เฉิงเจวี้ยนจงใจรออยู่ด้านนอก
ลู่จ้าวอิ่งออกมาจากรถและบอกว่าเขาอยากดื่มกาแฟมาสักพักแล้ว
เฉิงเจวี้ยนครุ่นคิดก่อนจะเข้าไปในร้านกาแฟเช่นกัน
ช่วงนี้ในร้านคนไม่พลุกพล่านนัก เขาจึงเห็นทั้งสามคนนั่งอยู่ข้างหน้าต่างตั้งแต่แวบแรก
เขายืนอยู่ที่ประตู ฉินหร่านหันหลังให้เขาทำให้เขาไม่สามารถเห็นหน้าเธอได้จากมุมนี้ หากแต่เขาก็เห็นว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงข้ามเธอเชิดคางด้วยท่าทีหยิ่งยโสและอวดดี
ลู่จ้าวอิ่งสั่งกาแฟกับพนักงานสาวที่โต๊ะต้อนรับ “กลับบ้านแก้วหนึ่ง ขอบคุณครับ”
เฉิงเจวี้ยนไม่ได้อยากดื่มกาแฟ ทำเพียงพิงตัวกับโต๊ะและจ้องมองฉินหร่านอย่างเฉื่อยชา
เขางับบุหรี่เอาไว้และไม่ได้ขยับไปไหน
ลู่จ้าวอิ่งกำลังเดินกลับหลังจากได้กาแฟ เขาก็หาข้ออ้างที่จะเข้าไปโดยไม่ต้องการรบกวนฉินหร่านได้
พวกเขาได้ยินเสียงที่ชวนไม่สบายใจก่อนที่ทั้งสองจะเดินออกไป “เธอก็คงเดาได้…เธอคิดว่าฉันจะปล่อยให้เธอหาทนายความในอวิ๋นเฉิงให้ยอมช่วยเธอสู้คดีอย่างนั้นเหรอ”
เสียงของพวกเธอไม่ได้เบานักและหากตั้งใจฟังดีๆ มันก็สามารถได้ยินชัดเจน
พวกเขาทั้งสองคนรู้เรื่องของสวี่เซิ่น
ดูเหมือนหญิงสาวคนนั้นกำลังจะกำลังข่มขู่ฉินหร่านอยู่
ลู่จ้าวอิ่งอยู่กับเฉิงเจวี้ยนมาหลายปี ยังไม่เคยเห็นใครในปักกิ่งกล้ามาลองดีกับนายน้อยเจวี้ยน คนที่อาจหาญทำเช่นนั้นต่างถูกนายน้อยเจวี้ยนจัดการเสียราบคาบ
ฝีเท้าของเฉิงเจวี้ยนชะงักก่อนหันไปมองเล็กน้อยและรอ
เขาเอ่ยเน้นสามคำด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ลู่จ้าวอิ่ง”
ลู่จ้าวอิ่งหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมาต่อสายหาเบอร์หนึ่ง
เขาเอ่ยกับคนปลายสายโดยไม่รอให้ฉินหร่านพูด “ทนายความชี คุณได้ยินหรือเปล่า ถ้าคุณไม่มาที่อวิ๋นเฉิงเราจะจนปัญญาถึงขนาดหาทนายความสักคนไม่ได้เลย เข้าใจไหมครับ”
ย่างเข้าเดือนตุลาคมพร้อมอากาศที่ยังคงร้อนระอุอยู่ ช่วงบ่ายคนในร้านไม่แน่นนัก เครื่องปรับอากาศจึงถูกปิดเอาไว้
ไอร้อนแห้งอย่างอธิบายไม่ถูกลอยคลุ้งในอากาศ
เสียงที่ดังขึ้นฉับพลันทำให้อารมณ์กรุ่นโกรธของฉินหร่านจางหายไปเป็นการชั่วคราว
ฉินหร่านหันไปเห็นลู่จ้าวอิ่งกำลังถือโทรศัพท์ในมือ อวัยวะเดียวกันอีกข้างล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง เขากำลังมองมาพร้อมรอยยิ้มทั้งยังยักคิ้วให้ทว่ากลับแผ่รังสีแข็งกร้าว
ลู่จ้าวอิ่งพยักพเยิดคางมาทางเธอก่อนจะคุยกับคนปลายสายต่อ “ชีเฉิงจวิน ใครล้อเล่นกับคุณกันล่ะ มาเดี๋ยวนี้เลย”
