เดิมทีหนิงฉิงคิดว่าเธอพูดชัดเจนขนาดนี้แล้ว ฉินหร่านจะต้องไปอย่างแน่นอน
เธอสงสัยว่าตัวเองจะได้ยินผิด ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองฉินหร่าน “เธอว่าไงนะ”
ฉินหร่านขยับเก้าอี้ไปด้านหลัง ทานแอปเปิลเสร็จก็โยนไม้จิ้มฟันลงถังขยะแล้วพูดซ้ำ “ฉันไม่ไป”
มู่หยิงได้ยินคำตอบของฉินหร่านก็เงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่าจะยังมีคนปฏิเสธเรื่องแบบนี้
เธออดไม่ได้ที่จะมองไปที่ฉินหร่านแล้วพูดขึ้น “พี่คะ คิดดี ๆ นะ”
“พลาดโอกาสนี้ไปก็ไม่มีแล้วนะ ตระกูลเฟิงเป็นของจิงเฉิง ทำไมเธอถึงไม่ไป” หนิงฉิงกังวล อดไม่ได้ที่จะขึ้นเสียง “เธอจะสามารถหาที่ที่ดีกว่าได้อีกไหม”
“แม่ แม่ดุเธอสิ!” หนิงฉิงรู้ว่าฉินหร่านไม่ฟังคำพูดของเธอ จึงหันศีรษะไปหาเฉินซูหลาน
ฉินหร่านไม่ได้สนใจหนิงฉิง เธอตบ ๆ แขนเสื้อแล้วลุกขึ้นยืน มองไปทางเฉินซูหลาน “คุณยาย หนูกลับโรงเรียนก่อนนะคะ”
เฉินซูหลานกำชับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “กลับไปเถอะ กลับดี ๆ ละ”
ฉินหร่านหยิบหมวกแก๊ปตัวเองมาใส่แล้วค่อย ๆ เปิดประตูห้องพักผู้ป่วยเดินออกไป
หนิงฉิงไม่กล้าตามไป
เพียงแค่มองไปที่เฉินซูหลานอย่างเหลือเชื่อ “แม่ ทำไมแม่ไม่ว่าเธอ แล้วยังปล่อยเธอไปแบบนี้อีก?”
ฉินหร่านฟังแค่คำพูดของเฉินซูหลาน ถ้าเฉินซูหลานให้เธอไป เธอก็ไป
“เธอไม่อยากไป” เฉินซูหลานเอ่ยเบา ๆ
“มันไม่ใช่เรื่องที่เธออยากไปหรือไม่อยาก แม่รู้ไหมว่าเธอทิ้งโอกาสแบบไหนไป” หนิงฉิงเม้มปาก “ต่อไปอย่ามาพูดแล้วกันว่าเธอสอบไม่ติดมหาวิทยาลัย ถึงจะสอบติดก็ไปทำงานใหญ่ ๆ แบบนี้ไม่ได้แน่ ๆ”
เธอรู้อยู่แล้วว่าเฉินซูหลานรักฉินหร่านมาก อาจพูดได้ว่าสาเหตุหนึ่งที่ฉินหร่านเป็นแบบนี้เพราะเฉินซูหลานตามใจ
แต่เธอคิดไม่ถึงว่า เฉินซูหลานจะตามใจฉินหร่านถึงเพียงนี้
เฉินซูหลานกระแอมไอเบา ๆ พักนี้เธอไม่ค่อยมีชีวิตชีวา ป่วยออด ๆ แอด ๆ มาตลอด จะพูดก็ไม่มีแรง “ตกอกตกใจอะไร ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อย”
ปีนั้นที่จิงเฉิงครูเทียวไปเทียวมาอยู่สามครั้งก็พูดให้ฉินหร่านไปเรียนไวโอลินที่ปักกิ่งไม่ได้ นับประสาอะไรกับครั้งนี้
น้ำเสียงของเธอแผ่วเบา แต่หนิงฉิงได้ยินชัดเจน
