“แล้วเธอเคยคิดไหมว่าถ้าพี่สาวเธอไม่ได้ท่องไว้ หล่อนจะต้องเจอกับอะไร” เฉียวเซิงชะงัก เขาเก็บแฟลชไดรฟ์แล้วพิงกับโต๊ะพลางยิ้ม “แล้วก็ เธอดูเหมือนจะมีเจตนาร้ายต่อพี่สาวของเธอมากเลยนะ หล่อนไม่ใช่คนประเภทที่จะมาขอความช่วยเหลือจากคนอื่น”
“นายรู้ได้อย่างไรว่าเธอไม่ใช่คนแบบนี้” ฉินอวี่มองเฉียวเซิงแวบหนึ่ง ทำเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม “ฉันเห็นเธอเป็นแบบนี้มาเยอะแล้ว เธอก็ไม่ปริปากพูดสักคำ ทำตัวอย่างกับได้รับความไม่ยุติธรรมอย่างหนัก นายดูคนในห้องพวกนายสิ ตอนนี้ล้วนเห็นอกเห็นใจเธอกันหมดใช่ไหมล่ะ ในตอนนี้ถ้านายเอาคลิปของอู๋เหยียนมาปล่อย อู๋เหยียนก็จะถูกเพื่อนพวกนายตีตัวออกหากใช่ไหม พูดถึงความเก่งกาจแล้วไม่มีใครเทียบเธอได้หรอก”
เฉียวเซิงรู้จักกับฉินหร่านมานานขนาดนี้ ก็พอเข้าใจอยู่บ้าง
ฉินหร่านเย็นชาสุดๆ เรื่องต่อสู้ก็เยี่ยมยอด
คนที่จัดการได้แม้กระทั่งเว่ยจื่อหัง จะมาแสดงความอ่อนแอกับเขาเหรอ
ตอนที่เธออารมณ์เสียแล้วเหลือบตามอง เฉียวเซิงยังไม่กล้าส่งเสียงดังเกินไป และไม่สามารถเอาคำว่า ‘อ่อนแอ’ มาเชื่อมโยงกับฉินหร่านได้เลย
มักรู้สึกว่าฉินหร่านมีความคาดเดายากอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบไหนถึงเติบโตมามีนิสัยแบบนี้
“เพื่อนที่ฉันคบ ฉันต้องรู้จักนิสัยเธอดีอยู่แล้ว ฉินอวี่ ฉันไม่ได้ต้องการให้เธอมาสอน ฉันไม่ได้โง่ ฉันมีความคิดเป็นของตัวเอง” เฉียวเซิงหัวเราะพรืด เตะเก้าอี้ที่อยู่ข้างขาออกไป เขาลูบผมตัวเอง “สวีเซ่า ฉันไปโรงอาหารนะ”
ฉินอวี่ทบทวนคำพูดของเฉียวเซิง
น่าเสียใจเหลือเกินที่พบว่าเฉียวเซิงยืนอยู่ฝั่งฉินหร่านอย่างมั่นคงไม่ไหวติง เขาไม่มีความสงสัยในตัวของฉินหร่านเลยแม้แต่นิดเดียวจริงๆ
ฉินอวี่ยืนอยู่ที่เดิม รู้สึกถึงสายตาของผู้ชายสองคนกำลังมองมาที่ตัวเอง เธออดไม่ได้ที่จะเม้มปาก คิดไม่ถึงเลยว่าเฉียวเซิงจะไม่ไว้หน้าตัวเองสักนิด
แววตาของเธอสั่นไหวเล็กน้อย “เฉียวเซิง พวกเรารู้จักกันมาสองปี แต่สู้นายที่รู้จักเธอแค่เดือนเดียวไม่ได้เลยเหรอ”
“อย่างน้อยๆ เธอก็ไม่พูดยุแยงให้เกิดความเข้าใจผิดต่อหน้าฉัน” ฝีเท้าของเฉียวเซิงหยุดลง เอียงศีรษะแล้วเถียงกลับ
