ก็แค่ดับเบิล สต๊อปกับดีดสายด้วยมือซ้ายไม่ใช่เหรอ
ดับเบิล สต๊อปก็คือนิ้ววางอยู่บนสาย ไม่ต้องกด ต้องหาตำแหน่งของเสียงให้เจอ ทำให้ตำแหน่งที่สั่นของสายถูกควบคุมไม่ใช่หรือ
ส่วนเทคนิคการดีดสายด้วยมือซ้ายยากกว่าดับเบิล สต๊อป แต่แค่เป็นคนที่พอรู้จักไวโอลินก็รู้จักวิธีนี้
รู้เรื่องพวกนี้แล้วภูมิใจมากเหรอ
ประเด็นของฉินหร่านไม่ได้อยู่ตรงนี้ แต่เทคนิคดับเบิล สต๊อปกับดีดสายด้วยมือซ้ายของฉินอวี่ไม่คล่องแคล่ว ดับเบิล สต๊อปของเธอแข็งทื่อ สายสั่นดีบ้างแย่บ้าง ตอนที่มือขวาสัมผัสสายก็ทื่อ ทำให้เสียงสั่นที่ดังออกมาไม่รื่นหู
และการดีดสายด้วยซ้ายของเธอ ยิ่งมีปัญหาไปกันใหญ่ ตอนที่ฉินอวี่ดีดสาย D มักจะทุ้มเสมอ เพราะเธอไม่กล้าออกแรง ฉินหร่านเดาว่าฉินอวี่เองก็เคยลองแล้ว หากเสียงกังวานนั่นเป็นเพราะเธอแตะสาย E แน่นอน
สรุปก็คือ พื้นฐานของฉินอวี่พอใช้ได้ แต่เทคนิคไม่ผ่านแน่นอน
แต่ฉินอวี่กลับจะแสดงความสามารถด้วยเพลงใหม่นี้ให้ได้ ทำให้เพลงใหม่ไร้ชีวิตชีวาถูกทำลายความสวยงาม
นี่เป็นสาเหตุของคำว่า ‘ไม่รื่นหู’ ของฉินหร่าน
แต่เธอไม่ได้พูดออกมา
แค่หยิบหูฟังออกมาแล้วยัดใส่หู หาเก้าอี้แล้วนั่งลง ปรับระดับเสียงให้ดังที่สุด ความหงุดหงิดบนใบหน้าถึงค่อยๆ คลายลง
เพราะหลังจากสิ้นประโยคนั้นของฉินอวี่ บรรยากาศในห้องประชุมเล็กก็ตึงเครียดขึ้นมาในพริบตา
เฉียวเซิงเก็บความไม่แยแสบนใบหน้า เขาหันหน้ามองฉินอวี่อย่างเย้ยหยันหน่อยๆ
ฉินอวี่ไม่กล้ามองเฉียวเซิง นิ้วมือข้างหนึ่งของเธอจิกฝ่ามือ หลับตาลงเบาๆ จากนั้นบอกกับสวีเหยากวงว่า “นายจะปล่อยให้เธออยู่ที่นี่งั้นเหรอ”
คราวนี้สวีเหยากวงก็ได้สติ เขามองฉินหร่านแวบหนึ่ง ลูกตาในดวงตาที่เฉยชาคู่นั้นลึกล้ำยิ่งนัก หันกลับมาพูดกับฉินอวี่ว่า “เธอเป็นนักไวโอลิน ต้องถูกคนที่เชี่ยวชาญและไม่เชี่ยวชาญวิจารณ์เป็นธรรมดา ไม่ต้องถือสา”
“แต่ถ้าฉันบอกว่าเธออยู่แล้วจะส่งผลต่ออารมณ์ของฉันล่ะ ฉันเล่นต่อไปไม่ได้” ฉินอวี่ก็ไม่มองฉินหร่าน พูดเสียงเรียบออกมา
สวีเหยากวงไม่ตอบทันที เขาขอคิดพิจารณาสักเดี๋ยว
จากนั้นก็มองไปทางฉินหร่าน เจตนาชัดเจนมาก
ฉินอวี่โล่งอกสักที ยืนอยู่มุมหนึ่งทอดมองฉินหร่านที่นั่งอยู่
เฉียวเซิงอ้าปาก เขากระโดดลุกขึ้น ไม่อยากจะเชื่อเลย “คุณชายสวี?!”