เธอระงับอารมณ์ไว้ “แม่ หมายความว่ายังไงที่ไม่ต้องตกอกตกใจ……”
หนิงเวยเห็นว่าทั้งสองคนจะทะเลาะกันเรื่องของฉินหร่าน จึงรีบดึงหนิงฉิงออกไปทันที “พอแล้วพี่ ไม่ต้องพูดแล้ว”
เธอหยิบกระเป๋าของหนิงฉิงพร้อมกับดันหนิงฉิงให้ออกไปจากห้องพักผู้ป่วย
รอให้หนิงฉิงไป มู่หยิงยืนอยู่ข้าง ๆ หนิงเวยก็พูดขึ้น “แม่ แม่ว่าทำไมพี่เขาถึงไม่ไปเหรอ โอกาสดีขนาดนี้……”
ถ้าเป็นเธอ เธอจะไม่ทิ้งโอกาสนี้อย่างแน่นอน
มู่หนานมองเธอ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ทำไมเธอสนใจขนาดนี้ล่ะ”
พูดจบก็เดินตรงไปที่ลิฟต์โดยไม่รอคำตอบของมู่หยิง
**
ทางด้านนี้ หนิงฉิงกลับถึงบ้าน
เพราะอยากไปหาหลินหว่านที่จิงเฉิง คนในตระกูลหลินต่างรู้ว่าฉินอวี่อยากไหว้คนหลักคนโต มีคนไม่น้อยเลยที่มาดูฉินอวี่วันนี้
รอให้คนเหล่านั้นไปจนหมดก็มืดค่ำแล้ว
“วันนี้คุณไปโรงพยาบาล เจอหรานหร่านบ้างไหม” หลินฉีถามหนิงฉิง
คุณท่านหลินสนใจเรื่องนี้ หลินฉีจึงเอ่ยถาม
หลินจิ่นเซวียนวางตะเกียบลงแล้วมองไปที่หนิงฉิง
ฉินอวี่นั่งอยู่อีกฝั่งได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้น กำตะเกียบไว้แน่นโดยไม่รู้ตัว ระงับความเกลียดในใจเอาไว้
ท่าทีของตระกูลหลินที่มีต่อฉินหร่านพักนี้ทำให้หนิงฉิงรู้สึกถึงวิกฤต
พูดถึงเรื่องนี้ หนิงฉิงก็หงุดหงิดเล็กน้อย เธอส่ายศีรษะพลางพูดด้วยน้ำเสียเหนื่อยหน่าย “ฉันบอกไปแล้วค่ะ หรานหร่านเธอไม่เห็นด้วย”
มือของหลินฉีหยุดชะงัก เขามองไปที่หนิงฉิง “ไม่เห็นด้วย? ทำไมล่ะ ไม่มีตำแหน่งเหลือแล้ว? ”
“ไม่ทราบค่ะ นิสัยของเธอฉันรู้ดี” หนิงฉิงวางตะเกียบลง “เธอบอกว่าไม่ไป ไม่ไปเด็ดขาด แม่ฉันก็ไม่เกลี้ยกล่อมเธอ”
เดิมทีฉินอวี่ว้าวุ่น ได้ยินหนิงฉิงพูดแบบนี้แล้วอยู่ ๆ ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา
เมื่อก้มหน้าทานข้าว รอยยิ้มบนริมฝีปากปรากฏขึ้นอย่างปกปิดไม่มิด
ขอแค่ฉินหร่านไม่ไปตระกูลเฟิงก็พอแล้ว
หลินฉียังต้องรายงานให้คุณท่านหลินทราบ ทานข้าวเสร็จ เขาก็หยิบโทรศัพท์ไปที่ห้องสมุดเพื่อรายงานคุณท่านหลิน
“ยายของเธอน่ะเป็นสาวบ้านนอก” คุณท่านหลินเองก็ตกใจเช่นกัน เขาเงียบไปพักหนึ่ง มีความหมายว่าเฉินซูหรานมองการณ์ไม่ไกล
“คุณสามารถไปเกลี้ยกล่อมเธอได้” เงียบไปสักพัก คุณท่านหลินจึงพูดขึ้นมาอีก “ฉินหร่านนั่นน่ะ ยอมรับอีกครั้งได้”