เขาวางสาย
“คุณผู้หญิง ผมไม่เคยล้อเล่นหรอกนะครับ ผมจะปล่อยให้คุณหาทนายความมากเท่าที่คุณต้องการเลย” เฉิงเจวี้ยนมองหน้าพวกเธอทั้งสอง “คุณก็คงเดาได้…ไม่คุณตายก็ผมตาย”
สายตาของเฉิงเจวี้ยนจับจ้องที่ใบหน้าของฉินหร่านก่อนจะเอื้อมไปจับมือขวาของเธอ เขาว่าขึ้นเสียงเบา “มาเถอะ ไปกัน”
ชีเฉิงจวินอย่างนั้นหรือ
หลินหว่านคุ้นเคยกับชื่อนี้ ครอบครัวของสามีของเธอเคยมีคดีพิพาททางเศรษฐกิจรุนแรงเมื่อนานมาแล้ว
เดิมทีคดีนั้นมาถึงทางตัน หากแต่สุดท้ายคุณชายใหญ่ก็ได้เชิญทนายชีคนนี้ซึ่งไม่เคยแพ้คดีมาก่อนมาได้
หลินหว่านแต่งเข้าตระกูลผู้ดี แม้ว่าตระกูลนั้นเกือบจะอยู่ชนชั้นท้ายๆ ในเมืองหลวงก็ตาม ส่วนชนชั้นแนวหน้าเธอนั้นไม่เคยได้สัมผัสกับพวกเขาสักครั้ง
เป็นเพราะเหตุการณ์ครั้งนั้นเธอจึงได้รู้ว่าทนายความชีคนนี้มีฝีมือฉกาจและมีชื่อในปักกิ่งมาก
หากไม่ใช่เพราะเขาติดค้างความช่วยเหลือของคุณชายใหญ่ไว้ เจ้าตัวคงไม่มีปัญญาจ้างเขาทำคดีได้
หลินหว่านมองหน้าเฉิงเจวี้ยนและลู่จ้าวอิ่ง เสื้อผ้าของเขาดูดีแต่ไม่มียี่ห้อ
ม่านตาหนิงฉิงหดแคบเมื่อเห็นพวกเขา
ความทรงจำที่เฉิงเจวี้ยนถือมีดผ่าตัดต่อหน้าเธอที่โรงพยาบาลยังตราตรึงในใจของเธอ
เธอพลันหน้าซีดเผือด
หลินหว่านเหลือบมองด้านนอกขณะทั้งสามขึ้นรถสีดำไป
เธอเห็นเพียงป้ายทะเบียนรถที่มีคำว่า ‘ปักกิ่ง’ และสัญลักษณ์โฟล์กสวาเกนอยู่ไกลๆ
เธอเหยียดยิ้มและเย้ยหยัน “ทั้งสองคนคงมาจากปักกิ่งคงรู้จักทนายชีแน่ๆ แต่…เขาคิดว่าฉันไม่รู้จักทนายชีหรือยังไง”
การจ้างทนายความชีจะง่ายดายขนาดนั้นได้อย่างไรกัน
หลินหว่านเก็บเช็คบนโต๊ะ หากแต่สีหน้าของเธอกลับไม่ดีนัก เธอคิดว่าเด็กสาวอ่อนต่อโลกและจัดการได้โดยไม่ต้องเสียแรงมากนัก ทว่าตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะยุ่งยากเสียแล้ว
เธอสัมผัสได้ถึงความอึดอัดใจอยู่รางๆ
หนิงฉิงที่อยู่ด้านข้างถือถ้วยขึ้นจิบกาแฟด้วยมือที่สั่นน้อยๆ
…
มือของฉินหร่านเลือดออก พวกเขาจึงขับรถของเฉิงเจวี้ยนมาที่ห้องพยาบาลโรงเรียน
ด้วยอยู่ในช่วงระหว่างคาบเรียน ห้องพยาบาลถึงได้เงียบสงบ
ฉินหร่านนั่งอยู่บนเก้าอี้เตี้ยด้านหนึ่ง เหยียดขาออก กางเกงยีนที่สั้นเกินไปสำหรับเธอเล็กน้อยเผยให้เห็นข้อเท้าผอมบางของเธอ
เฉิงเจวี้ยนหยิบผ้าพันแผลและอุปกรณ์อื่นๆ ด้านหลังเก้าอี้ของเธอด้วยมือเดียว พลางคว้ายาจากด้านหลังมาด้วย ท่าทีของเขาออกจะดูเย็นชาอยู่บ้าง
ทั้งสองไม่ได้สนใจมากนักกระทั่งเขาโน้มตัวมาด้านหน้า ทั้งคู่ใกล้ชิดกันเต็มที ฉินหร่านหายใจออกมาแผ่วเบา
