ทำไมฉินหร่านถึงมาอยู่กับชายแก่กลางดึกนะ
ขับรถเมอร์เซเดส…
ด้านหลังของคนคนนั้นดูคุ้นๆ ยังไงไม่รู้
ฉินอวี่เม้มปาก
ไม่ไกลออกไปนัก
“โอ้” ฉินหร่านยืนพิงประตูรถ ร่างของเธอถูกเงาจากผนังบดบังไว้และเธอเอียงหัวไปข้างๆ เพราะรู้สึกปวดหัวนิดๆ “ไม่เห็นต้องลำบากเลย”
“ฉันถามมาแล้ว เธอเอาไปผสมกับอาหารที่กินได้หมด” เฟิงโหลวเฉิงวางกล่องเก็บความร้อนไว้บนมือซ้ายของเธอและพูดเกลี้ยกล่อม “ช่วยบำรุงผิวเธอ”
“ได้ แค่ครั้งนี้นะ” ฉินหร่านปวดหัวและพูดอย่างจริงใจ
เฟิงโหลวเฉิงมองเธอราวกับเป็นพ่อและไม่ได้ให้สัญญาหรือปฏิเสธอะไร
ฉินหร่านเดินกลับไปห้องนอนพร้อมกล่องอาหาร
“นี่อะไรน่ะ” หลินซือหรานช่วยเธอเปิดและหยิบชามมา
อู๋เหยียนอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ ฉินหร่านนั่งลงบนม้านั่ง หลับตาเอาขาพาดโต๊ะอย่างเกียจคร้าน เธอเอนหลังแล้วพูด “ฉันไม่รู้”
หลินซือหรานหมุนฝาเปิดแล้วมองเข้าไปข้างใน “…”
ต้มเท้าหมูกับเก๋ากี้และสมุนไพรจีน
หลินซือหรานนั่งบนเก้าอี้อีกตัวแล้วนอนหมอบมองเธอซดซุป “หร่านหร่าน”
ฉินหร่านหันมาหรี่ตามอง เธอดูค่อนข้างผ่อนคลายและเสียงก็ต่ำลงเล็กน้อย “ว่าไง”
“ในคาบศึกษาด้วยตัวเองกับการอภิปรายเรื่องประกวดสุนทรพจน์ในชั้นเรียนตอนเย็น งานรุ่นพี่ม. ปลายงานเดียวของเราน่ะ เธอจะไปกับฉันไหม” หลินซือหรานเอามือเท้าคางกะพริบตา
“ฉันต้องไปให้คนดูเยอะๆ เหรอ” ฉินหร่านเลิกคิ้วแล้วหันไปมองเธอ
“ไม่ใช่สิ เธอก็รู้ว่าตอนนี้เธอคือหน้าตาของห้องเรานะ!” ดวงตาของหลินซือหรานสุกสกาว “เธอต้องไปยืนอ่านสุนทรพจน์ที่เราเขียนหน้าชั้น ฉันบอกเลยว่าเราต้องได้คะแนนมากกว่าห้องอื่นห้าเท่าแน่”
ในฐานะดาวโรงเรียน ฉินหร่านถือเป็นหน้าเป็นตาของห้องสามทับเก้าจริงๆ
มันกลายเป็นว่าเธอต้องขายหน้าตาตัวเอง หลังดื่มซุป ฉินหร่านคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้าอย่างว่าง่าย “ได้สิ”
**
วันรุ่งขึ้น ตระกูลหลินก็ได้ต้อนรับแขกอีกคน
“รองอธิบดีเสิ่นเหรอ” หลินฉีคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตระกูลหลินไม่มีเส้นสายในแวดวงการเมือง วงการนั้นมันซับซ้อนเกินไป พวกนักการเมืองเองก็สมาคมแต่กับพวกเดียวกันและไม่ได้คบหาได้ง่ายๆ
มีเพียงหลินจิ่นเซวียนที่รู้จักเฟิงฉือ แต่ถึงอย่างนั้นทั้งสองคนก็ไม่ได้สนิทสนมกัน
เมื่อรองอธิบดีเสิ่นมา หลินฉีกับหลินหว่านจึงระวังตัวแจ