ฉินอวี่กัดฟันมองแผ่นหลังของเฉียวเซิงอย่างเหลือเชื่อ
วิธีของฉินหร่านสุดยอดจริงๆ
หลินจิ่นเสวียน เฉียวเซิงก็โดนเธอจัดการเรียบอย่างไร้สุ้มเสียง
ฉินอวี่สูดหายใจเข้าลึกๆ มองไปทางเฉียวเซิง ความไม่พอใจปรากฏชัดในแววตา แต่ก็ปกปิดมันได้อย่างรวดเร็ว
“สวี่เซ่า เรื่องนี้เฉียวเซิงไม่ฟังคำอธิบายของฉันเลย นาย……” ฉินอวี่ถอนหายใจ เธอเม้มปากแน่น เอ่ยเสียงเบาหวิว
สวีเหยากวงกำโทรศัพท์ เงยหน้ามองเธอ “เธออยากให้ฉันไปขอร้องเฉียวเซิงสินะ แต่ครั้งนี้อู๋เหยียนทำผิดจริง”
“ฉันรู้ว่าอู๋เหยียนผิด แต่เธอเป็นเพื่อนของฉัน ถ้าฉันไม่สนใจ เธอต้องแย่แน่” ฉินอวี่ถอนหายใจ เธอก้มหน้าก้มตา “สุดท้ายแล้วเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่หนักหนา อย่าใจร้ายกับอู๋เหยียนขนาดนั้นเลย เพื่อนกันทั้งนั้น”
สวีเหยากวงหันข้าง ใบหน้ายังคงเรียบเฉย ยากที่จะเข้าใจ เขาไม่ได้พูดอะไร
“สองปีที่พวกเรารู้จักกัน ฉันไม่เคยขอร้องอะไรนายเลย ครั้งนี้ถือว่าฉันขอได้ไหม” ฉินอวี่เอียงศีรษะแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน
……
ณ โรงอาหาร
เฉียวเซิงกำลังทานข้าวกับลูกน้องห้องเก้าของเขา
“ฉินอวี่ไม่มาด้วยเหรอ” พวกเฉียวเซิงตักข้าวให้สวีเหยากวงแล้วเหลือบมองไปที่ด้านหลังของสวีเหยากวง เฉียวเซิงเหยียบม้านั่งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วยิ้ม
“เธอไปซ้อมไวโอลินแล้ว ฉันมีธุระจะคุยกับนาย” สวีเหยากวงนั่งลงทางด้านซ้ายของเฉียวเซิง หยิบตะเกียบที่อยู่บนถ้วยข้าวขึ้นมา
เฉียวเซิงพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ “หลังจากมาหาฉันแล้ว นายจะไปดูเธอซ้อมไวโอลินอีกไหม”
รู้จักกับสวีเหยากวงมานานขนาดนี้แล้ว รู้ว่าสวีเหยากวงนั้นชอบเล่นไวโอลินมากๆ และฉินอวี่เองก็เล่นมันได้ดีมากเช่นกัน
เมื่อก่อนเฉียวเซิงกับสวีเหยากวงมักจะไปฟังอยู่บ่อยๆ
แต่ว่าตอนนี้เฉียวเซิงไม่ค่อยได้ติดต่อกับฉินอวี่แล้ว เลยไม่ได้ไปดูเธอบ่อยนัก
“อืม” สวีเหยากวงคีบผักเข้าปาก เมื่อทานจนหมดแล้วจึงได้พูดว่า “เรื่องของอู๋เหยียน แค่สั่งสอนเป็นการส่วนตัวก็พอแล้ว ไม่ต้องปล่อยคลิปหรอก”
เฉียวเซิงชะงักมือ