เขาชะงักไปชั่วขณะก่อนรีบเบือนหน้าหนี สายตาจดจ่ออยู่ที่มือขวาของเธอ
“ฉันบอกเธอหลายครั้งแล้วว่าไม่ให้ใช้มือข้างนี้แรงๆ” เฉิงเจวี้ยนก้มหน้าพลางแกะผ้าพันแผล ก่อนจะตรวจและดูไม่พอใจนัก
สมัยนี้เด็กมันดื้อถึงขนาดนี้เลยหรือ
เขาโยนผ้าพันแผลเปื้อนเลือดลงถังขยะและหยิบสำลีออกมา น้ำเสียงของเขาเย็นชาทว่าท่วงท่าของเขากลับระมัดระวังเหลือเกิน
“มือขวาไม่ได้เป็นมือของเธอหรือยังไง หรือไม่เธอก็อาจจะไม่ต้องการมันแล้ว” เฉิงเจวี้ยนกดเสียงต่ำและฟังดูไม่มั่นคงนัก
หากแต่ฉินหร่านยังสัมผัสถึงความเกรี้ยวกราดในน้ำเสียงเขาได้อย่างน่าประหลาด
เธอชำเลืองมองเขาและเอ่ย “ฉันแค่ล้อเล่นน่ะค่ะ”
“แผลของเธอลึกมาก ถ้าไม่รักษาให้ดีมันจะทิ้งรอยแผลเป็นและมีอาการข้างเคียงแอบแฝง” เขาพยักหน้าก่อนจะคว้ายามาทาบนแผลให้ “อย่าออกแรง เข้าใจไหม”
เธอพยักหน้า
“อย่าโกรธสิคะ ฉันแค่ลืมว่ามือขวาฉันเจ็บอยู่เอง” เธอเท้าคางและส่งยิ้มให้อย่างลืมตัว “ทุกครั้งที่ฉันเลือดตกยางออก ฉันก็จะมาหาคุณที่นี่แล้วก็จะไม่เป็นไรแล้ว”
เขาตะลึงงัน รู้สึกราวกับหินก้อนหนึ่งตกลงมาในใจของเขาส่งให้เกิดคลื่นเป็นระลอกบนพื้นผิว
เขาตอบกลับไปและเริ่มค่อยๆ พันแผลให้
…
หนิงฉิงไม่ได้กลับไปกับหลินหว่าน
เธอไปโรงพยาบาลแทน
“เธอมาทำไมตอนนี้ล่ะ” หนิงฉิงมักจะมาเยี่ยมเฉินซูหลานในตอนเช้าและอยู่เพียงราวๆ ชั่วโมงหนึ่งเท่านั้น
เธอทำเช่นนี้เป็นกิจวัตร
เฉินซูหลานจึงรู้สึกแปลกใจที่เห็นหนิงฉิงในช่วงเย็น
หนิงฉิงหยิบแอปเปิ้ลออกมาปอกเปลือก เห็นได้ชัดว่าเธอไม่ได้ทำเรื่องอย่างนี้มานานและท่าทางของเธอก็เชื่องช้า
“เรื่องของหร่านหร่านน่ะค่ะ” หนิงฉิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นในท้ายที่สุด “เธอมีเรื่องกับลูกชายของอาจารย์สวี่ มันเป็นแค่เรื่องเด็กทะเลาะกัน แต่ว่าพวกเขาอยากจะเอาเรื่องนี้ขึ้นศาล”
เธอเล่าเรื่องให้ฟังคร่าวๆ
ในที่สุดเธอก็ถอนหายใจออกมาและบอก “แม่คะ หร่านหร่านฟังแค่แม่ ช่วยหนูพูดกับเธอหน่อยนะคะ เธอบาดเจ็บที่มือนิดหน่อย แต่ทั้งสองฝ่ายก็บาดเจ็บที่มือเหมือนกัน ทำไมเธอต้องไปมีเรื่องกับคนใหญ่คนโตด้วยล่ะ”
“แกว่ายังไงนะ” เฉินซูหลานลุกขึ้นด้วยความเป็นห่วง “มือหร่านหร่านบาดเจ็บงั้นเหรอ”
“มือขวาน่ะค่ะ แล้วมันก็เย็บแล้วด้วย เธอถนัดซ้าย มันคงไม่ได้กระทบเธอ…”
ไม่ทันที่หนิงฉิงจะว่าจบ อีกฝ่ายก็เอ่ยแทรกขึ้นมา “เย็บที่มือขวาอย่างนั้นเหรอ ใครบอกว่าหร่านหร่านถนัดซ้ายกัน มือขวาของเธอ…แกรู้หรือเปล่าว่ามันสำคัญขนาดไหน!”