ฉินหร่านยกมือเอากระเป๋าทิ้งไว้บนโต๊ะ เสียงคำรามในคอเปี่ยมไปด้วยโทสะ ผู้คนส่งเสียงดังเซ็งแซ่ ทุกพยางค์ของเธอเจือด้วยความหงุดหงิด “เมื่อกี้ใครมาตรงที่นั่งของฉัน”
นักเรียนหญิงหลายคนนั่งเรียงกัน และอู๋เหยียนก็นั่งอยู่ด้านขวาของเธอ แต่ไม่ได้สนใจเธอ
ส่วนหลินซือหรานอยู่ด้านซ้ายของเธอ
เดิมทีเธอเอาแต่ถือดินสอแก้ไขไอเดียในสมุด
พอได้ยินคำพูดของฉินหร่าน เธอก็เป็นกังวลแล้ว เอียงกายมาแล้วค้นดูหลายรอบ “บทสุนทรพจน์ทำไมถึงหายไป ฉันใส่ไว้ข้างในให้เธอแล้วแท้ๆ”
“อู๋เหยียน พวกเธอเห็นบทสุนทรพจน์และแฟลชไดรฟ์ของฉินหร่านไหม” หลินซือหรานเงยหน้าถามอู๋เหยียนและคนอื่นๆ อีกครั้ง
คนอื่นๆ พากันส่ายศีรษะ
อู๋เหยียนหัวเราะประชด “บทสุนทรพจน์เป็นผลจากความเหน็ดเหนื่อยของพวกเราหลายคน เธอทำมันหายไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยเหรอ”
“ช่วยกันหาหน่อยเถอะ” หลินซือหรานขมวดคิ้ว แต่เวลานี้ไม่อยากทะเลาะกันเองอีก
นักเรียนหญิงคนอื่น ๆ ก็ค้นดูทั้งซ้ายขวาเหมือนกัน
ในแฟลชไดรฟ์มีเพียงสไลด์โชว์ แต่บทสุนทรพจน์นั้นเรียบเรียงไว้เสร็จสมบูรณ์ มีถึงสี่แผ่นเต็มๆ มันคือผลงานของพวกเขาทุกคน ถ้าทำหายแล้วเท่ากับว่าการกล่าวสุนทรพจน์ครั้งนี้ที่พวกเขาเตรียมตัวกันมาก็ไร้ความหมาย
ในวินาทีนี้ หลินซือหรานก็เข้าใจความโกรธของฉินหร่านทันที
กระเป๋าของฉินหร่านเป็นกระเป๋าใส่ข้อสอบที่เธอเตรียมมาโดยเฉพาะ ด้านบนมีที่ปิด ไม่มีทางทำหายหรอก ต้องมีคนจงใจหยิบไปแน่
เห็นได้ชัดว่าคนที่หยิบไปต้องการเป็นศัตรูกับพวกเขา หรือพูดได้ว่าเป็นศัตรูกับฉินหร่าน
แต่หลินซือหรานต้องยอมรับว่า วิธีการของคนคนนั้นได้ผลจริงๆ บทสุนทรพจน์ของพวกเขาหายไปแล้ว จะเอาอะไรขึ้นเวทีไปล่ะ
“เกิดอะไรขึ้น” สวีเหยากวงกับนักเรียนชายหลายคนนั่งแถวหน้า พอได้ยินเสียงก็หันศีรษะมาด้วยสายตาเย็นชา
เขาเข้าหายากมาโดยตลอด น้ำเสียงห่างเหินและเย็นชา
หลินซือหรานยืนขึ้น มองหาบนพื้นรอบหนึ่ง จากนั้นเธอมองไปยังสวีเหยากวงด้วยความกระวนกระวาย “บทสุนทรพจน์และแฟลชไดรฟ์ของพวกเราหายไปแล้ว”
เห็นได้ชัดว่าพวกสวีเหยากวงก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน
หลินซือหรานโกรธจนขอบตาแดงแล้ว
เธอมองไปรอบๆ ไม่รู้ว่าเรื่องนี้ใครเป็นคนทำกันแน่
“พวกเราหากันก่อนเถอะ” สวีเหยากวงสงบสติแล้วลุกขึ้น จากนั้นสั่งว่า “ไปค้นถังขยะตรงระเบียงด้านนอก”
เฉียวเซิงทำตามเขาอย่างเคร่งครัด มีความน่ายำเกรงมากในชั้นเรียน
พอเขาเอ่ยขึ้น ทุกคนก็ยืนขึ้นแล้วออกไป
อู๋เหยียนก็ลุกขึ้นเหมือนกัน เธอมองสวีเหยากวงแวบหนึ่งแล้วเม้มปาก
สวีเหยากวงไม่พอใจฉินหร่านมาโดยตลอด ตอนแรกทุกคนในห้องล้วนรู้ว่าสวีเหยากวงไม่ชอบขี้หน้าฉินหร่าน
แต่ใครจะรู้ นี่ยังผ่านไปไม่นาน หลินซือหรานให้ฉินหร่านมากล่าวสุนทรพจน์ สวีเหยากวงก็ไม่ปฏิเสธ
ตอนนี้ฉินหร่านทำบทสุนทรพจน์หาย เขาไม่ได้ตำหนิก็ช่างเถอะ ยังจะช่วยเธอหาอีก
หลายคนออกไปช่วยกันหาแล้ว ถ้าตัวเองไม่ไปด้วยก็จะดูแปลกๆ
อู๋เหยียนอดไม่ได้ที่จะมองไปยังสวีเหยากวงอีกครั้ง อีกฝ่ายก้มหน้ากำลังถามอะไรฉินหร่านอยู่