เขาวางตะเกียบลงดัง ปัง โมโหมาก เอามือค้ำโต๊ะไว้ “เดี๋ยวสิ สวี่เซ่า ฉินอวี่มาขอร้องนายเหรอ”
“อืม” สวีเหยากวงไม่ปฏิเสธ
“โถ่เว้ย!” เฉียวเซิงกำหมัดต่อยกับโต๊ะ
ช้อนที่วางอยู่ตรงขอบโต๊ะของผู้ชายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามร่วงลงพื้นตามแรงสั่นสะเทือน ส่งเสียงดังกังวาน
นักเรียนโต๊ะรอบๆ ต่างก้มหน้าก้มตากินข้าว ไม่กล้ามีเรื่องกับเฉียวเซิง
แต่สวีเหยากวงกลับสงบนิ่งมาก จับตะเกียบด้วยท่าทางสง่างามสบายๆ “ถือว่าฉันเป็นหนี้นายครั้งหนึ่ง”
“สวี่เซ่า ฉันรู้ว่านายชอบฉินอวี่มาก แต่นายจำเป็นทำเพื่อเธอขนาดนี้ด้วยเหรอ” เฉียวเซิงหงุดหงิดมาก เขาเอนหลังพิงพนัก
“เธอเล่นได้ดีจริงๆ” สวีเหยากวงนึกถึงดนตรีที่ได้ยินล่างตึกศิลปะในวันนั้น หลังจากวันนั้นเขาก็มาดูกล้องวงจรปิด เห็นได้ชัดว่าคนที่เล่นไวโอลินหลบมุมกล้องทุกตัวไป
ถ้าหากเขาไม่ใช่พวกเชื่อในวัตถุละก็ เกือบจะเชื่อไปแล้วว่านั่นอาจจะไม่ใช่คน
แต่เขาก็มั่นใจมากว่าคนที่เล่นไวโอลินในวันนั้นไม่ใช่ฉินอวี่
“ฉันฟังไวโอลินของเธอมาสองปี นี่เป็นครั้งแรกที่เธอขอร้องฉัน” สวีเหยากวงหรี่ตา เอียงศีรษะมองเฉียวเซิง “สรุปนายตกลงไหม”
เฉียวเซิงบีบมือแน่นแล้วก็คลายลงในที่สุด รู้สึกจนปัญญาเล็กน้อย
สุดท้ายก็ถอนหายใจ “สวี่เซ่า ฉันกล้าไม่ฟังนายด้วยเหรอ”
แต่พอยอมความแล้ว เฉียวเซิงก็ยังอดน้อยใจไม่ได้ “สวี่เซ่า นายต้องการอะไร นายชอบเธอขนาดนี้เลยหรอ? ฉินเสียวหร่านน่ารักกว่าเธอตั้งเยอะ เว้นก็แต่เล่นไวโอลินไม่เป็น”
“เธอไหวพริบดี” สวีเหยากวงชะงักแล้วชำเลืองมองเฉียวเซิง
“พรืด” เฉียวเซิงหัวเราะ “ฉันดูออกแล้ว ถ้านายบอกเธอว่านายมาจากเมืองจิง……เธอจะรักษาความสัมพันธ์กับนายแบบนี้เหรอ”
สวีเซ่าคนดี อาศัยในหอพัก ทานอาหารโรงอาหาร ใส่ชุดถูกๆ ที่เมืองหยุนเฉิง
สวีเหยากวงไม่ได้สนใจเขา
เฉียวเซิงไม่เข้าใจเสียเลย แม้แต่เขาเองก็มองออก แต่ทำไมสวีเหยากวงไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย แถมยังดูแลฉินอวี่ดีขนาดนี้
เขาชอบคนที่เล่นไวโอลินได้ขนาดนี้เลยเหรอ
เฉียวเซิงเคืองเล็กน้อย
รสนิยมแบบไหนกันนะ