ได้ยินคุณท่านหลินพูดแบบนี้ หลินฉีไม่ได้พูดออกมาในทันที
ครั้งที่แล้วเป็นเพราะเรื่องของฉินอวี่ เขาเลือกข้างฉินอวี่อย่างชัดเจน เรื่องนี้เขาไม่ได้บอกใคร คุณท่านหลินกับหลินจิ่นเซวียนไม่รู้เรื่องนี้
ตามนิสัยของฉินหร่าน เธอจะไม่มีที่ตระกูลหลิน
หลินฉีถอนหายใจ ยังไม่ได้เล่ารายละเอียดให้คุณท่านหลินทราบ “พ่อ เรื่องนี้ผมรู้อยู่แก่ใจดี”
**
วันจันทร์อีกครั้ง
เข้าสู่สัปดาห์ของการสอบ บรรยากาศภายในโรงเรียนตึงเครียดจริงจังมากขึ้นกว่าเดิม ครูทุกวิชาก็เข้มงวดมาก
หลังเลิกเรียน นักเรียนบางกลุ่มของห้องเก้าเริ่มทบทวนบทเรียนโดยไม่คุยเล่นกัน
วิชาสุดท้ายใกล้จะเลิกแล้ว หลินซือหรานส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้ฉินหร่าน
ฉินหร่านยังคงอ่านกวีเล่มนั้นที่เฉิงมู่เคยบ่น หันมาหยิบกระดาษขึ้นเปิดอ่าน เป็นตัวหนังสือของเฉียวเซิง ‘ตอนบ่ายไปกินข้าวที่โรงอาหารไหม’
เธอครุ่นคิด มือขวาหยิบปากกาขึ้นมา ตอนที่ก้มศีรษะเขียนก็พบว่ามันไม่ถูก จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นมือซ้ายแล้วเขียนลงไปทีละเส้น “ไป”
เมื่อเลิกเรียน เฉียวเซิงรอไปกินข้าวกับฉินหร่านที่ประตูหลัง
ตอนที่อยู่ที่โรงอาหาร บังเอิญเจอกับเว่ยจื่อหังที่ใบหน้าให้ความรู้สึกอย่างกับอันธพาลโรงเรียน เขาเอามือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋า รอบข้างไม่มีใครอยู่ในระยะหนึ่งเมตร
เฉียวเซิงค่อนข้างคุ้นเคย เขารู้ว่าเว่ยจื่อหังรู้จักกับฉินหร่าน กระตือรือร้นมาก แสดงถึงความอยากคลี่คลายปัญหาให้จบลง “เว่ยจื่อหัง มานั่งด้วยกันสิ”
เว่ยจื่อหังยังคงสวมชุดกีฬา มองเฉียวเซิงพลางยิ้มมุมปาก “อืม”
ก็พูดรวบรัดดี
เฉียวเซิงเลิกคิ้วขึ้น ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนเขาคงมีเรื่องกับเว่ยจื่อหังสักยกแล้ว แต่ว่าตอนนี้คิดดูแล้วนั่นเป็นเพื่อนของฉินหร่าน เขาอดกลั้นเอาไว้
คนกลุ่มหนึ่งสั่งข้าวเสร็จแล้วมานั่งด้วยกัน
มันเป็นเรื่องยากที่หัวโจกทั้งสี่คนที่เลื่องชื่อของอีจงจะมาอยู่รวมกัน ทำให้โรงอาหารฮือฮาไม่ใช่น้อย
เฉียวเซิงมักจะเล่นบาสที่สนามบาสบ่อย ๆ นักเรียนอีจงเห็นกันเยอะ แต่อีกสามคนส่วนใหญ่คนมักจะพบได้แค่บนเวทีสุนทรพจน์เท่านั้น