สวีเหยากวงยังคงปิดปากเงียบ
มือถือในมือฉินหร่านสั่น หลินซือหรานโทรเข้ามา เธอเลยรับสาย
ถึงคิวหลินซือหรานแสดงแล้ว
ฉินหร่านลุกขึ้น ถอดหูฟังยัดใส่กระเป๋า ตากลมหรี่ลง พูดกับเฉียวเซิงอย่างสบายๆ ว่า “ถึงคิวหลินซือหรานแล้ว ไปละ”
เฉียวเซิงมองฉินอวี่อย่างเยาะหยัน ในดวงตาฉายความเย็นเยือก จากนั้นก็ตามฉินหร่านออกไปจากที่เดิม
พอทั้งคู่ไป หอประชุมเล็กก็เงียบลงอีกครั้ง
สีหน้าของสวีเหยากวงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังคงมองฉินอวี่อย่างเฉยชา “ไปแล้ว เธอเล่นต่อเถอะ”
ฉินอวี่เพิ่งหยิบไวโอลินขึ้น เสียงของสวีเหยากวงก็ดังขึ้นเบาๆ “พี่สาวเธอเล่นไวโอลินเป็นด้วยเหรอ”
แม้จะเป็นประโยคคำถาม กลับเป็นน้ำเสียงแน่ใจ
“เธอเคยเรียนตอนเด็ก แต่ไม่ตั้งใจ เรียนแค่ไม่กี่ปีก็เลิกเรียนไป แถมยังตีหัวลูกของคุณครูอีก” ฉินอวี่พูด
สวีเหยากวงพยักหน้า ไม่พูดอะไรอีก
สายตาว่างเปล่าเล็กน้อย ตอนหลังฉินอวี่สังเกตมองเขา พบว่าเขาไม่ได้ตั้งใจฟังเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
…
นอกประตู ฉินหร่านเห็นหลินซือหรานแล้ว เธอรั้งท้ายคนอื่นในห้องเก้าที่ร่วมการแสดง
“คิดอะไรอยู่ คนอื่นไปกันหมดแล้ว” ฉินหร่านกระแอมไอแล้วพูดเสียงเบา
“เหมือนจะเห็นคนรู้จัก” หลินซือหรานขมวดคิ้วน้อยๆ “แต่ก็ไม่แน่ใจ”
หลินซือหรานได้สติ ล้วงขวดแก้วเท่านิ้วโป้งออกจากกระเป๋า ข้างในมีพืชต้นหนึ่ง ยื่นให้ฉินหร่าน “ถือไว้”
“อะไรน่ะ” เฉียวเซิงชะโงกหน้ามาดู
หลินซือหรานยิ้ม พูดลวกๆ ไปว่า “แค่หญ้าต้นหนึ่ง ไม่มีอะไร”
ได้ยินหลินซือหรานพูดแบบนี้ ฉินหร่านก็มองเธอด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์
เฉียวเซิงไม่ค่อยใส่ใจท่าทางของฉินหร่าน แค่ตั้งใจเพ่งมองไปทีหนึ่ง พบว่าเป็นหญ้าจริงๆ พลันก็ไม่พูดอะไรอีก
ผู้หญิงน่าเบื่อมากจริงๆ
…
กลางคืน ฉินอวี่ซ้อมการแสดงเสร็จ ก็กลับบ้านพร้อมกับใบหน้าที่ครุ่นคิด
หนิงฉิงกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ในบ้าน ท่าทางดีอกดีใจ