เธอละสายตาแล้วเดินออกไปตามหลังผู้หญิงสองสามคน
การกล่าวสุนทรพจน์เริ่มต้นไประยะหนึ่งแล้ว คนกล่าวสุนทรพจน์ของห้องหนึ่งคือฉินอวี่ ที่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลก เธอถือกระดาษ พูดชัดถ้อยชัดคำ ผู้ชมล้วนตั้งใจรับฟัง
กวาดมองรอบๆ เห็นสวีเหยากวงซึ่งมองเธออยู่ตลอดจู่ ๆ ก็เดินออกประตูหลังไปโดยมีฉินหร่านตามติดอยู่ข้างๆ
รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินอวี่ค้างเติ่ง แต่ก็กลับคืนสู่ปกติอย่างรวดเร็ว
หลังกล่าวสุนทรพจน์เสร็จ คณะกรรมการถามคำถามสองสามคำถาม เธอตอบกลับไปทีละคำถาม ตัวแทนสมาชิกกลุ่มคนอื่นก็ขึ้นมาเหมือนกัน
ต่อไปเป็นเวลาที่คณะกรรมการปรึกษากันเพื่อให้คะแนน
ฉินอวี่นั่งลงบนที่นั่งของเธอ เธอนั่งอยู่แถวที่สามซึ่งใกล้กับสวีเหยากวงมาก
“ทำไมคนของห้องเก้าออกไปกันหมดเลย” ฉินอวี่กวาดมองไปที่ประตูหลัง เอ่ยขึ้นอย่างสงสัย
“เหมือนกับว่าฉินหร่านทำแฟลชไดรฟ์และบทสุนทรพจน์หาย” เพราะนั่งอยู่แถวเดียวกัน แม้ว่าห้องเก้าจะไหวตัวกันเงียบๆ แต่ทุกคนแทบจะรู้หมดแล้ว
ฉินอวี่หันศีรษะกลับมา ค่อนข้างแปลกใจ “บทสุนทรพจน์หายเหรอ ถ้าอย่างนั้นครั้งนี้ฉินหร่านก็ลำบากแย่เลย”
นักข่าวทั้งสองฝั่งตั้งกล้องเอาไว้ เกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมาละก็ จะทำนักเรียนและอาจารย์ทั้งโรงเรียนขายหน้ากันหมด
ฉินอวี่พูดอย่างเป็นห่วง แต่กลับค่อยๆ ยกมุมปากขึ้น
…..
คนห้องเก้าหลายคนตามหากันอยู่รอบหนึ่ง สุดท้ายก็เจอบทสุนทรพจน์ที่ฉีกเป็นชิ้นๆ ในถังขยะ นอกจากนี้ยังมีแฟลชไดรฟ์ที่เปียกน้ำ
หลินซือหรานกัดฟัน “ไอ้นี่มันหาเรื่องหรานหร่านชัดๆ อิจฉาหรานหร่านเหรอ!”
คนที่ยืนล้อมรอบถังขยะต่างนิ่งเงียบ
เห็นได้ชัดว่าพุ่งเป้ามาที่ฉินหร่านด้วยเจตนาร้าย
อู๋เหยียนอดไม่ได้ที่จะพูดกับฉินหร่านว่า “เอาแล้วไง บทสุนทรพจน์ของห้องเราไม่มีแล้ว”
“อู๋เหยียน เธอหยุดพูดได้แล้ว” มีคนเห็นฉินหร่านยืนพิงกำแพง ในมือกำขวดน้ำพลาสติกไว้แน่นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จึงกระตุกแขนเสื้อของอู๋เหยียนอย่างไม่รู้ตัว
“ทำไมฉันถึงจะพูดไม่ได้ บอกแต่แรกแล้วว่าไม่ให้เธอมา เธอทำงานพวกเราพัง!”
สวีเหยากวงปรายตามองเธออย่างเยียบเย็น อู๋เหยียนเลยเม้มปากไม่พูดแล้ว
กรรมการลงคะแนนเรียบร้อยแล้ว ลำดับต่อไปก็คือห้องพวกเขา
สวีเหยากวงมองฉินหร่านแวบหนึ่ง ครุ่นคิดแล้วพูดขึ้นเสียงเบาว่า “หลินซือหราน เธอเอาสมุดของเธอมาให้ฉัน ฉันขึ้นไปเอง”
เขาเองก็รับผิดชอบเขียนบทสุนทรพจน์ไปส่วนหนึ่ง เขาเป็นคนจัดเรียงที่มาที่ไปของเนื้อความทั้งหมด
เขาจำได้ทุกอย่าง แค่ไม่มีการบรรยายและรายละเอียดมากมายขนาดนั้น
ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีบทพูด เขาเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
“ไม่ต้องล่ะ”
ฉินหร่านมองอู๋เหยียนแล้วจัดเสื้อผ้าของตัวเอง ยื่นมือบีบขวดพลาสติกจนแบน
ข้างในไม่มีน้ำแล้ว จึงส่งเสียงดัง ปึง! เมื่อกระทบกับถังขยะ แล้วตกเข้าถังไปในที่สุด
เธอก้าวขาเดินไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับมา “ฉันขึ้นไปเอง”