สวี่เหยากวงไม่ค่อยทานอาหารที่โรงอาหาร โดยปกติมีเพียงนักเรียนที่พักอยู่หอโรงเรียนที่มีกิจวัตรเหมือนกัน เมื่อก่อนยังไปดูฉินอวี่สีไวโอลินได้ ตอนนี้ฉินอวี่ลา เวลาที่พบเขาที่ตึกศิลปะจึงน้อยมาก
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเว่ยจื่อหัง หลังจากที่มาที่อีจงก็ลาไปสองครั้งใหญ่ ๆ ติดต่อกัน หลังจากลาก็มาเรียน เพราะเป็นนักกีฬา เก็บตัวเงียบไม่ค่อยพบใคร คนอื่น ๆ ก็เจอตัวได้ยาก
ส่วนฉินหร่าน ถ้าไม่เจอที่ห้องพยาบาลก็ร้านชานม โดยปกติจะเลิกเรียนช้ากว่าคนอื่น เพราะตำแหน่งดาวประจำโรงเรียน ทำให้คนไม่น้อยมาที่ห้องเก้าเพื่อเจอเธอ แต่มักจะมาดูแค่แวบเดียวก็ไป แค่หนังสือหนึ่งกอง เธออยู่หลังหนังสือนั่น โดยปกติก็มองไม่เห็นใบหน้าของเธอหรอก
สายตาของนักเรียนในโรงอาหารล้วนมองมาทางนี้
เห็นได้ชัดว่าทั้งสี่คนคุ้นเคยกับการถูกสายตาจ้องมองแบบนี้ เลยค่อนข้างใจเย็น
หลินซือหรานนั่งข้างฉินหร่าน เอาแต่ตัวสั่น
โรงอาหารเสียงดังมาก เว่ยจื่อหังวางถ้วยลงบนโต๊ะ ตอนที่นั่งลงเขาตั้งใจมองไปที่ฉินหร่าน
ฉินหร่านก้มศีรษะหยิบตะเกียบ สีหน้าเรียบเฉยไม่ได้หงุดหงิดเหมือนเมื่อก่อน
เว่ยจื่อหังเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เขาไม่คาดคิด
“ฉันนึกว่าเธอมากินข้าวที่โรงอาหารไม่ได้ซะแล้ว” เขาหยิบตะเกียบ หัวเราะเบา ๆ
ฉินหร่านส่งเสียงอืม “ช่วงนี้พอได้”
“มือเธอเป็นอย่างไรบ้าง” เขาเหลือบมองไปที่มือขวาของเธอ
ฉินหร่านถือตะเกียบด้วยมือซ้าย แบมือขวาให้เขาดู เหลือเพียงรอยสีชมพูจาง ๆ
“ดีขึ้นเร็วนี่” เว่ยจื่อหังถอนหายใจ “ไม่มีผลกระทบตามมานะ”
เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้ ๆ หูของเธอและถามเสียงเบา
ฉินหร่านส่ายหน้าแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เฉียวเซิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามหยิบตะเกียบมาเคาะโต๊ะ “สองคนนั้นน่ะ กระซิบกระซาบอะไรกัน”
เว่ยจื่อหังเงยหน้ามองเขา ไม่ได้ตอบกลับ
เฉียวเซิงส่งเสียง หึ ออกมา เขาทานมันฝรั่งทอด หยิบโคล่าที่อยู่ข้างมือยกไปทางเว่ยจื่อหัง “เว่ยจื่อหัง พวกเราเลิกแล้วต่อกันดีไหม”
พูดถึงก่อนหน้านี้ที่เว่ยจื่อหังว่าฉินอวี่ว่าสีไวโอลินไม่เพราะ และมีเรื่องกับเฉียวเซิง
