมณ์
ลู่จ้าวอิ่งลูบคาง “เธอมองฉันทำไม”