หลินฉีเป็นผู้รินชาให้รองอธิบดีเสิ่นด้วยตัวเอง
“ท่านรอง ท่านมาหาผมเพราะลูกเลี้ยงของผมเหรอ” หลินฉีกับรองอธิบดีเสิ่นไม่ได้สนิทสนมกัน เขาจึงรู้ว่าต้องมีเจตนาอยู่เบื้องหลังการมาของอีกฝ่ายแน่
รองอธิบดีเสิ่นถือแก้วน้ำ สีหน้าของเขาก็ย่ำแย่ เสียงของเขาดูจริงใจ “ผมไม่มีทางเลือก ผมจึงมาหาคุณ สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนั้นล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่คุณฉิงยอมจบเรื่องนี้เงียบๆ ผมถือเป็นหนี้เธอจริงๆ”
เมื่อวานนี้หลินฉีเองก็วิ่งเต้นเรื่องของฉินหร่าน แต่ใครจะรู้ว่าเรื่องมันจะกลับตาลปัตรไปได้มากเช่นนี้ในวันเดียว
เขามองหลินหว่านและรู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่
หลินฉีไม่แสดงท่าทีอะไร เขาวางถ้วยชาลงแล้วหัวเราะ”หร่านหร่านไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกครับ เรื่องนี้…”
“พูดตรงๆ นะครับ สารวัตรให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก” รองอธิบดีเสิ่นยิ้มขื่นๆ ถ้าสืบสวนเรื่องของคุณฉิงลึกลงไปอีกก็จะเจอเบื้องลึกเบื้องหลังอีกแน่ ถ้าคุณช่วยผม วันหน้าหากตระกูลหลินมีเรื่องให้ช่วย คุณเข้ามาหาผมได้เลย”
ในฐานะนักธุรกิจ การเจรจาครั้งนี้ต้องได้ผลแน่
ความเอื้อเฟื้อจากรองอธิบดีเสิ่นไม่ได้มาได้ง่ายๆ
แต่หลินฉีไม่ตกลงและพูดจากำกวม “เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับหร่านหร่าน”
เมื่อรองอธิบดีเสิ่นไปแล้ว หลินหว่านถึงกับใช้นิ้วนวดคิ้ว “น้องชาย ทำไมไม่ตกลงไปล่ะ”
“เรารับฟังเขาได้” หลินฉีส่ายหัว ท่าทางของเขาดูสงบ เขาพูดช้าๆ “แต่เรารับปากแทนหร่านหร่านไม่ได้หรอก”
หนิงฉิงถือโทรศัพท์มือถือและมองทั้งสองคนอย่างครุ่นคิด
**
ไม่ไกลจากประตูโรงเรียนอีจง
รถสีดำขับมาอย่างรวดเร็ว
ลู่จ้าวอิ่งนั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้ผู้โดยสาร “คุณเจวี้ยน เจ้าสวี่เซิ่นนั่นถูกพาตัวไปสถานพินิจแล้ว ผมขอข้อมูลของฉินหร่านกับพานหมิงเย่ว์ในเมืองหนิงไห่ แต่ผมก็ไม่เจออะไรเลย”
ลู่จ้าวอิ่งคิดว่าเรื่องนี้แปลกๆ
ปกติแล้วถ้าสารวัตรเป็นคนขอมา เอกสารพวกนั้นก็จะส่งมาง่ายๆ
เขาชำเลืองมองเฉิงเจวี้ยนที่ไม่ขยับเขยื้อนและเลิกคิ้ว เมื่อก่อนเฉิงเจวี้ยนเคยเป็นคนที่กระฉับกระเฉิงที่สุด