เว่ยจื่อหังหยุดไปสองวิ จึงจะหยิบขวดน้ำแร่ที่อยู่ข้างมืออย่างไม่รีบร้อน
เฉียวเซิงไม่ได้ถือสามากนัก
ทานไปสองคำ ก็หยิบตะเกียบพลางถามเว่ยจื่อหัง “นี่ ก่อนหน้านี้ทำไมไม่จัดการแก้แค้นฉินอวี่ให้พี่หร่านของนายล่ะ ”
“เปล่า ก่อนหน้านี้ฉันไม่รู้ว่าเป็นเธอ” เว่ยจื่อหังตอบกลับ
“แล้วทำไมอยู่ ๆ ถึงได้บอกว่าฉินอวี่เล่นไวโอลินไม่เพราะ” เฉียวเซิงท้าวมือไว้กับโต๊ะ นึกสงสัย
ตัดเรื่องนิสัยของเธอออกไป เธอก็เล่นไวโอลินได้ดีจริง ๆ
สวี่เหยากวงที่นั่งทานข้าวเงียบ ๆ พอฟังถึงตรงนี้ก็ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมามอง
เว่ยจื่อหังมองเขา “ฉันไม่ได้โกหก ก็เธอสีไม่เพราะจริง ๆ ฉันเคยฟังที่เพราะกว่าเธอร้อยเท่ามาแล้ว”
ใครจะรู้ว่าที่พูดเป็นความจริง เฉียวเซิงก็ดูอยากจะหาเรื่องเขา
เฉียวเซิงเงียบไปสักพัก คิดว่าเว่ยจื่อหังพูดแบบขอไปที เขาพูดอย่างเย้ยหยันว่า “แล้วที่นายไปได้ยินมานี่ไวโอลินของเทพอะไรล่ะ”
มีเพียงสวี่เหยากวงเท่านั้นที่เงยหน้ามองไปที่เว่ยจื่อหัง
**
วันอังคารท้องฟ้ามืดครึ้ม มีฝนตกปรอย ๆ
หนิงฉิงที่กำลังทาเล็บอยู่ที่บ้านหลินอยู่ ๆ ก็ได้รับแจ้งจากโรงพยาบาล
“คุณว่าไงนะ แม่ฉันเป็นอะไร” น้ำยาทาเล็บที่อยู่ในมือถูกเขวี้ยงกระเด็น หลังจากรับโทรศัพท์เสร็จก็รีบเร่งให้คนขับรถขับรถไปโรงพยาบาล
หลินฉีรู้เรื่องสถานการณ์ตอนนี้ของเฉินซูหลานจากป้าจาง เขายุ่งจนตัวเป็นเกลียว เลยให้หลินจิ่นอวี้มาดูสถานการณ์โดยรวมก่อน
เมื่อหนิงฉิงมาถึงโรงพยาบาล มีหมอหลายคนอยู่นอกห้องพักผู้ป่วยของเฉินซูหลาน
หลินจิ่นอวี้กำลังคุยกับหมอเจ้าของไข้ของเฉินซูหลานอยู่
“คุณรู้ว่าสิ่งที่คุณเฉินต้องใชอยู่ในระหว่างการทดสอบ cns ที่ไม่ได้ถูกใช้ในตลาด” หมอเจ้าของไข้อธิบายกับหลินจื่นอวี้ “แต่ว่าตั้งแต่เมื่อวานโรงพยาบาลของเราไม่มี…cns พวกเรากำลังคุยถึงสิ่งที่จะเอามาใช้กับคุณเฉินทดแทน แต่ก่อนหน้านี้ร่างกายของเธอได้รับการฉายมามากแล้ว ยาส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยไม่ผลกับเธอ แม้แต่cnsเธอก็ใช้ได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ”
“แล้ว แล้วจะทำอย่างไรดี” หนิงฉิงยืนอยู่ข้าง ๆ หลินจิ่งอวี้ตื่นตระหนกแล้ว