ฉินอวี่นั่งลงบนโซฟา ไม่ไปฝึกไวโอลิน พอหนิงฉิงคุยโทรศัพท์เสร็จ มือของเธอลูบผม พูดขึ้นราวกับลืมตัวว่า “แม่ แม่เจอกระดาษคราวก่อนที่ไหน”
หนิงฉิงเพิ่งวางสาย นิ่งไปครู่หนึ่ง “กระดาษอะไร”
ฉินอวี่เม้มปาก “ก็…ตอนที่แม่เก็บของให้คุณยาย มีกระดาษใบหนึ่งหล่นลงมา”
หนิงฉิงคิดอยู่นานสองนาน ก็นึกอะไรไม่ออกเลยสักนิด “กระดาษ? งั้นคงจะเป็นของของยายแกล่ะมั้ง ฉันไม่รู้ พรุ่งนี้แกไปเยี่ยมยายแกกับฉัน ถือโอกาสถามดูไหมล่ะ”
เฉินซูหลานน่ะเหรอ
ความทรงจำที่ฉินอวี่มีต่อเฉินซูหลานหยุดอยู่ที่ภาพของคนแก่แต่งตัวเรียบง่าย ไม่รู้จักเฉินซูหลานแต่อย่างใด
แต่อารมณ์ในโน้ตเพลงกับเทคนิคพิถีพิถันเป็นอย่างมาก ฉินอวี่คาดเดาเอาเองว่าน่าจะไม่เกี่ยวข้องกับเฉินซูหลานมากนัก แค่ไม่รู้ว่าเธอไปได้มาจากไหน
พอได้ฟังก็พยักหน้าเบาๆ “พรุ่งนี้หนูจะไปเยี่ยมคุณยายกับแม่แล้วกัน”
เพราะฉินอวี่พบว่า สวีเหยากวงสนใจเพลงใหม่ที่เธอเรียบเรียงใหม่กว่าตอนที่เธอเล่นเพลงอื่นมาก แต่มีโน้ตเพลงแค่แผ่นเดียว
แต่ฉินอวี่ไม่ได้เชื่อมโยงโน้ตเพลงแผ่นนั้นกับเฉินซูหลาน พูดได้แค่ว่า ลองเสี่ยงดวงดูก็เท่านั้น
…
วันต่อมา ฉินอวี่ก็ไปเยี่ยมเฉินซูหลานกับหนิงฉิง
“แม่ อวี่เอ่อร์มาเยี่ยมแม่แน่ะ” หนิงฉิงปรับเตียงของเฉินซูหลานขึ้น
เฉินซูหลานกะปลกกะเปลี้ย สภาพร่างกายก็ไม่ดี เสียงพูดก็ไร้เรี่ยวแรง
ฉินอวี่ไม่ได้นั่งข้างเตียง แต่นั่งบนเก้าอี้ที่อยู่อีกมุมหนึ่ง เธอถามไถ่เฉินซูหลานอย่างห่วงใยหลายประโยค สุดท้าย ตอนที่จะกลับ ก็ช่วยห่มผ้าห่มให้เฉินซูหลาน “จริงสิ คุณยาย ครั้งก่อนตอนที่แม่ช่วยจัดกระเป๋าของยาย เหมือนหนูจะเห็นกระดาษแผ่นหนึ่ง ข้างบนมีสัญลักษณ์เต็มไปหมด”
กลัวว่าเฉินซูหลานจะไม่เข้าใจโน้ตเพลง ฉินอวี่เลยเปลี่ยนคำพูด
“คุณยายยังมีแผ่นอื่นอีกไหม”
ตอนที่เฉินซูหลานพูด สภาพก็ย่ำแย่มาตลอด คุยกับฉินอวี่ไม่กี่ประโยค มีแค่ตอนที่ได้ยินประโยคนี้ รู้สึกตื่นตัวขึ้นมา สายตาที่มองฉินอวี่ฉายความแววโรจน์