เฉียวเซิงไม่ได้เข้าคาบทบทวนบทเรียน รู้สึกว่าไม่มีหน้าไปเจอฉินหร่าน จึงกลับมาหลบตัวอยู่ในบ้าน หยิบโทรศัพท์มาดูรูปภาพโปรไฟล์ของฉินหร่านทั้งคืน สุดท้ายก็ส่งไปหนึ่งประโยค
[ฉินหร่าน ฉันถูกอิทธิพลบังคับ ขอโทษนะ! แต่ฉันจะต้องสั่งสอนอู๋เหยียนแทนเธอแน่นอน! ]
……
วันต่อมา
ฉินอวี่มาหาอู๋เหยียนแต่เช้า และบอกเรื่องนี้กับเธอ
“อวี่เอ๋อร์ ขอบคุณนะ!” อู๋เหยียนคิดไม่ถึงว่าฉินอวี่จะทำเพื่อช่วยเธอขนาดนี้ เธอกุมมือของฉินอวี่อย่างซาบซึ้ง “สวีเซ่ารับฟังเธอจริงด้วย”
อู๋เหยียนยังจำกฎที่ไม่ถูกบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรของโรงเรียนได้ดี หากต้องหาคนที่ไม่มีใครกล้าต่อกรด้วยในโรงเรียนให้ได้ นั่นก็คือฉินอวี่
เพราะสวีเซ่าคอยปกป้องเธอ
“เพื่อนกันทั้งนั้น ฉันจะไม่ช่วยเธอได้อย่างไร” ฉินอวี่คลี่ยิ้มบางๆ “ใกล้จะเข้าเรียนแล้ว เธอกลับห้องไปเถอะ”
อู๋เหยียนมองเธออย่างซาบซึ้งใจ
กลับมาถึงห้องเก้า
เธอนั่งตรงที่ของตัวเอง หยิบหนังสือวรรณกรรมขึ้นมาท่อง พลางเหลือบมองไปยังฉินหร่าน
ฉินหร่านกำลังพิงกำแพง เปิดโทรศัพท์ก็เห็นข้อความที่เฉียวเซิงส่งมาเมื่อสามชั่วโมงก่อน
เธอค่อยๆ หรี่ตาแล้วหันกลับไปมองเฉียวเซิง
เฉียวเซิงฟุบโต๊ะอยู่ ศีรษะจมอยู่ในวงแขน
วิชาในช่วงเช้าจบลงแล้ว อู๋เหยียนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าโต๊ะของฉินหร่าน แล้วกระซิบว่า “ฉินหร่าน เธอคิดไม่ถึงล่ะสิ ไม่จำเป็นต้องให้เธอเอ่ยปากเลยสักนิด เธอคิดว่า……ถ้าไม่มีเฉียวเซิงมาปกป้องเธอแล้ว เธอจะมีตนตัวอะไรในโรงเรียน”
เมื่อวานเธอขอร้องฉินหร่าน แต่ฉินหร่านก็ไม่ตอบตกลง อู๋เหยียนยิ่งเกลียดเธอมากกว่าเดิม
ฉินหร่านฟังคำพูดของอู๋เหยียนแล้วครุ่นคิด
พอจะรู้ว่าประโยคนั้นของเฉียวเซิงหมายความว่าอะไร
ฉินหร่านดึงสมุดแบบฝึกหัดออกมา นั่งไขว่ห้าง มองอู๋เหยียนอย่างอารมณ์ดี “ใครบอกเธอว่าฉันต้องพึ่งคนอื่นมาปกป้อง”
อู๋เหยียนเห็นว่าเธอไม่โกรธเลยสักนิด แถมยังระบายยิ้มออกมา
จึงชะงักไปครู่หนึ่ง
นี่ไม่เหมือนกับที่เธอคิดไว้
และในเวลานี้ หลินซือหรานที่นั่งดูโทรศัพท์อยู่กับเซี่ยเฟยจู่ๆ ก็เลื่อนไปเจออะไรเข้า ตะลึงไปชั่วขณะแล้วลุกขึ้นยืนอย่างพรวดพราด พูดกับอู๋เหยียนอย่างโมโหว่า “อู๋เหยียน ทำไมเธอต้องขโมยบทสุนทรพจน์ของหรานหร่าน!”