“คุณหนูฉินไม่ได้มาเหรอครับ” หมอเจ้าของไข้ไม่พบฉินหร่านตรงทางเดินจึงอดไม่ได้ที่จะถาม
หนิงฉิงยังไม่ได้สติกลับมา “คุณพูดถึงใครนะคะ”
“คุณหนูฉินครับ” หมอเจ้าของไข้นึกถึงฉินหร่านขึ้นมา
“เธอยังเรียนอยู่ที่โรงเรียน สถานการณ์แบบนี้ตามเธอมาก็ไม่มีประโยชน์ ยังจะทำให้เธอไม่มีสมาธิอีก” หนิงฉิงสับสนเล็กน้อย แต่ก็ยังส่ายศีรษะ “คุณให้เธอมาก็ไม่มีประโยชน์หรอก”
หลินจิ่นอวี้เดินไปอีกทางเพื่อโทรศัพท์หาเพื่อนของตัวเอง
cnsมาจากห้องทดลองของจิงเฉิง มีขายข้างนอกเพียงไม่กี่ร้าน
แต่ที่จิงเฉิงกับคนบางกลุ่มกลับไม่ใช่ปัญหา
หมอเจ้าของไข้ไม่ได้พูดอะไรพลางครุ่นคิด เขาไปที่ห้องทำงานเพื่อโทรหาฉินหร่าน
เครือข่ายของหลินจิ่นอวี้กว้างขวาง
เขาหาคนได้ก่อน ยาก็สามารถรับได้ แต่เมื่อผ่านขั้นตอนต่าง ๆ กว่าจะได้ก็สามวันให้หลังแล้ว
หมอเจ้าของไข้โทรศัพท์เสร็จแล้วจึงกลับมา แจ้งผลอีกครั้ง “ก่อนหน้านี้ผมเคยบอกกับพวกคุณแล้วว่าร่างกายของคุณเฉินได้รับการฉายแสงมาหลากหลายวิธี อ่อนแรงเต็มที ต้องเพิ่งยา เมื่อวานcnsไม่มีแล้ว คืนนี้ก็หาไม่ได้”
เขาไม่ได้พูดต่อ แต่ความหมายก็ชัดเจน
เฉินซูหลานถูกส่งไปยังห้องดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินปลอดเชื้อ
หนิงฉิงนั่งอยู่ที่เก้าอี้ด้านนอกห้องปลอดเชื้อ ศีรษะของเธอห้อยลง
ไม่นานหนิงเวยก็วางของในมือแล้วเดินมา ก็เห็นหนิงฉิงนั่งอยู่ด้านนอก
“พี่” หนิงเวยรู้สึกเหมือนมีก้อนจุกอยู่ที่คอ “แม่เป็นอย่างไรบ้าง”
หนิงฉิงไม่ได้พูด เพียงแค่มองเธอแล้วนั่งนิ่ง ๆ เหมือนเดิม
หลินจิ่นเซวียนกำลังรอให้หลินฉีมา
เห็นหนิงฉิงกับหนิงเวยเป็นแบบนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา และตามหมอเจ้าของไข้ “มียาที่สามารถอยู่ได้สามวันไหม เพื่อนของผมทำcnsได้ช้าสุดก็สามวัน”
หมอเจ้าของไข้ส่ายหน้า “ร่างกายของเธอดื้อยา ไม่มียามาแทนได้ครับ”
หลินจื่นเซวียนอยากจะพูดอะไรอีก
ในเวลานี้ มีความรู้สึกบางอย่างจึงมองไปที่ลิฟต์
ทางด้านนั้นร่างบางร่างหนึ่งกำลังเดินมาทางนี้ ผมตรงหน้าผากมีหยดน้ำฝน และเกาะอยู่ที่คิ้ว
เห็นได้ชัดว่าเธอมาอย่างรีบร้อน ร่มก็ไม่ได้เอามา เสื้อตัวนอกเปียกโชกไปด้วยน้ำฝน
เดินมาด้านหน้าหมอเจ้าของไข้ ฉินหร่านเช็ดหน้าเช็ดตา “ยังขาดอะไรอีกเหรอคะ”