เฉิงเจวี้ยนนั่งพิงหน้าต่างครึ่งตัวอยู่ด้านหลัง หัวของเขาเอียงเล็กน้อยและจดจ้องด้านนอกอย่างเงียบๆ และเฉื่อยชา
ลู่จ้าวอิ่งรู้สึกว่าเขาแปลกๆ จึงเหลือบมอง
อยู่ๆ เขาก็ยิ้มออกมา
“อ๊า…นั่นฉินหร่านเหรอ ทำไมเธอออกมาล่ะ”
เฉิงมู่ที่เป็นคนขับมองไปที่สายตามืดมนของเฉิงเจวี้ยนจากกระจกมองหลังและเหยียบเบรกโดยไม่ตั้งใจ
คุณเจวี้ยนลงรถไปอย่างแน่นอน
เฉิงมู่อดมองสำรวจฉินหร่านไม่ได้
เขาบ่นในใจว่าไม่รู้ว่าเด็กนักเรียนคนนี้มีดีอะไรนักหนา
มู่หยิงเป็นคนโทรเรียกฉินหร่านมา
เธอยังไม่ยอมรับสายของหนิงฉิง หนิงฉิงจึงไปที่โรงเรียนและโทรหามู่หยิงให้ไปหาฉินหร่านที่ห้องสามทับเก้า
มีร้านกาแฟหน้าโรงเรียนซึ่งค่อนข้างเงียบสงบและไม่มีห้องส่วนตัว
หนิงฉิงและหลินหว่านนั่งอยู่ริมกระจก
“ตามหนูมาทำไม” ฉินหร่านลากเก้าอี้ข้างๆ มานั่งไขว่ห้าง
เธอดูเหมือนคนที่ไร้มารยาท
ช่วงนี้เธอนอนไม่ค่อยหลับ ดังนั้นดวงตาจึงแดงก่ำและท่าทางดูเย็นชาและรำคาญ
ท่าทางของเธอดูเฉื่อยชาและเธอก้มหัวลงเล็กน้อย ไม่ได้ดูแข็งกร้าวเหมือนที่เธอเป็นที่สถานีตำรวจเมื่อไม่กี่วันก่อน
เหมือนนักเลง
หลินหว่านมองเธอและเผลอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
ปกติแล้วคนที่มีตำแหน่งสารวัตรจะเป็นผู้ที่รู้ข้อมูลวงในและรู้ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในเมืองเป็นอย่างดี
เธอหยิบกาแฟขึ้นมาดื่มและทอดสายตาออกไป
สายตาหนิงฉิงจับจ้องที่มือซ้ายของฉินหร่าน เธอถือโทรศัพท์มือถือไว้ในมือซ้ายและนิ้วของเธอก็เรียวยาว
มือขวาของเธอเผยให้เห็นเล็กน้อยจนมองเห็นผ้าก๊อซได้
หนิงฉิงจำได้ว่าเธอเขียนด้วยมือซ้ายและถนัดซ้าย
เธอจึงโล่งอกที่มือซ้ายของฉินหร่านไม่เป็นไร
“มือของแก… แกเป็นอะไรไหม” หนิงฉิงจับกระเป๋าสตางค์ของเธอไว้อย่างร้อนใจตอนพูด
“ไม่เป็นไร หนูไม่พิการหรอก” ฉินหร่านเตะถังขยะที่อยู่ข้างๆ เธอ
หนิงฉิงไม่รู้จะพูดอะไรจึงได้แต่อ้าปากค้าง
ฉินหร่านหมดความอดทน เธอนิ่วหน้าและดูค่อนข้างหัวเสีย “มีอะไรอีกไหม ถ้าไม่มีอะไรแล้วหนูขอตัว”
หนิงฉิงมองฉินหร่านและกำกระเป๋าสตางค์ของตัวเองแน่นยิ่งขึ้น “แกก็ดูไม่ได้บาดเจ็บอะไรมาก เรื่องสวี่เซิ่นน่ะ…”
ฉินหร่านเอนหลังเหลือบมองเธออย่างไม่แยแส
หนิงฉิงเงียบไปสักพัก
หลินหว่านยกแก้วขึ้นมาจากโต๊ะ เธอมองฉินหร่านและพูดช้าๆ ราวกับว่าเธอเหนือกว่า “ฉินหร่าน ฉันไม่อยากให้เรื่องสวี่เซิ่นไปถึงศาล”
——